ตอนที่ 154 เถ้าแก่ใหญ่จะมาถึงพรุ่งนี้
ตอนที่ 154 เถ้าแก่ใหญ่จะมาถึงพรุ่งนี้
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “นี่ เธอยังคาดหวังว่างานนี้จะเป็นชามข้าวเหล็ก(1)ของตัวเองอีกเหรอ?”
ชุนฟางก้มหน้าลง
ใช่ หล่อนต้องการถือชามข้าวเหล็กใบนี้ไว้ให้มั่น ครอบครัวของหล่อนเองก็เหมือนกัน
หลินเซี่ยมองหล่อนและพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ชุนฟาง เธอควรจะตระหนักได้แล้วว่าร้านตัดผมของรัฐไม่ใช่แบบที่เคยเป็นอีกต่อไป ตอนนี้มีร้านตัดผมของเอกชนเปิดให้บริการอยู่ทุกที่ หลายแห่งดำเนินกิจการโดยช่างตัดผมจากฮ่องกงและเมืองเชินเฉิง ทุกวันนี้มีทรงผมที่ทันสมัยมากขึ้น ร้านเสริมสวยผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดจนร้านตัดผมของรัฐอาจต้องเปลี่ยนแปลงบางอย่างในไม่ช้า พนักงานประจำอาจไม่ถูกเลิกจ้าง แต่เด็กฝึกงานแบบเธออาจเกาะงานนั้นไว้ไม่ได้อีกต่อไป อีกอย่าง แม้ว่าเธอจะอยู่ในร้านตัดผมของรัฐ เธอก็ไม่มีอนาคตอยู่ดี เธอเคยได้รับโอกาสให้ตัดผมลูกค้าบ้างหรือเปล่าล่ะ? เคยมีความหวังว่าจะได้ขึ้นเป็นพนักงานประจำบ้างไหม?”
ชุนฟางส่ายหัวด้วยความสิ้นหวัง “แต่ฉันเพิ่งจะเรียนมาแค่ครึ่งปี ต่อให้ลงมือจริงก็ทำไม่ได้แน่”
หลินเซี่ยบอกว่า “ฉันเรียนมาหนึ่งปีเต็มก็ไม่มีโอกาสได้เริ่มต้นเลยเหมือนกัน งานประจำวันของฉันคือการสระผมให้ลูกค้า ทำความสะอาดร้าน และยืนอยู่ข้าง ๆ อาจารย์เพื่อเรียนรู้ขั้นตอนการทำผม”
บางครั้ง ใช่ว่าอาจารย์ไม่ยอมให้ลูกศิษย์แสดงฝีมือ แต่ลูกค้าไม่ยินยอมต่างหาก
ร้านตัดผมโดยพื้นฐานแล้วมีลูกค้าประจำ ทุกคนสามารถระบุได้ว่าใครเป็นช่างมีประสบการณ์ และใครเป็นเด็กฝึกงานทันทีที่เดินเข้ามา
นี่ทำให้เด็กฝึกงานไม่มีโอกาสได้ลงมือทำจริงเลย
“นอกจากนี้ หลังจากที่ฉันออกมาจากที่นั่น หลิวลี่ลี่ก็มุ่งเป้าโขกสับเธอตลอดเลยไม่ใช่หรือไง? หล่อนก็แค่ผู้หญิงบ้าอำนาจที่ชอบรังแกคนอ่อนแอกว่า แต่หวาดกลัวคนแข็งแกร่ง ไม่มีทางเปิดโอกาสก้าวหน้าดี ๆ ให้เธอแน่ ด้วยนิสัยที่อ่อนแอของเธอแล้ว ฉันมั่นใจว่าเธอไม่กล้าพอที่จะต่อต้านหล่อนหรอก”
คำพูดของหลินเซี่ยกระตุ้นความเจ็บปวดของชุนฟางอย่างสมบูรณ์ หล่อนก้มหน้าลง นึกถึงวันที่หลิวลี่ลี่เปลี่ยนเป้าหมายในการกลั่นแกล้ง ทั้งยังเอาเปรียบตนอยู่เสมอ คิดแล้วรู้สึกหดหู่และเจ็บปวดมาก
วันนี้หล่อนไม่ยอมเชื่อฟังหลิวลี่ลี่ที่สั่งให้ไปทำความสะอาดหมวกอบร้อนสองเครื่อง พรุ่งนี้จะถูกเล่นงานอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
