บทที่ 147 เจ้ารู้จักอายไหม

พลิกชะตาหมอยา

“ช่างเถอะ ฝีมือของเจ้าใช้ไม่ได้” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ

เฟิ่งชิงหัวได้ยินดังนั้น ก็ตบลงบนหน้าอกของจ้านเป่ยเซียวทันที : “อะไรกัน ข้านวดมาครึ่งชั่วยามแล้ว ท่านพูดแค่ประโยคเดียวก็คิดจะไล่ข้าไปอย่างนั้นหรือ ? คิดจะชักดาบหรืออย่างไร ?”

“เมื่อครู่ข้าแค่พูดว่ารู้สึกไม่สบายตัว เจ้าเองต่างหากที่พูดว่าจะช่วยข้านวด”

“หน้าด้านไร้ยางอาย” เฟิ่งชิงหัวจ้องมองเขาด้วยความโกรธ : “ท่านดูสิ มือของข้านวดจนเป็นเช่นนี้แล้ว ไหล่ของท่านทั้งหนาทั้งแข็ง”

เฟิ่งชิงหัวพูดพลางคลายมือทั้งสองข้างออก มือเล็กขาวนวลเนียนกลายเป็นสีแดงจริง ๆ

จ้านเป่ยเซียวดึงมือของนางมา อาศัยจังหวะที่นางยังไม่ทันตั้งตัว จูบลงไปบนฝ่ามือเล็ก ๆ ของนางเบา ๆ

ปลายผมของชายหนุ่มอยู่ตรงหน้าเฟิ่งชิงหัว เมื่อมองจากมุมมองของนาง สามารถมองเห็นคิ้วที่ดูเย่อหยิ่งและขนตายาวชัดเจน

ตรงฝ่ามือที่ถูกเขาจูบ รู้สึกร้อนผ่าวเหมือนถูกไฟเผา ไปนั้นเผาไหม้และลุกลามไปถึงหัวใจ

“ท่าน ท่าน” เฟิ่งชิงหัวพูดไม่ออกไปชั่วขณะ คนที่ปกติพูดจาฉาฉานอย่างนาง จู่ ๆ กลับสรรหาคำที่จะพูดออกมาเพื่อขัดขวางการกระทำนี้ของเขาไม่ได้

จ้านเป่ยเซียวเงยหน้าขึ้น แล้วมองนางด้วยนัยตาดำขลับที่ลึกซึ้ง : “เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นการขอบคุณพระชายาแล้ว”

เยี่ยมจริง ๆ เปลี่ยนกลยุทธ์ของนางเป็นงานที่สมัครใจทำเสียแล้ว

เฟิ่งชิงหัวกำลังจะโวยวาย ก็ได้ยินจ้นเป่ยเซียวพูดขึ้นมาอย่ารวดเร็ว : “หลายวันมานี้พิษในร่างกายของข้ายากจะควบคุมได้ เจ้าคอยเฝ้าข้าอยู่ที่ห้องขอข้าเถอะนะ”

อารมณ์อันครุกรุ่นของเฟิ่งชิงหัวสงบลงด้วยเหตุนี้ แต่ก็ยังคงพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ว่า : “ที่พูดว่าหลายวันคือนานเท่าไร ?”

“เจ้ารู้ทักษะการแพทย์ไม่ใช่หรือ เมื่อไหร่ที่พิษของข้าหยุดวิ่งวนไปทั่งอย่างไม่อาจควบคุมได้ ก็เมื่อนั้นแหละ” จ้านเป่ยเซียวพูดอย่างตรงไปตรงมา

เฟิ่งชิงหัวได้ยิน ก็ยกมือขึ้นจับชีพจรให้จ้านเป่ยเซียวอีกครั้ง จากนั้นจึงครุ่นคิดสักพัก : “ร่างกายที่อ่อนแอนี้ของท่าน หากยังถูกท่านใช้งานอย่างหนักเช่นนี้ คาดว่าใช้เวลาอีกไม่กี่วันก็คงสงบแล้ว เพราะมันกระจายไปทั่วร่างแล้ว”

