“สหายของพวกเจ้าจะมารับที่ตรงนี้อย่างงั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นตัวเราจะรออยู่ที่นี่ด้วยจนกว่าสหายของพวกเจ้าจะมาถึงก็แล้วกัน”
ในช่วงรุ่งเช้าของวันถัดมานั้นเอง หลังจากที่พวกนากาเก็บข้าวของของพวกเขาจนเสร็จแล้วและพากันเดินกลับไปจนถึงริมถนนตรงจุดที่พวกเขาแยกทางกับมีอา ชิโยะที่เดินตามพวกเขามาด้วยและคอยดูแลอีฟระหว่างทางก็ได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาให้พวกเขาได้ยิน
ซึ่งคำพูดของชิโยะนั้นก็ได้ทำให้อีฟที่ถูกเธอจูงมืออยู่ต้องเงยหน้าขึ้นไปมองเพื่อนใหม่ของเธอด้วยท่าทีสงสัยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดจาเหมือนกับจะบอกลากันแล้ว ในขณะที่ทางด้านโมโกะที่ถึงแม้ว่าจะได้พักผ่อนไปหนึ่งคืนแล้วแต่ก็ยังคงไม่ค่อยจะมีเรี่ยวแรงจนถูกนากาแบกเอาไว้บนหลังเองก็ได้เอ่ยปากพูดถามขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
“จะไม่ไปด้วยกันหรอ? ที่เมืองหลวงมีของกินอร่อยกว่าอาหารถุงเมื่อคืนอีกนะ…”
“เจ้าหยุดเอาอาหารมาล่อเราเดี๋ยวนี้เลยนะ! ถึงจะเห็นแบบนี้แต่ว่าเราก็มีหน้าที่จะต้องทำอยู่ในถ้ำนั่นนะ เพราะฉะนั้นคงจะให้เราไปจากที่แห่งนี้ไม่ได้หรอก”
ชิโยะที่ได้ยินคำพูดล่อลวงของโมโกะนั้นได้ชะงักหยุดนิ่งชั่วขณะราวกับคำว่าอาหารอร่อยที่ว่านั้นมันฟังดูยั่วยวนใจเธอเสียเหลือเกินก่อนที่เธอจะตั้งสติได้และสะบัดนิ้วชี้ไปยังโมโกะและพูดต่อว่าออกมา
ซึ่งท่าทางของชิโยะที่ดูเหมือนเกือบจะถูกล่อลวงด้วยของกินได้อย่างง่ายๆ นั้นก็ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดหยอกล้อขึ้นมา
“หืม? แต่ไม่ใช่ว่าเธอก็แค่นอนอยู่ในถ้ำ—”
“หวายๆ อย่าพูดอย่างนั้นสิคะนากาคุง คุณชิโยะเขาเป็นถึงเทพมังกรเลยนะคะ เพราะงั้นก็คงจะมีหน้าที่อะไรสักอย่างอยู่ในถ้ำนั่นอยู่แล้วแหล่ะค่ะ”
คำพูดของนากานั้นได้ทำให้รีซาน่าต้องรีบพูดห้ามปรามขึ้นมาในทันที แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของเธอที่ฟังดูสุภาพเกินกว่ามาตรฐานที่ชิโยะวางเอาไว้นั้นก็ได้ทำให้เทพมังกรในร่างของหญิงสาวต้องขมวดคิ้วพูดเตือนขึ้นมา
“เราบอกว่าให้เรียกว่าชิโยะเฉยๆ ก็พอแล้วไม่ใช่หรือแม่หนูยักษ์สีฟ้า แล้วอีกอย่างนึงนะ เราขอบอกเลยว่าเราไม่ได้แค่นอนเฉยๆ อยู่ในถ้ำ แต่ว่าเรากำลังทำหน้าที่… หน้าที่… เอ… มันหน้าที่อะไรที่ทำให้เราต้องอยู่แต่ในถ้ำนั่นมาตลอดนะเดรค?”