“ชุนฟาง อีกไม่กี่วันฉันจะเปิดร้านอย่างเป็นทางการแล้ว เธอลองกลับไปคิดดูให้ดี คิดดีแล้วค่อยกลับมาหาฉันเมื่อไหร่ก็ได้ ฉันจะยังไม่รับสมัครคนเพิ่มในเร็ว ๆ นี้หรอก เมื่อก่อนเราสองคนทำงานเข้าขากันได้ดี ฉันยังหวังว่าจะตำแหน่งผู้ช่วยจะเป็นของเธอนะ กลับไปคิดให้รอบคอบแล้วกัน ถ้าเธอยังปฏิเสธ ไว้ฉันค่อยรับสมัครคนอื่น”
“ได้” ชุนฟางรู้สึกอบอุ่นในใจหลังจากฟังคำพูดของหลินเซี่ย แต่หล่อนไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ด้วยตัวเองได้ และยังไม่อยากลาออกจากที่เดิมจริง ๆ
“เอาล่ะ ไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”
หลินเซี่ยเลี้ยงชุนฟางด้วยผัดผัก และยังซื้อใส่ถุงอีกส่วนหนึ่งสำหรับหู่จือด้วย จากนั้นก็ไปส่งอีกฝ่ายขึ้นรถประจำทาง ก่อนจะไปรับหู่จือกลับจากโรงเรียนอนุบาล
วันนี้เป็นวันศุกร์ หู่จือวิ่งออกมาพร้อมกับกระโดดโลดเต้นหลังเลิกเรียน เมื่อเขาเห็นหลินเซี่ย เขาก็เงยหน้าขึ้นและตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “แม่ฮะ พรุ่งนี้วันหยุดแล้ว ในที่สุดผมก็ได้ไปที่ร้านแล้วดูแม่ตัดผมให้คนอื่นซะที ผมบอกที่อยู่ของร้านตัดผมให้เพื่อนร่วมชั้นเรียบร้อยแล้ว บอกให้พวกเขามาตัดผมกับเรา แล้วพวกเขาจะได้ส่วนลดสองเหมาถ้าพวกเขาบอกชื่อผม”
หลินเซี่ย “!!!”
“แม่ลดราคาให้พวกเขาได้ไหม?”
หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ได้สิ”
เสี่ยวฮวาก็เดินออกมาด้วยเช่นกัน หลินเซี่ยจึงพาเสี่ยวฮวากลับบ้าน
เมื่อพวกเขามาถึงบ้านแล้ว หลินเซี่ยขอให้เสี่ยวฮวามาอยู่ที่บ้านเธอก่อนเพื่อกินข้าวมื้อเย็น แต่เสี่ยวฮวาบอกว่าหล่อนมีกุญแจ สามารถเข้าไปอยู่รอแม่ในบ้านได้
ว่าแล้วเสี่ยวฮวาก็วิ่งไปที่บ้านป้าหวังที่เกษียณแล้วอย่างคุ้นเคยเพื่อขอกุญแจบ้าน จากนั้นก็เปิดประตู กล่าวคำอำลากับหลินเซี่ยอย่างมีสัมมาคารวะ
หลินเซี่ยมองฉากดังกล่าวด้วยความอบอุ่นใจอย่างยิ่ง
ในยุคสมัยที่ผู้คนยังเรียบง่ายและจริงใจ บรรดาเพื่อนบ้านต่างรักและไว้วางใจกันมากจริง ๆ
การฝากกุญแจไว้กับเพื่อนบ้านเมื่อตัวเองออกไปข้างนอกไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสังคมชนบทเท่านั้น สังคมเมืองเองก็ทำแบบนั้นเช่นเดียวกัน
หลังจากเข้าไปในบ้าน หลินเซี่ยขอให้หู่จือล้างมือ จากนั้นเทอาหารที่บรรจุใส่ถุงลงในชามแล้วยกออกมา ก่อนที่เธอจะนั่งลงด้านข้าง เฝ้าดูหู่จือกิน
“หู่จือ พรุ่งนี้เช้าแม่ไปส่งลูกที่บ้านคุณปู่ดีไหม?” หลินเซี่ยพูดพลางมองหน้าเขา
“แต่ผมอยากอยู่ที่ร้านดูแม่ตัดผมให้คนอื่นนี่นา”
“ตอนเช้าอากาศหนาวเกินไป ยังไม่มีลูกค้ามาที่ร้านหรอก แม่ว่าจะเริ่มเปิดร้านตอนเที่ยงเป็นต้นไป”
หลินเซี่ยพูดต่ออย่างสบาย ๆ