จ้านเป่ยเซียวไม่พูดอะไร ราวกับว่าร่างกายอันอ่อนแอที่เฟิ่งชิงหัวพูดถึงไม่ใช่ตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น

เฟิ่งชิงหัวถอนหายใจ : “ก็ได้ สองสามวันนี้ข้าจะช่วยท่านดูแลร่างกายของท่านให้ดีขึ้น แต่ท่านต้องฟังข้า ลูกกลอนจิตพิสุทธิ์ท่านห้ามกินแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นห้ามใช้กำลังภายในตามอำเภอใจเป็นอันขาด มิเช่นนั้นหากพิษกระจายไปทั่งร่างของท่านจนตาย ข้าไม่ขอรับผิดชอบนะ”

“นี่เรียกว่ายื่นหมูยื่นแมวใช่ไหม ?” จ้านเป่ยเซียวเลิกคิ้ว เขาเพียงพูดล่อเล่นเท่านั้น โดยไม่คิดเลยว่าเฟิ่งชิงหัวจะถอนพิษของเขาได้สำเร็จ

เมื่อเฟิ่งชิงหัวเห็นว่าเขาไม่เชื่อก็ไม่พูดให้มากความ เพียงแค่พูดขึ้นว่า : “นี่ก็ถือว่าเป็นการทำเพื่อตัวข้าเอง ขอเพียงข้าสามารถควบคุมพิษนี้เอาไว้ได้ ก็ถือว่าเราทั้งสองเลิกแล้วต่อกัน เพื่อหลีเลี่ยงไม่ให้ท่านตั้งเงื่อนไขแผลง ๆ ออกมาได้ตามอำเภอใจอีก”

ขณะที่พูด เฟิ่งชิงหัวก็สะบัดมือของเขาออก แล้วพลิกตัวนอนลงที่ด้านใน อีกทั้งยังไม่ลืมที่จะพูดเตือนว่า : “ตอนนี้ร่างกายของท่านเต็มไปด้วยพิษ ไม่เพียงแต่ห้ามใช้กำลังภายในเท่านั้น ซ้ำยังห้ามทำตัวลามกอีกด้วย เพราะฉะนั้นทางที่ดีท่านอย่าฉวยโอกาสกับข้าเป็นอันขาด มิเช่นนั้น”

ขณะที่พูด ที่ปลายนิ้วของเฟิ่งชิงหัวก็ปรากฏเข็มเงินแวววับออกมา แล้วพูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า : “ข้าจะทำให้พิษกระจายทั่วร่างของท่านจนตายทันที”

จ้านเป่ยเซียวจ้องมองนางซึ่งอยู่ห่างจากเขาไปเพียงแค่ช่วงตัวเท่านั้น และแสยะยิ้มออกมาโดยไม่พูดอะไรมาก จากนั้นจึงค่อย ๆ หลับตาลง

บนตัวของเฟิ่งชิงหัวยังมีกลิ่นหอมของดอกเหมยในน้ำหิมะ เมื่ออยู่ในช่วงที่สภาพอากาศร้อนเช่นนี้ จึงให้ความรู้สึกสดชื่นเป็นพิเศษ

จ้านเป่ยเซียวยกมือขึ้นเขย่าเบา ๆ เพื่อปล่อยม่านไข่มุกราตรีสีดำลงมาจากทั้งสี่ด้าน โดยรอบมืดลงทันที มีเพียงแสงไฟสลัว ๆ แต่ไม่ทำให้แสบตา

เฟิ่งชิงหัวค่อย ๆ ตกสู่ห้วงแห่งความฝัน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ ๆ ก็รู้สึกร้อนผ่าวเหมือนมีไฟลุกไหม้ที่แผ่นหลัง ห้อนจนนางเหงื่อแตกท่วมหัว จึงลืมตาขึ้นทันที

เมื่อหันหน้าไปก็เห็นชายหนุ่มนอนตะแคงอยู่ โดยหน้าอกของเขาแนบอยู่ที่แผ่นหลังของนาง ความร้อนนี้แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของเขา

เฟิ่งชิงหัวพลิกตัวลุกขึ้นทันที มองดูริมฝีปากที่ซีดเผือดของชายหนุ่ม ตรงคิ้วมีไอความเย็นจนจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง แต่หน้าอกกลับร้อนผ่าวราวกับหินลาวา

เฟิ่งชิงหัวดึงขากางเกงของเขาทันที และสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นในขณะที่มีผ้าคั่นกลางอยู่

ชีพจรของชายผู้นี้ถูกพิษทำให้ยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว เลือดเย็นและเลือดร้อนสลับกันเร็วบ้างช้าบ้าง เช่นนี้จะทำลายอวัยวะภายในได้ง่าย

เฟิ่งชิงหัวไม่รอช้า รีบสกัดจุดของชายหนุ่มทันที จากนั้นจึงถอดเสื้อผ้าของเขา แล้วใช้นิ้วตวัดไปบนผิวหนังของชายหนุ่มอย่างรวกเร็ว กำลังภายในจากปลายนิ้ว ค่อย ๆ จัดระเบียบเส้นลมปราณของเขาทีละนิดๆ

เหงื่อบนหน้าผากของหญิงสาวค่อย ๆ หยดลงมาทีละหยด ๆ

ชายหนุ่มที่หลับสนิทอยู่ ไม่รู้ว่าตื่นขึ้นมาเมื่อไร เขาลืมตาขึ้น แล้วมองนางด้วยแววตาที่สงบอย่างยิ่ง

เฟิ่งชิงหัวสบตากับเขา แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ท่านเป็นเช่นนี้ทุกคืนเลยหรือ ทำไมถึงไม่บอก ?”

ไม่แปลกใจเลยที่นางมักเห็นเขาในสภาพอิดโนยและดูเศร้าหมองอยู่บ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะถูกพลังร้อนและเย็นทรมานอยู่ทั้งวันทั้งคืน ต่อให้เป็นคนอารมณ์ดีขนาดไหน ก็กลายเป็นคนหงุดหงิดไปได้

รอจนเลือดที่หมุนเวียนอยู่ทั่วร่างของจ้านเป่ยเซียวกลับมาเป็นปกติ และระงับไอความเย็นลงได้แล้ว กำลังภายในของเฟิ่งชิงหัวก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แขนของนางอ่อนยวบ พาดอยู่ลงบนตัวของชายหนุ่ม

ทันใดนั้น จ้านเป่ยเซียวก็ยกมือขึ้นดึงเฟิ่งชิงหัวเข้าไปในอ้อมแขน พิงร่างเล็ก ๆ ของนางลงในอ้อมกอดของตนเอง และกอดนางเอาไว้แน่น

ตอนที่นางเอ่ยถามเขาด้วยความโมโหว่าทำไมเขาถึงไม่บอก หัวใจของจ้านเป่ยเซียวก็รู้สึกสั่นไหวขึ้นมาทันใด

เป็นเวลาเกือบสี่ร้อยวันมาแล้ว ที่ตนเองรู้สึกชินชากับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ในทุกวัน และคิดว่าตนเองคงด้านชาไปนานแล้ว แต่หลังจากที่นางถามคำถามประโยคนี้ออกมา หัวใจที่เงียบเหงาและถูกห่อหุ้มด้วยความหนาวเย็นมาหลายปี จู่ ๆ ก็เต้นขึ้นมา

ราวกับก้อนน้ำแข็งที่แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ

เฟิ่งชิงหัวถูกจ้านเป่ยเซียวกอดจนแทบหายใจไม่ออก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ แม้กระทั่งแรงที่จะผลักเขาออกก็ไม่มี จึงทำได้เพียงพูดอู้อี้ขึ้นมาในอ้อมกอดของชายหนุ่ม : “จ้านเป่ยเซียว นี่ท่านตอบแทนน้ำใจด้วยการแก้แค้นหรือเปล่า ข้าช่วยท่าน แต่ท่านกลับอยากให้ข้าขาดอากาศหายใจตาย”

จ้านเป่ยเซียวได้ยินดังนั้นก็รีบคลายมือออก เมื่อเห็นใบหน้าเล็ก ๆ ที่ซีดเผือดของนาง และมีสภาพที่ไร้เลือดฝาด ยิ่งรู้สึกปวดใจก็ยิ่งต่อว่านางออกมา : “หนานกงเยว่ลั่ว เจ้าโง่หรือเปล่า ?”