“จะไปรู้เรอะ…”
คำพูดของชิโยะที่อยู่ดีๆ ก็นิ่งเงียบไปและพูดถามเดรคขึ้นมาด้วยท่าทีไม่มั่นใจนั้นได้ทำให้ชายหนุ่มร่างยักษ์ต้องเอ่ยปากพูดตอบเธอกลับไปสั้นๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านชิโยะก็กลับดูเหมือนว่าจะไม่ได้คาดหวังคำตอบจากเดรคอยู่แล้วและเอียงคอนึกถึงเรื่อง ‘หน้าที่’ ที่เธอกำลังจะพูดถึงอยู่ต่อไป
“อื้ม… หน้าที่ที่ทำให้เราต้องอยู่ในถ้ำนั่นมันคืออะไรกันแน่นะ…”
“เดี๋ยวสิ ไม่ใช่ว่ามันเป็นหน้าที่ของเธอเองหรอกหรอน่ะชิโยะ ไหงเธอถึงนึกไม่ออกจนต้องหันไปถามเดรคเขาแบบนั้นกันล่ะ?”
ท่าทางของชิโยะที่กำลังเอียงคอเอานิ้วขึ้นมาทาบแก้มเพื่อนึกถึงหน้าที่ที่เธอต้องทำนั้นได้ทำให้ทุกคนต้องหันไปมองหน้ากันด้วยความแปลกใจก่อนที่นากาที่จะเป็นคนเอ่ยปากพูดถามขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ชิโยะที่กำลังเอานิ้วแทบแก้มเอียงคอนึกอยู่สะบัดนิ้วไปชี้ทางด้านนากาแทนก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดตอบกลับไป
“ก็ในเมื่อมันนึกไม่ออกแล้วเจ้าจะให้เราทำอย่างไรกันเล่า!? ถึงหน้าที่การตรวจหาความผิดปกติของวิซธาตุดินมันจะไม่ได้กำหนดให้เราต้องอยู่แต่ในถ้ำเสียก็เถอะ แต่ว่ามันมีอีกหน้าที่หนึ่งที่เรานึกมันไม่เคยออกอยู่ด้วยเสียนี่สิ! อย่างกับว่าความทรงจำตรงส่วนนั้นของเรามันถูกคนลบเลือนมันทิ้งไปเสียอย่างนั้นนั่นแหล่ะ!”
หลังจากที่ชิโยะพูดตอบนากากลับไปเสร็จแล้วเธอก็เอานิ้วกลับไปทาบแก้มและเอียงคอไปมาเพื่อนึกถึงหน้าที่ที่เธอนึกไม่ออกต่อไป ในขณะที่ทางด้านพวกเด็กๆ อย่างพวกนากานั้นก็ได้หันไปมองหน้ากันเองด้วยความแปลกใจกับหนึ่งในหน้าที่ที่ชิโยะพูดขึ้นมาก่อนที่โมโกะที่ถึงแม้ว่าจะเหนื่อยอ่อนแต่ก็ยังเป็นคนหัวไวที่สุดในหมู่พวกเขาจะเอ่ยปากพูดถามชิโยะขึ้นมา
“ความผิดปกติของวิซธาตุดินงั้นหรอ…?”
“ใช่แล้วล่ะ ก็อย่างเช่นว่าถ้าเกิดอยู่ๆ ก็มีเด็กมนุษย์ที่ใช้วิซธาตุดินถือกำเนิดมาเป็นจำนวนน้อยลง หรือว่าอยู่ๆ คริสตัลวิซธาตุดินก็หยุดถือกำเนิดขึ้นมาจากผืนดินไปอย่างกะทันหันอย่างไรกันเล่า”
“—!?”
คำตอบของชิโยะนั้นได้ทำให้โมโกะชะงักไปด้วยความตกใจก่อนที่เธอจะพูดถามขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
“ถ้าเธอบอกว่าตัวเองเป็นคนดูแลวิซธาตุดินแล้วถ้างั้นก็แปลว่ามีคนคอยดูแลวิซธาตุอื่นๆ อยู่ด้วยเหมือนกันหรือเปล่าน่ะ!?”
“ก็ใช่แล้วน่ะสิ นอกจากตัวเราแล้วก็มีอีกห้าคนที่คอยดูแลวิซของแต่ละธาตุอยู่ด้วยน่ะ”
“ถ–ถ้างั้นเธอพอจะบอกพวกฉันได้หรือเปล่าน่ะว่าเกิดอะไรขึ้นมากับคนที่ทำหน้าที่ดูแลวิซธาตุน้ำแข็งกับธาตุไฟฟ้าน่ะ?”