“พรุ่งนี้เช้าถ้าลูกไปที่บ้านคุณปู่ แม่อยากมอบหมายงานบางอย่างให้ลูกทำ แม่วานให้ลูกช่วยพาอาสามออกมาที่นี่ บอกเขาว่าพ่อของลูกไม่อยู่ เลยอยากให้เขาออกมาช่วย”
เมื่อหู่จือได้ยินว่าตัวเองได้รับมอบหมายงาน เขาก็ตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ไม่มีปัญหาครับ ผมสัญญาว่าจะทำงานให้สำเร็จ”
“ยังมีข่าวดีอีกอย่าง พรุ่งนี้ลุงเซี่ยของลูกเขาจะมาที่ไห่เฉิงล่ะ”
“ว้าว ลุงเซี่ยก็จะมาที่นี่เหมือนกันเหรอ?” หู่จือลุกพรวดด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับลุงเซี่ยของเขา
สังเกตจากปฏิกิริยาของหู่จือแล้ว บอกได้เลยว่าลุงเซี่ยคนนี้ใจดีกับหู่จือแค่ไหน
หลินเซี่ยกดไหล่เขาให้นั่งลง รอให้หู่จือกินจนเสร็จ จากนั้นก็ยิ้มเบาบางแล้วถามว่า
“บอกแม่หน่อยสิ ลุงเซี่ยของลูกเขาเป็นคนแบบไหนเหรอ?”
“เขาเป็นคนดีมากครับ แถมยังมีเงินมากมาย แต่งตัวหล่อทันสมัย ทำทรงผมเหมือนดาราในทีวี ใส่รองเท้าหนังหัวแหลมเปี๊ยบ ตัวสูงใหญ่มากด้วย”
เมื่อถามเด็ก เด็กก็อธิบายบุคคลนั้นจากสัญชาตญาณโดยบอกเล่าจากรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น
“แล้วนิสัยล่ะ? เขาเป็นคนจริงจังมากหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถามอีกครั้ง
“ไม่จริงจังเลย เขาใจดีกับผมมาก”
หู่จือเอียงหน้ามองหลินเซี่ย แล้วพูดด้วยอารมณ์ที่ประทับใจอย่างออกนอกหน้า “ลุงเซี่ยซื้อเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ผมบ่อย ๆ ให้เงินจำนวนมากทุกครั้งที่เขามาที่นี่ เขารวยที่สุดในบรรดาลุง ๆ ทุกคนแล้ว แถมยังเป็นคนที่เอาใจใส่ผมมากที่สุดด้วย
อืม… ผมจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง พ่อตีผม พอเขารู้เขาก็ทะเลาะกับพ่อทันทีเลย บอกว่าจะพาผมไปอยู่อีกที่หนึ่ง ไม่พูดเปล่า ๆ ยังพาผมไปที่สถานีรถไฟ แต่พ่อไล่ตามผม แล้วพาผมกลับมาซะก่อน”
หลินเซี่ย “…”
นี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่และจริงใจมากสำหรับหู่จือ
แม้จะออกแนวตามใจไปหน่อยก็ตาม
หลินเซี่ยจับใบหน้าเล็ก ๆ ของหู่จือไว้ มองหน้าเขาแล้วถามว่า “หู่จือ ลูกว่าแม่ดีกับลูกไหม?”
“ดีฮะ ดีมาก ๆ เลย” หู่จือตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด
“งั้นถ้าแม่มีเรื่องบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือจากลุงเซี่ยของลูกในอนาคต ลูกต้องมีบทบาทอย่างแข็งขันเพื่อช่วยให้แม่ได้รับผลพลอยได้ด้วยนะ”
หู่จือไม่เข้าใจ “ผลพลอยได้คืออะไรเหรอ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ไม่มีอะไร ลูกโตไปเดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
“ถ้าลุงเซี่ยมา แล้วพ่อจะกลับมากับเขาด้วยหรือเปล่า?”
