บทที่ 147 จี้หมิงซูกับแองกรีเบิร์ดส์

อาอินกำลังเตรียมจะผ่าฟืน ขณะเอาขวานจามลงไป จี้จือฮวนก็โยนคนเข้ามาในลานบ้านพอดี จนอาอินเกือบจะจามหัวของชายผู้นั้นเสียแล้ว

“ท่านแม่เจ้าคะ?” อาอินวางขวานลง มองกลุ่มคนที่จี้จือฮวนหิ้วกลับมาแล้วเอ่ยถามขึ้น “คนพวกนี้คือ?”

“ต่อไปเจ้าไม่ต้องตักน้ำผ่าฟืนอีกแล้ว เอาให้พวกเขาทำแทน”

จี้จือฮวนเตะคนที่เป็นหัวหน้าไปหนึ่งที

“จี้จือฮวน เจ้าฝันไปเถอะ หากว่าท่านกั๋วกงและคุณหนูรู้ว่าเจ้ากล้าทำกับพวกเราเช่นนี้ เจ้าเตรียมทำบุญรอได้เลย”

จนถึงขนาดนี้แล้วยังจะวางท่าเป็นคุณหนูบุตรภรรยาเอกอะไรกันอีก? ใบหน้าสวยขึ้นแล้วอย่างไร ท่านกั๋วกงไม่มีทางรับนางเป็นลูกสาวอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นหลายปีมานี้ก็คงไม่ปล่อยให้ใครต่อใครรังแกนางเช่นนี้

ทว่าตอนที่เขาเอ่ยจบก็มีงูขนาดเท่าข้อมือสองตัวเลื้อยเข้ามา ก่อนจะชูคอและสบตากับเขา

ชายผู้นั้นตกใจจนขนลุกไปทั้งตัว

ไป๋จิ่นเอามือไพล่หลัง พลางปรายตามองคนผู้นั้นเล็กน้อย “จุ๊ จุ๊ จุ๊ มีคนรนหาที่ตายอีกคนแล้ว”

อาชิงวิ่งตามเข้ามา แล้วล้วงเอาตะขาบที่เขาจับได้วันนี้ออกมาจากตะกร้าสะพายหลังใบเล็ก “เมื่อครู่เจ้าว่าท่านแม่ของข้าใช่หรือไม่?! งูหนึ่ง งูสอง ให้พวกเขาได้เห็นความร้ายกาจของพวกเจ้าทีสิ!”

งูสองตัวนั้นก็เลื้อยพันกันทันที พร้อมกับแลบลิ้นออกมา

“ช่วย…ช่วยด้วย!” ชายผู้นั้นไม่กล้าขยับและไม่กล้าถอยหลังหนี เขารู้สึกราวกับว่าได้เข้ามาอยู่ในถ้ำพยัคฆ์วังมังกร*อย่างไรอย่างนั้น เหตุใดแม้แต่เด็กก็ยังน่ากลัวเพียงนี้กัน!

* ถ้ำพยัคฆ์วังมังกร (龙潭虎穴) อุปมาว่าเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย

ไป๋จิ่นเห็นท่าทางของพวกเขาก็คิดได้ว่า นี่คงเป็นเชลยที่ถูกจี้จือฮวนจับกลับมาอีกกระมัง

พูดถึงเรื่องนี้ ช่วงนี้ไม่มีใครช่วยกลับหัวไชเท้าตากแห้งเลย กำลังขาดแคลนคนงานอยู่พอดี มาได้เวลาดีจริง ๆ

วิธีการควบคุมคนของเขานั้นง่ายมาก นั่นคือการป้อนยาพิษให้พวกเขา ทว่าไป๋จิ่นยังไม่ทันล้วงเอายาพิษออกมาจากแขนเสื้อ อาชิงก็เอาบางอย่างยัดใส่ปากของพวกเขาคนละเม็ดเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเท้าเอวและยื่นพุงน้อย ๆ ออกมา พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า “พวกเจ้าทั้งหมดฟังให้ดี ต่อไปต้องตั้งใจทำงาน ไม่อย่างนั้นจะต้องตายอย่างอนาถ!”