“หืม? เจ้าจะอยากรู้เรื่องนั้นไปทำไมกันเล่า… แต่ก็เอาเถอะนะ เดี๋ยวเราจะลองตรวจสอบดูให้ก็แล้วกันว่าพวกเขาเป็นอย่างไรกันบ้างน่ะ”
คำพูดของโมโกะที่พูดถามขึ้นมาหลังจากที่ชิโยะพูดจาเหมือนกับว่าเธอเป็นคนที่ทำหน้าที่คอยดูแลสมดุลของวิซธาตุดินดั่งเช่นหนึ่งในหกเทพพิทักษ์ในตำนานเล่าขานนั้นได้ทำให้ชิโยะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ
แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังคงยอมหลับตาลงเหมือนกับจะตั้งสมาธิก่อนที่เขามังกรสีชมพูและชุดเดรสสีชมพูอ่อนของเธอที่ที่จริงแล้วเป็นเกล็ดมังกรคริสตัลวิซจะเรืองแสงออกมาอยู่สักพักหนึ่งจนกระทั่งเธอลืมตากลับขึ้นมาอีกครั้งและพูดตอบคำถามของโมโกะขึ้นมา
“อื้ม… ตัวเรายังสัมผัสได้ถึงพวกเขาอยู่เลย ถึงแม้ว่าทั้งสองคนที่เจ้าว่ามาจะสัมผัสดูเลือนรางไปบ้างก็เถอะนะ… ว่าไปแล้วก็น่าคิดถึงอยู่เหมือนกันนะ พวกเราทั้งหกไม่ได้พบเจอกันอย่างพร้อมหน้ามานานแค่ไหนกันแล้วเชียว…”
“เลือนรางงั้นหรอ?”
คำตอบของชิโยะนั้นได้ทำให้นากาต้องเลิกคิ้วด้วยความสงสัยในขณะที่ในใจของเขานั้นก็นึกไปถึงเรื่องดวงตาของคาร์เทียร์ที่ถูกผ่าตัดเปลี่ยนไปเป็นดวงตาที่น่าจะเป็นของหนึ่งในหกเทพพิทักษ์ธาตุสายฟ้าขึ้นมาได้
แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่นากาจะได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา โมโกะที่ดูเหมือนว่าจะคิดถึงเรื่องเดียวกันอยู่ก็ได้ชิงพูดถามชิโยะขึ้นมาเสียก่อน
“ถ–ถ้างั้นเธอพอจะรู้ที่อยู่ของพวกเขาในตอนนี้หรือเปล่าน่ะชิโยะ?”
“หืม? เราก็ต้องทำได้อยู่แล้วซิ แต่ว่ามันต้องใช้เวลานานกว่าการสัมผัสตัวตนของพวกเขาอยู่บ้างนะ เอาเป็นว่าพวกเจ้ารอเราสักครู่ก็แล้วกัน”
ชิโยะพูดตอบคำถามของโมโกะกลับไปและหลับตาลงพร้อมกับทำให้ส่วนที่เป็นเกล็ดมังกรของเธอเรืองแสงขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งในขณะที่ทางด้านอีฟนั้นก็เหมือนว่าจะสนใจในเกล็ดมังกรของชิโยะที่กำลังเรืองแสงอยู่เธอจึงได้ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ พวกมัน
ส่วนทางด้านเดรคที่เห็นว่ารถของพวกเขายังมาไม่ถึงนั้นก็กลับไม่ได้ให้ความสนใจในสิ่งที่ชิโยะกำลังทำอยู่เลยแม้แต่น้อยและปักดาบยักษ์สีดำของเขาลงกับพื้นก่อนจะหันไปมองทางด้านหญิงสาวไร้ชื่อผู้มีเขาสีขาวและเคยดำรงตำแหน่งเดรคเช่นเดียวกับเขาที่ยังคงนิ่งเงียบอยู่ด้วยสายตานิ่งๆ ราวกับกำลังคิดว่าจะทำยังไงกับอีกฝ่ายดีอยู่
และหลังจากนั้นอีกไม่นานสักเท่าไหร่นัก แสงสว่างบนเกล็ดมังกรของชิโยะก็ได้วูบดับลงก่อนที่เธอจะลืมตาและเอ่ยปากพูดขึ้นมา