หู่จือมองไปที่หลินเซี่ยพร้อมถามอย่างคาดหวังอีกครั้ง
“ควรจะเป็นอย่างนั้น”
หลินเซี่ยตอบอย่างเศร้าใจ เธอเก็บจานของหู่จือ เปิดทีวีให้เขา แล้วพูดว่า “หู่จือ ดูทีวีคนเดียวไปก่อนนะ แม่จะแวะไปที่บ้านคุณลุงหยางซะหน่อย จะได้ถามว่าพ่อของลูกเขาจะกลับมาเมื่อไหร่”
“ครับ”
หลินเซี่ยปิดประตูแล้วไปที่บ้านของหยางเป่าเฉวียน
พี่สาวหลิวกำลังดูทีวีอยู่ในขณะนี้ เมื่อเธอเห็นหลินเซี่ยก็รีบเชิญอีกฝ่ายเข้าไปในบ้าน
“พี่สาวหลิว ทางคุณพอจะได้รับข่าวคราวอะไรกลับมาบ้างไหมคะ? เมื่อไหร่เฉินเจียเหอกับหยางกงจะกลับมา?”
แม้ว่าพี่สาวหลิวจะกังวลมาก แต่ด้วยความที่เป็นผู้ใหญ่กว่า หล่อนยังคงตอบอย่างใจเย็นเมื่ออยู่ต่อหน้าหลินเซี่ยเพื่อไม่ให้สาวรุ่นน้องหวั่นวิตกเกินไป “เสี่ยวหลิน ไม่ต้องกังวลนะ พวกเขาอาจจะต้องใช้เวลาซ่อมต่อไปอีกสองสามวัน”
“คุณได้ติดต่อกับหยางกงบ้างหรือเปล่า?” หลินเซี่ยถาม
พี่สาวหลิวส่ายหน้า “ไม่เลย ปกติพวกเขาไม่ค่อยโทรกลับมาที่บ้านหรอกเวลาเดินทางไปทำงานนอกสถานที่ โดยเฉพาะเวลาพวกเขาไปสถานที่อับสัญญาณแบบครั้งนี้ แถมลักษณะงานก็ดูรัดกุมมาก ต้องคอยรายงานกับหน่วยสืบสวนอีก งานคงยุ่งมากจนโทรกลับมาไม่ได้”
“แล้วตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนคะ? ยังอยู่ในพื้นที่ที่เกิดเหตุหรือเปล่า? พวกเขาได้บอกที่อยู่เฉพาะเจาะจงไหม?”
พี่สาวหลิวคิดว่าหลินเซี่ยอาจร้อนใจจนอยากบุกไปหาเขาถึงที่ ดังนั้นจึงรีบเตือนเธอว่า “เสี่ยวหลิน อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น เราคอยฟังข่าวอยู่เบื้องหลังดีกว่า ไม่ควรก่อปัญหาใด ๆ”
“พี่สาวหลิว ฉันไม่ได้จะก่อปัญหาอะไร ฉันแค่อยากรู้ว่าสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แค่คิดว่ามันคือที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรม ฉันก็กลัวจะแย่”
“อย่ากลัวไปเลย สภาพแวดล้อมการทำงานในส่วนของช่างเทคนิคมีความปลอดภัยสูงอยู่แล้ว ไม่งั้นอาจเกิดข้อผิดพลาดกันทั้งหมด”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน ก็มีคนมาเคาะประตูอีกครั้ง
พี่สาวหลิวเปิดประตู เห็นว่าคนที่ยืนอยู่ด้านนอกคือเลขานุการหลี่
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ถ้าไม่มีเหตุจำเป็นเลขาหลี่คงไม่คิดจะเข้าไปในบ้าน แต่เมื่อเขาเห็นว่าหลินเซี่ยอยู่ที่นั่นด้วย จึงเดินเข้าไปโดยไม่ต้องหลบเลี่ยงข้อครหา
“เสี่ยวหลิน เสี่ยวหลิว ผมว่าจะตามหาพวกคุณทั้งสองอยู่พอดี”
“เลขาหลี่ มีข่าวอะไรกลับมาบ้างไหมคะ?” หลินเซี่ยถามอย่างเร่งรีบ
เลขานุการหลี่ตอบว่า “เสี่ยวเฉินและเหล่าหยางน่าจะกลับมาภายในวันจันทร์หน้า”
“จริงเหรอ? เลขาหลี่ คุณได้ต่อสายตรงโทรคุยกับพวกเขาบ้างหรือเปล่าคะ?”