อาจเพราะเพื่อต้องการสนับสนุนคำพูดของเขา งูสองตัวทางด้านหลังจึงชูคอขึ้นมา เหมือนกับผู้พิทักษ์ซ้ายขวา พลางแยกเขี้ยวใส่ “ฟ่อ ฟ่อ ฟ่อ!!”

ไป๋จิ่นกระตุกยิ้มมุมปาก เยี่ยม ศิษย์เก่งกว่าอาจารย์แล้ว

เมื่อไป๋จิ่นที่เข้ามาในเรือนเตรียมจะถามถึงเรื่องกับข้าวของวันนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งยอง ๆ ลงถามลูกศิษย์ตัวน้อย “เจ้าให้พวกเขากินอะไร ไปเอายาพิษมาจากที่ใดกัน?”

“ข้าเอาขี้วัวมาปั้นเป็นก้อน แล้วก็เพิ่มขี้ไก่ลงไปอีกเล็กน้อย”

ไป๋จิ่น “…”

มื้อค่ำ ทันทีที่จี้จือฮวนปรากฏตัว ไท่ซ่างหวงและท่านป้าที่เถียงกันมาตลอดทั้งวัน ในที่สุดก็ได้หยุดพักชั่วคราว

และรอจี้จือฮวนเรียกกินข้าวอย่างเชื่อฟัง

แต่ระหว่างที่กำลังรออยู่นั้น ก็ยังแอบจิกกัดกันอยู่บ้าง

คราวนี้ไม่ได้ต่อว่ากันเอง แต่เป็นการรวมหัวกันจิกกัดคนนอกแทน

“ไปเก็บขอทานมาจากที่ใดกัน”

จางตงไหลเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เรียนนายท่าน ได้ยินว่าคนพวกนั้นไปก่อเรื่องที่เค่ออวิ๋นไหลมาขอรับ”

“เช่นนั้นยังไม่เอาตัวออกไปอีก ขี้ม้าก็อย่าให้พวกเขาได้กิน”

อาชิงดึงแขนเสื้อของไป๋จิ่น “อาจารย์ ข้าให้พวกเขากินขี้วัวผสมขี้ไก่ ใจดีกับพวกเขาเกินไปใช่หรือไม่ขอรับ?”

ไป๋จิ่นกลอกตาเล็กน้อย ใกล้จะกินข้าวแล้ว ให้เกียรติคนจะกินข้าวหน่อยได้หรือไม่? ข้าไม่ได้อยากฟังเรื่องพวกนี้นะ

มาวันแรกก็คิดว่าจะได้กินข้าวแล้วอย่างนั้นหรือ? ฝันไปเถอะ

จี้จือฮวนไม่สนใจว่าคนพวกนี้จะมีชื่อแซ่ว่าอย่างไร จึงให้พวกเขาตั้งชื่อที่จำได้ง่าย ๆ มา ไม่อย่างนั้นรอกินไม้กระบองได้เลย

อันธพาลทั้งหมดนั่งยอง ๆ อยู่ที่ประตูเรือน ต่างกำลังคิดว่าอีกเดี๋ยวจะหนีอย่างไร แต่น่าเสียดายที่มียอดฝีมืออยู่ที่นี่ด้วย ขณะที่กำลังจะหนีก็ถูกลากกลับมาเสียแล้ว

เรียกฟ้า ฟ้าไม่ตอบ เรียกดิน ดินไม่ขาน ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหาที่พักบริเวณกองหญ้าข้างคอกม้าอย่างไม่อาจขัดขืนได้

เช้าวันต่อมา ไก่เพิ่งจะขันคนเหล่านี้ก็ถูกปลุกแล้ว

ท้องของพวกเขาร้องขึ้นมาด้วยความหิวโหย เห็นอะไรก็อยากกินไปหมด แต่กลับไม่ได้กินอะไรเลย

คนที่ปลุกพวกเขาก็คือมือสังหารสองคน ที่จะมาลอบสังหารองค์หญิงใหญ่ก่อนหน้านี้นั่นเอง

ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีกรรม การเจอกันโดยบังเอิญก็เหมือนพรหมลิขิต ไม่ต้องสนใจว่าเคยรู้จักกันมาก่อนหรือไม่