“อื้ม… เราเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกนั้นอยู่ที่ไหนน่ะ ไม่แน่ว่าอาจจะขี้เกียจแล้วก็เลิกทำหน้าที่ไปแล้วก็ได้กระมั้ง… เพราะอย่างน้อยๆ เราก็สัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่จุดเดิมกับที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่แล้วน่ะ”
“แค่บอกได้แบบนั้นก็สุดยอดแล้วล่ะ สมแล้วที่เป็นท่านเทพมังกรชิโยะ…”
คำตอบของชิโยะนั้นได้ทำให้นากาอดไม่ได้ที่จะพูดตอบกลับไปด้วยความนึกสนุก เพราะดูท่าทางแล้วว่าเทพมังกรสาวคนนี้จะแหย่ขึ้นไม่ใช่น้อย และก็เป็นที่แน่นอนว่าพอชิโยะได้ยินคำพูดหยอกเย้าของนากาเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้เข้าไปเธอก็ไม่รอช้าที่ชะสะบัดนิ้วชี้ไปทางเขาและเอ่ยปากพูดต่อว่าขึ้นมาในทันที
“ของมันแน่อยู่แล้ว! แต่ขอเราพูดอะไรสักหน่อยเถอะ คำว่ามังกรนั่นน่ะยังพอว่า แต่ชื่อของเราไม่มีคำว่า ‘เทพ’ นำหน้าอยู่หรอกนะ! แล้วการเอาคำว่า ‘เทพเจ้า’ มาใส่ตัวก็มีแต่จะสร้างปัญหาด้วย! ถ้าเกิดว่ามีคราวหน้าอีกอย่าหาว่าเราไม่เตือนเจ้าล่ะ!”
“ข–เข้าใจแล้วครับ!”
คำพูดต่อว่าด้วยน้ำเสียงดุๆ ของชิโยะนั้นได้ทำให้นากาพอจะรู้ตัวว่าเขาอาจจะล้ออีกฝ่ายเล่นมากเกินไปสักหน่อยแล้ว เขาจึงต้องรีบพูดขอโทษออกมาในทันที และนั่นก็ทำให้ชิโยะพยักหน้าด้วยความพึงพอใจพร้อมกับตีปีกมังกรของเธอเข้าใส่อีฟเล่นอีกครั้งหนึ่ง
“รู้จักปรับตัวและเอ่ยปากขออภัยเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้วล่ะ และจะดีกว่านี้ถ้าเจ้าทำตัวว่านอนสอนง่ายเยี่ยงอย่างแม่หนูอีฟคนนี้นะ~”
“จะว่าไปถ้าจะให้พูดถึงอีฟ… เธอพอจะดูให้สักหน่อยได้หรือเปล่าว่าอีฟเขามีความผิดปกติอะไรหรือเปล่าน่ะ คือว่าจนป่านนี้แล้วเขาก็ยังไม่ยอมลืมตาแล้วก็ยังไม่ยอมพูดเลยน่ะ”
“หืม? ถึงเราจะไม่รู้เรื่องอาการป่วยของเด็กมนุษย์มากสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเป็นเรื่องของความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับวิซล่ะก็เดี๋ยวเราจะช่วยดูให้เองก็แล้วกัน”
เทพมังกรชิโยะพยักหน้ารับคำของนากาแต่โดยดีก่อนที่เธอจะยื่นมือออกไปจับใบหน้าของอีฟที่กำลังมองไปมาซ้ายขวาตามจังหวะการกระพือปีกของเธอเอาไว้เพื่อให้เด็กสาวหันมามองทางเธอ
ซึ่งทั้งสองคนก็ได้นิ่งเงียบไปสักพักหนึ่งก่อนที่ชิโยะจะเผยท่าทีประหลาดใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด
“โอ๊ะ— โอ้… นี่เราฝีมือตกไปขนาดนี้เลยงั้นหรือเนี่ย…”
“ทำไมหรอชิโยะ อีฟเขามีอะไรผิดปกติหรือเปล่าน่ะ?”