เลขานุการหลี่อธิบาย “สภาพแวดล้อมการทำงานของพวกเขาค่อนข้างเป็นพื้นที่อับสัญญาณ โทรติดต่อกับพวกเขาค่อนข้างยาก โชคดีที่ผู้อำนวยการโรงงานยานยนต์หนานเฉิงซึ่งเป็นผู้ผลิตหัวรถจักรที่เกี่ยวข้องในอุบัติเหตุเคยทำงานที่โรงงานของเรามาก่อน ผมเลยติดต่อเขาเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์”
“พวกคุณโปรดอดทนรอต่อไปอีกหน่อย แม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้จะร้ายแรงแค่ไหน แต่คนของเรามีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบเครื่องจักรที่เกิดอุบัติเหตุเท่านั้น จะไม่มีเหตุสุดวิสัยใด ๆ เกิดขึ้น”
“ขอบคุณมากค่ะเลขาหลี่”
เนื่องจากเป็นอุบัติเหตุของหัวรถจักร โรงงานยานยนต์ทั้งหมดจึงถูกระดมช่างเทคนิคให้ลงพื้นที่ไปแก้ปัญหา เลขาหลี่ในฐานะผู้นำก็ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเวลานี้
หลังจากที่เลขาหลี่จากไป หลินเซี่ยก็รู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง จึงกลับบ้านไปนอน
วันรุ่งขึ้น ขณะที่หลินเซี่ยและหู่จือยังนอนหลับอยู่ ใครบางคนก็มาเคาะประตู
หลินเซี่ยขยี้ตาที่พร่ามัวของตัวเองแล้วเดินไปเปิดประตู เมื่อเธอเห็นเจียงอวี่เฟย เธอก็อ้าปากหาววอดและถามว่า “มาทำอะไรตั้งแต่เช้าแบบนี้เนี่ย?”
“สายแล้วต่างหาก”
เจียงอวี่เฟยรีบเข้าไปในบ้านและพูดด้วยน้ำเสียงกังวล “การประกวดนางแบบรอบออดิชั่นคือวันเสาร์หน้า ฉันเหลือเวลาซ้อมอีกไม่มากแล้ว ต้องฝึกฝนให้เร็วที่สุด เธอต้องช่วยฉันนะ”
“การเดินแบบของเธอเริ่มเป็นมืออาชีพมากขึ้นแล้วนี่? ไม่ว่าจะเป็นความมั่นใจหรือรูปร่างหน้าตา เธอก็ได้รับคะแนนขาดลอยอยู่แล้ว เธอต้องออดิชั่นรอบแรกผ่านแน่”
“ถึงอย่างนั้นฉันก็ไม่อยากชะล่าใจอยู่ดี”
เดิมทีเจียงอวี่เฟยต้องการไปฝึกเดินในลานบ้านของหลิวกุ้ยอิงซึ่งกว้างขวางกว่า แต่เมื่อนึกถึงสายตาที่เหมือนหมาป่าจ้องตะครุบเหยื่อของหลินจินซาน หล่อนก็เปลี่ยนใจทันควัน
หลินเซี่ยขอให้หล่อนนั่งลงก่อน จากนั้นกลับเข้าไปในห้องนอนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า และล้างหน้าเพื่อให้ตื่นเต็มตา
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” เจียงอวี่เฟยมองเธอแล้วพูดด้วยสีหน้าซุบซิบนินทา
“มีอะไรอีกล่ะ?” หลินเซี่ยระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ อย่าบอกนะว่าหล่อนจะขอให้ตัวเองช่วยโน้มน้าวให้หลิวกุ้ยอิงพิจารณาแต่งงานใหม่อีกแล้ว?
เจียงอวี่เฟยขยับเข้ามาใกล้เธอมากขึ้น มองเธอด้วยดวงตาเป็นประกายสดใสแล้วพูดว่า “ก่อนหน้านี้ เธอบอกว่าถ้าฉันเห็นผู้ชายมาตามหาเสิ่นอวี้อิ๋ง ให้บอกที่อยู่โรงเรียนของเสิ่นอวี้อิ๋งให้เขารับรู้ใช่ไหมล่ะ?”
“เธอได้เจอเขาแล้วเหรอ?” หลินเซี่ยเลิกคิ้วเล็กน้อย
เจียงอวี่เฟยตอบกลับ “พ่อฉันน่ะสิที่เป็นคนเจอเขา”
…………………………………………………………………………………………………………………………
ชามข้าวเหล็ก 铁饭碗 อาชีพที่มั่นคง
สารจากผู้แปล
ได้ข่าวว่าพี่เหอปลอดภัยก็โล่งใจแล้วค่ะ พี่หายไปนานมากเลย
เจ้ากรรมนายเวรยัยอวี้อิ๋งมาแล้วใช่ไหม
ไหหม่า(海馬)