เหล่าผู้อาวุโสเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ลุกขึ้นมาทำงาน ต้องไปตัดหญ้าเพื่อเอามาเป็นอาหารให้หมูที่บ้านท่านยายจาง และให้อาหารห่านที่บ้านท่านย่าหลี่ แหจับปลาที่บ้านท่านลุงเฉินก็ต้องไปเก็บกลับมา…”

พวกอันธพาลไม่พอใจเป็นอย่างมาก นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน ตอนพวกเขาอยู่ที่จวนจี้กั๋วกง ก็ถือได้ว่าเป็นลูกน้องคนสำคัญของบรรดาเจ้านาย แม้แต่คนรับใช้ก็ยังต้องเรียกพวกเขาว่าท่าน เคยถูกรังแกเช่นนี้ที่ใดกัน

แม้มือสังหารที่ถูกส่งมาลอบสังหารองค์หญิงใหญ่จะไม่สามารถเอาชนะพวกโรคจิตในบ้านได้ แต่คิดว่าจะเอาชนะเจ้าพวกนี้ไม่ได้อย่างนั้นหรือ!

“ใครอนุญาตให้พวกเจ้าตั้งชื่ออี เอ้อร์ ซาน พวกเราต่างหากที่เป็นอี เอ้อร์ พวกเจ้าต้องชื่อซาน ซื่อ อู่ ลิ่ว มาก่อนมีสิทธิ์ก่อนเข้าใจหรือไม่ ไม่อยากไปตัดหญ้าเลี้ยงหมูอย่างนั้นหรือ? เช่นนั้นก็ไปตักอึแทนก็แล้วกัน”

“ต่ำจริง ๆ! เป็นเชลยแล้วยังไม่เชื่อฟังอีก”

อี เอ้อร์ตีพวกเขาเสร็จก็ออกมาจากคอกม้า อืม พวกเขาไม่ใช่คนที่ตำแหน่งต่ำต้อยที่สุดในหมู่บ้านตระกูลเฉินแล้ว! ทันใดนั้นจึงยืดอกขึ้นมา

พวกเขาเองก็มีลูกน้องแล้ว

อีกอย่างช่วงนี้พวกเขาก็ตั้งใจทำงาน จึงมีข้าวพร้อมกับอีกหนึ่งอย่าง ไม่ใช่กินแค่ข้าวเปล่า ๆ แล้ว!

พวกเขาต้องตั้งใจทำงานและรวยขึ้นให้ได้! พวกเขาต้องขยันทำไร่ไถนา พวกเขาจะได้ตั้งรกรากในหมู่บ้านตระกูลเฉิน มุ่งมั่นที่จะเป็นชาวบ้านของหมู่บ้านตระกูลเฉิน จากนั้นก็จะเลี้ยงไก่ เป็ด และห่านบ้าง

ส่วนเรื่องลอบสังหารองค์หญิงใหญ่นั้น

พวกเขาเลิกทำอาชีพนักฆ่าแล้ว

ไม่มีความหมายอีกแล้ว พวกเขาไม่มีความปรารถนาทางโลกอีกแล้ว

“กินข้าวได้แล้ว~” จี้จือฮวนตะโกนขึ้นมา อีและเอ้อร์จึงรีบล้วงชามใบน้อยที่พกติดตัวออกมา

กินข้าวได้แล้ว กินข้าวเสร็จก็ไปทำงานต่อ นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่ชายชาตรีสมควรทำ

ส่วนเจ้าพวกโง่ในคอกม้านั่น สักวันก็คงจะเข้าใจ ผลของการต่อต้าน พวกเขารับไม่ไหวหรอก

เทียบกับเหล่าอันธพาลที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่นั้น

จี้หมิงซูที่กำลังรอฟังข่าวอยู่ที่จวนจี้กั๋วกง กลับถูกเรียกไปที่เรือนฝูโซว่ของท่านย่าเพื่อรับการอบรม