คำพูดและท่าทางแปลกใจของชิโยะนั้นได้ทำให้ทั้งนากาและโมโกะต่างพากันเข้าไปมุงถามขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านชิโยะก็กลับไม่มีท่าทีว่าจะเป็นห่วงเด็กสาวเลยแม้แต่น้อยและดึงแก้มของอีฟจนยืดก่อนที่เธอจะพูดตอบพวกเด็กๆ กลับไป
“ก็อย่างที่เรากล่าวไปแล้วว่าเราไม่รู้เรื่องอาการป่วยของเด็กๆ มนุษย์มากน่ะ แต่ที่ทำให้เราตกใจก็คือเรื่องของพลังวิซที่ซ่อนอยู่ในตัวแม่หนูนี่ต่างหากล่ะ ทั้งๆ ที่เรามั่นใจว่าเราสัมผัสเรื่องนี้ได้ไวกว่าผู้ใดแท้ๆ แต่ว่ากลับไม่รู้ตัวเลยจนกระทั่งลองตรวจสอบดูจริงๆ จังๆ แบบเมื่อสักครู่นี้น่ะซิ”
“หะ?”
“หมายถึงอีฟเขาน่ะหรอ?”
คำพูดของชิโยะนั้นได้ทำให้นากาและโมโกะต่างพากันจ้องมองเด็กสาวในการดูแลของพวกเขาด้วยท่าทีแปลกใจ เพราะว่าอีฟนั้นไม่เคยใช้พลังวิซออกมาให้พวกเขาเห็นเลยแม้แต่น้อยจนพวกเขาก็นึกว่าเด็กสาวคนนี้สะเทือนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะได้มาเจอกับพวกเขาจนไม่สามารถใช้วิซออกมาได้เช่นเดียวกับที่เธอไม่ยอมลืมตาและไม่เอ่ยปากยอมพูดเสียอีก
“อื้ม… จะว่ายังไงดีล่ะ ถ้าจะให้เราเปรียบเทียบแล้วล่ะก็…”
ชิโยะที่ได้ยินคำถามของพวกนากานั้นได้ไล่มองไปยังคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนี้เหมือนกับว่าเธอกำลังเปรียบเทียบดูว่าจะเอาใครมายกเป็นตัวอย่างดี อย่างเช่นหญิงสาวไร้นามผู้มีเขาสีขาวที่เธอกวาดตาผ่านไปอย่างไม่ใยดี รีซาน่าที่เธอต้องเอียงคอคิดเล็กน้อย กับเดรคที่เธอมองเขาแล้วทำหน้าเบ้ก่อนที่เธอจะหันกลับมาดึงแก้มของอีฟจนยืนแล้วจึงพูดอธิบายขึ้นมาให้ทุกคนได้ฟัง
“เอาเป็นว่าวิซของแม่หนูนี่ไม่ธรรมดาเลยก็แล้วกัน แทบจะเรียกได้ว่ามีพรสวรรค์ในด้านนี้เลยก็ได้กระมั้ง ไม่เหมือนกับเจ้าเดรคหน้าบื้อตรงนั้นที่มีวิซดีซะอย่างแต่ดันหันไปเอาดีทางด้านกล้ามเนื้อแทนเสียอย่างนั้น”
“พรสวรรค์ทางด้านวิซงั้นหรอ… เหมือนกับพรีมูล่าเลยนะ…”
ผลั๊วะ—
“โอ๊ย—!? ทำบ้าอะไรของเธอเนี่ยโมโกะ!?”