ใช้กำลังภายในจัดระเบียบลมปราณ สถานเบาคือใช้กำลังภายในจนหมด สถานหนักคือธาตุไฟแตกซ่านจนไม่อาจรักษาชีวิตไว้ได้

เฟิ่งชิงหัวตบไหล่ของจ้านเป๋ยเซียวอย่างสบาย ๆ : “วางใจเถอะ ข้า หนานกงเยว่ลั่วพูดคำไหนคำนั้น ในเมื่อรับปากแล้วว่าจะเฝ้าท่าน และสกัดพิษให้กับท่าน คงไม่มีทางนั่งมองตาปริบ ๆ ปล่อยให้ท่านตายอย่างแน่นอน หากข้าคิดจะช่วยคน ไม่มีใครที่ข้าไม่สามารถช่วยได้มาก่อน”

ได้ยินดังนั้น สีหน้าของจ้านเป่ยเซียวก็หม่นหมองลงทันที : “หากเจ้าไม่ได้รับปากล่ะ ?”

เฟิ่งชิงหัวแสร้งพูดออกมาอย่างสบาย ๆ : “อย่างน้อยหากข้าพบเข้าก็คงไม่ปล่อยให้ตายโดยไม่ช่วยหรอก”

“ดังนั้น ความหมายของเจ้าก็คือ ต่อให้คืนนี้ไม่ใช่ข้า แต่เป็นคนอื่น เจ้าจะจะเสี่ยงอันตรายเช่นนี้เพื่อช่วยคนหรือ ?” มือของจ้านเป่ยเซียวที่กุมอยู่ตรงไหล่ของเฟิ่งชิงหัวค่อย ๆ คลายออก

เฟิ่งชิงหัวผงะไป จากนั้นก็รีบพยักหน้าทันที : “แน่นอนอยู่แล้ว”

ตาทั้งสองข้างของจ้ายเป่ยเซียวมองนางด้วยความโกรธ สีหน้าดูไม่ได้สักนิด

เฟิ่งชิงหัวลูบปลายจมูกของตนเอง แล้วพูดขึ้นว่า : “เพราะฉะนั้น ตอนนี้ท่านจะปล่อยข้าได้แล้วใช่ไหม ?”

“ปล่อยเจ้า ? ข้าจับเจ้าเอาไว้แน่นตั้งแต่เมื่อไร ?” จ้านเป่ยเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เฟิ่งชิงหัวได้ยินก็ผงะไป จากนั้นจึงค่อย ๆ หันหน้า มองดูมือที่อยู่บนไหล่ของตนเอง จากนั้นก็หันมองจ้านเป่ยเซียวอีกครั้ง แววตาเต็มไปด้วยคำถาม

นี่ท่านไม่ได้จับข้าหรอกหรือ ?

ล้วมือที่จับอยู่เป็นของใคร ?

ใครก็ได้ ลากออกไปกระทืบหน่อย !

จ้านเป่ยเซียวไม่ได้ขยับมือ แต่กลับก้มหน้าลงมองเฟิ่งชิงหัว แล้วพูดอย่างจริงจัง : “ส่งผ่านกำลังภายใน จะต้องถอดเสื้อด้วยหรือ ? หรือว่า พระชายาคิดจะฉวยโอกาสนี้ทำอะไรกับข้า ?”

อะไรที่เรียกว่าหาเรื่องกลับ ก็เช่นนี้หละ !

เฟิ่งชิงหัวกำลังจะอธิบายขั้นตอนการรักษาของตนเองให้จ้านเป่ยเซียวฟัง ก็ได้ยินชายหนุ่มพูดเจื้อยแจ้วขึ้นว่า : “เจ้าไม่รู้จักอายบ้างหรือ ?”

“ฮะ ?”