แม้ว่าหลายปีมานี้จวนกั๋วกงจะไม่ได้สร้างความดีความชอบใด ๆ แต่ก็ยังอวดตัวว่าเป็นพวกชนชั้นสูง ไม่ยอมลดตัวลงมาง่าย ๆ ฮูหยินผู้เฒ่าก็วางท่าใหญ่โต ลูกหลานทั้งหมดทุกวันฟ้ายังไม่สว่างก็ต้องไปคารวะนาง

จวนกั๋วกงตอนนี้ไม่มีคนที่มีความสามารถ แม้ว่าจะมีลูกหลานที่ได้เรียนหนังสือ แต่ก็ไม่ได้เรื่องได้ราวใด ๆ จี้หมิงซูเดิมเป็นบุตรของอนุ แต่กลับอาศัยความทรงจำในชาติก่อนค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นมาจนถึงตอนนี้ เรียกได้ว่านางวางแผนมาอย่างรอบคอบ

และนางก็ชำนาญการรับมือผู้อาวุโสได้เป็นอย่างดี แต่นางกำลังกังวลว่าเค่ออวิ๋นไหลจะพังไปแล้วหรือยัง จี้จือฮวนจะตายไปแล้วหรือไม่?

หากยังไม่ได้ข่าวคราวเรื่องนี้ นางก็คงนอนไม่หลับต่อไปอีก

หลังจากทักทายกับพี่สาวน้องสาวของครอบครัวรองและครอบครัวสามเสร็จแล้ว พวกนางก็ยืนรอกันอยู่ที่ใต้ชายคา

ในตอนนั้นเองบนฟ้าก็มีเสียงนกร้องดังขึ้นมา นกที่อ้วนกลมราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ตัวหนึ่งพุ่งตรงมาเหนือศีรษะของจี้หมิงซู

พวกสตรีในเรือนเห็นภาพดังกล่าวก็ตกใจจนยืนนิ่งอยู่กับที่

ขณะที่พวกนางกำลังคิดว่านกตัวนั้นจะพุ่งมาชนจี้หมิงซู มันก็อึออกมาและตกลงบนศีรษะของจี้หมิงซูพอดิบพอดีแทน จากนั้นมันก็สยายปีกและบินจากไปอย่างมีความสุข

จี้หมิงซูยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม พี่สาวน้องสาวที่อยู่ข้าง ๆ ต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เพราะที่ผ่านมาจี้หมิงซูมักชอบอวดตัวและวางท่าภายในบ้าน ท่าทางที่นางขายหน้าเช่นนี้ พวกนางเพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรก

จี้หมิงซูเมื่อได้สติขึ้นมาก็โมโหอย่างมาก สารเลว! สารเลว!

“ยังไม่สั่งให้คนไปยิงนกตัวนั้นมาให้ข้าอีก!”

ใครเป็นคนเลี้ยงกัน อ้วนอย่างกับหมูแต่กลับบินได้เร็วถึงเพียงนั้น!

ภายในเรือน จี้จือฮวนมองตามทิศทางที่หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อบินไปก็หรี่ตาลง ก่อนจะเก็บภาพวาดลง

เมื่อครู่หลังจากที่จางกงกงรู้ว่าพวกคนในคอกม้าเป็นคนที่จี้หมิงซูส่งมา ก็ถึงกับฝนหมึกให้นางวาดภาพทันที

ไม่รู้ว่าหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อจะทำภารกิจสำเร็จและราบรื่นดีหรือไม่

ใครบอกว่าไม่มีไฟฟ้าจะไม่สามารถเล่นเกมแองกรีเบิร์ดส์ได้ จี้จือฮวนหรี่ตาลงจดจำคนที่อยู่บนภาพวาดลงในสมอง ครั้งหน้านางยังจะเล่นเกม Human Fall Flat**กับจี้หมิงซูอีกด้วย

** Human Fall Flat เป็นเกมควบคุมตัวละครชื่อ บ๊อบ ที่ร่างกายย้วยไปย้วยมาเหมือนคนไม่มีกระดูก ต้องทำการไขปริศนาเพื่อหาทางออกให้ได้ทั้งหมด 10 ด่าน พร้อมกับบังคับร่างกายที่โยกเยกฝ่าฟันสิ่งของและอุปสรรคต่าง ๆ ที่คอยมารบกวนสมาธิเราไปด้วย