คำพูดพึมพำเบาๆ ของนากานั้นได้ทำให้โมโกะที่กำลังขี่หลังของเขาอยู่พุ่งมือไปโบกกบาลของเขาอย่างแรงในทันทีจนทำให้นากาต้องเอียงคอหันไปมองเพื่อนสาวของเขาอย่างเอาเรื่อง หรืออย่างน้อยๆ ก็จนกระทั่งเขาได้เห็นแววตาโกรธเคืองของโมโกะนั้นเองเขาถึงได้รู้ตัวว่าตนเองเผลอหลุดปากพูดอะไรที่ไม่เหมาะไม่ควรออกมาเสียแล้วเขาจึงต้องรีบพูดขอโทษออกมาในทันที
“ฉันขอโทษ…”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว นายเองก็รู้ดีใช่มั้ยว่าไม่มีใครมาแทนที่ยัยตัวแสบนั่นได้น่ะ… แล้วอีฟเขาก็ไม่ใช่ตัวแทนของใครทั้งนั้นด้วย”
“ฉันรู้อยู่แล้วน่า…”
นากาเอ่ยปากพูดตอบโมโกะกลับไปเบาๆ ในขณะที่ทางด้านชิโยะที่ได้ยินทุกอย่างนั้นก็เลือกที่จะไม่พูดถามอะไรขึ้นมาเนื่องจากเธอเห็นว่าการที่พวกเด็กๆ หันไปกระซิบกระซาบกันเองนั้นน่าจะเป็นเรื่องอะไรที่พวกเขาไม่อยากจะให้คนอื่นได้ยิน เธอจึงได้พูดถึงเรื่องอาการผิดปกติของอีฟขึ้นมาต่อแทน
“สำหรับเรื่องธาตุของแม่หนูอีฟนี่ เราคิดว่าแม่หนูอีฟคงจะใช้วิซธาตุดินได้อย่างไม่มีปัญหาอะไรเลยเชียวล่ะ แต่สำหรับเรื่อง ‘อาการป่วย’ ที่พวกเจ้าว่านั่น… ทางที่ดีพวกเจ้าควรพาแม่หนูนี่ไปหาหมอยา นายแพทย์ พยาบาล หรืออะไรก็ตามแต่ที่พวกเจ้าใช้เรียกผู้ทำหน้าที่รักษาอาการเจ็บไข้กันในตอนนี้น่าจะดีกว่าหวังมาพึ่งความรู้ของตัวเรานะ”
บรื่นนนนนนน
ในขณะที่เทพมังกรชิโยะกำลังพูดให้คำแนะนำพวกเด็กๆ ออกมาอยู่นั้นเอง ก็ได้มีเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์พลังวิซดังขึ้นมาให้ทุกคนได้ยิน และนั่นก็ทำให้ชิโยะต้องสลายปีกมังกรของเธอไปก่อนเพื่อไม่ให้ใครที่ผ่านมาเห็นต้องตกใจจนทำให้อีฟต้องยื่นมือไปปัดป่ายบริเวณอากาศที่ว่างเปล่าที่เคยมีปีกของชิโยะอยู่ด้วยความเสียดาย ในขณะที่ทางด้านรีซาน่านั้นก็ได้เอ่ยปากพูดบอกทุกคนขึ้นมา
“เหมือนว่าคุณมีอาเขาจะมารับแล้วล่ะค่ะทุกคน”
“อื้ม ถ้าเช่นนั้นก็คงจะได้ถึงเวลาบอกลากันแล้วสินะ… นี่! เจ้าเดรค!”
“ฮึ่ม…”
เสียงร้องเรียกของชิโยะนั้นได้ทำให้เดรคที่กำลังหันไปมองทางด้านต้นเสียงเครื่องยนต์ต้องเหลือบตากลับไปมองเทพมังกรชิโยะด้วยหางตา และนั่นก็ทำให้เขาได้พบว่าอีกฝ่ายกำลังชี้นิ้วตรงไปทางโมโกะที่กำลังขี่หลังของนากาอยู่จนทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะดึงแขนของหญิงสาวไร้นามให้เดินตามเขาไปทางด้านนากาที่แทบจะสะดุ้งไปกับร่างสูงใหญ่ของเดรคที่อยู่ๆ ก็โผล่มาข้างกาย
“ม—มีอะไรหรือเปล่าน่ะเดรค?”
“………..”
เดรคที่ถูกพูดถามขึ้นมานั้นไม่ได้พูดตอบอะไรนากากลับไปและมองตรงไปที่โมโกะพร้อมกับยื่นมือออกมาทำท่าเหมือนกับกำลังอุ้มอะไรบางอย่าง และนั่นก็ทำให้นากาพอจะเข้าใจได้ว่าอีกฝ่ายจะพาโมโกะไปขึ้นรถให้นั่นเองเขาจึงต้องรีบเอ่ยปากพูดบอกโมโกะขึ้นมา
“ถ้างั้นเดี๋ยวเธอขึ้นไปนั่งรอบนรถกับเดรคเขาก่อนก็แล้วกันนะโมโกะ เดี๋ยวฉันจะรีบขนของตามไป”
“อ…อื้อ”
“โอ้ ถ้างั้นก็ฝากด้วยนะเดรค”
หลังจากที่นากาได้รับคำตอบรับจากโมโกะแล้วเขาก็ได้ส่งตัวของโมโกะไปให้กับเดรคและก้มลงไปหยิบสัมภาระต่างๆ ขึ้นมาถือเอาไว้เพื่อเตรียมออกเดินทาง
แต่ว่าทันใดนั้นเองเขาก็ต้องชะงักไปเล็กน้อยเมื่อชิโยะได้เดินตรงเข้ามาใกล้เขาพร้อมกับร่างเล็กๆ ของอีฟและเอ่ยปากพูดเรียกรีซาน่าให้เข้ามารวมกลุ่มกับพวกเขาราวกับว่าเธอมีเรื่องอะไรบางอย่างอยากจะบอกกับพวกเขาก่อนที่จะต้องลาจากกันอย่างไรอย่างนั้น
“ขอเวลาเจ้าสักชั่วครู่สิ… แม่หนูยักษ์น้อยสีฟ้าเองก็มาตรงนี้ด้วย”
“ฉันชื่อว่ารีซาน่าค่ะ! ถ้าไม่ชอบให้คนอื่นเรียกตัวเองว่าท่านเทพมังกรก็อย่าเรียกคนอื่นตามใจชอบแบบนั้นสิคะ!”
“เอาน่าๆ ว่าแต่เธอมีอะไรหรือเปล่าหรอชิโยะ”
“อื้ม… มีสิ แล้วก็เป็นเรื่องสำคัญมากเสียด้วย…”
ชิโยะที่ได้ยินคำถามของนากานั้นได้พยักหน้าให้กับเขาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันไปมองทางด้านโมโกะที่ขึ้นไปนั่งรออยู่บนรถเป็นที่เรียบร้อยแล้วแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังแตกต่างจากปกติของเธอที่มักจะมีรอยยิ้มอารมณ์ดีประดับอยู่บนใบหน้า
“การฝืนตนเองเพื่อใช้วิซจนหมดตัวของแม่หนูหูแมวนั่นเพิ่งจะเกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกหรือไม่?”
“เอ… ถึงฉันจะไม่แน่ใจสักเท่าไหร่แต่ว่าครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกแน่ๆ ล่ะค่ะ เพราะอย่างก่อนหน้านี้ตอนที่มีการสอบที่โรงเรียนโมโกะเขาก็ฝืนสู้จนสลบไปเลยใช่มั้ยล่ะคะนากาคุง ถ้ารวมกับครั้งนี้แล้วก็น่าจะสองรอบได้แล้วล่ะมั้งคะ…”
“เอาจริงๆ คือสี่รอบแล้วต่างหาก เท่าที่ฉันจำได้ก็มีตอนสอบกับพิเน๊ะรอบนึง ตอนสอบเข้าโรงเรียนรีมินัสที่เธอเองก็อยู่ด้วยรอบนึง ตอนที่แอบขับรถมาเมืองรีมินัสแทนเอริซาเบธเขาก็รอบนึง ตอนที่ขโมยขับรถกลับไปช่วยที่หมู่บ้านก็อีกรอบนึง… อ่ะ— ถ้ารวมรอบนี้ด้วยก็รอบที่ห้าแล้วล่ะมั้ง… เอ่อ… มีตอนที่สู้กับเวก้าเขาที่หน้าบ้านของเอริกะด้วยก็รวมเป็นหก… แล้วก็มี… มีอีกหรือเปล่าหว่า… ยัยนั่นระเบิดตัวเองบ่อยจนฉันจำได้ไม่หมดแล้วเนี่ย…”
“เอาเป็นว่าแม่หนูหูแมวระเบิดตัวเอง— ฝืนใช้วิซไปหลายคราแล้วในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้สินะ?”
“ก็ใช่นั่นแหล่ะ เพราะก่อนที่พวกฉันจะย้ายไปอยู่ที่รีมินัสโมโกะเขาก็เป็นนักหาของป่าธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ใช้วิซอะไรมากมายนักน่ะ… หรือว่ามันมีจะปัญหาอะไรหรือเปล่าน่ะชิโยะ?”
คำพูดของชิโยะที่ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าการฝืนตนเองของโมโกะจะมีปัญหาอะไรบางอย่างนั้นนั้นได้ทำให้นากาต้องรีบพูดถามขึ้นมาด้วยความกังวลใจเพราะว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้รู้และไม่ได้สนใจเรื่องวิซๆ ที่เขาใช้งานไม่ได้มากนัก แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านชิโยะก็กลับยังไม่ได้พูดอะไรออกมาและเอ่ยปากพูดถามคำถามเพิ่มเติมขึ้นมา
“แล้วถ้าเราจะกล่าวว่าการฟื้นตัวของแม่หนูหูแมวเชื่องช้าลงทุกคราที่เธอทำเช่นนั้นมันก็คงจะไม่ผิดสินะ?”
“ฟื้นตัวช้าลงงั้นหรอ…”
คำถามของชิโยะในคราวนี้นั้นได้ทำให้เริ่มที่จะมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนากาเพราะว่ามันก็เป็นไปตามที่เทพมังกรชิโยะพูดขึ้นมา เพราะถึงแม้ว่าในครั้งแรกที่โมโกะเผลอใช้วิซหมดตัวจนสลบไปนั้นเธอจะถูกอารอนหามไปนอนพักที่คลินิกถึงหนึ่งวันเต็มจนไม่รู้ว่าอาการดีขึ้นเมื่อไหร่ แต่ว่าในครั้งที่สองที่โมโกะสู้กับเวก้าจนใช้วิซหมดตัวที่หน้าบ้านของเอริกะนั้น เด็กสาวใช้เวลาเพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงก็ฟื้นกลับมาเป็นเป้าหมายของการกลั่นแกล้งของพรีมูล่าได้แล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นในครั้งที่สามและครั้งที่สี่อันเป็นการสอบเข้าเรียนและการสอบระหว่างเธอกับพิเน๊ะนั้นเด็กสาวกลับต้องใช้เวลาถึงสองสามชั่วโมงในการฟื้นตัว ส่วนในครั้งที่ห้าที่เธอฝืนรีดพลังวิซจนถึงขีดจำกัดเพื่อเดินทางกลับไปที่หมู่บ้านให้เร็วที่สุดนั้นเขาไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นักเพราะว่ามันมีเรื่องคุณพ่อของโมโกะเกิดขึ้นมาพอดี
แต่ทว่าในครั้งนี้อันเป็นครั้งที่หกนั้น ถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านข้ามคืนมาแล้ว โมโกะก็กลับยังคงมีอาการอ่อนแรงจนไม่สามารถเดินเหินได้ตามปกติอันเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องให้เธอขี่หลังออกมาจากที่พักแรมจนมาถึงจุดนัดพบแห่งนี้นั่นเอง
“ใช่แล้วล่ะ… จนถึงตอนนี้โมโกะเขาก็ยังเดินเองไม่ไหวเลยซะด้วยซ้ำ… จะบอกว่าอาการหนักขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ครั้งที่โมโกะเขาฝืนใช้วิซแบบนั้นเลยก็ได้…”
“เอ๋? แต่ว่าตอนที่ฉันเคยฝึกใช้วิซจนแทบจะสลบไปแบบนั้นมันก็ไม่มีอาการอะไรแบบนั้นเลยนะคะ!?”
รีซาน่าที่ได้ยินคำพูดด้วยน้ำเสียงกลุ้มใจของนากาเองก็ได้หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความแปลกใจ และนั่นก็ทำให้ชิโยะต้องพูดอธิบายขึ้นมาให้พวกเด็กๆ ทั้งสองคนฟัง
“ก็เพราะว่าเจ้าไม่ได้ฝืนใช้วิซจนสลบไปติดต่อกันภายในเวลาไม่นานแบบนี้ยังไงล่ะแม่หนูยักษ์สีฟ้า”
“เรื่องนั้นมันก็… มันก็จริงนั่นแหล่ะค่ะ”
รีซาน่าที่ถูกชิโยะพูดตำหนิขึ้นมาด้วยน้ำเสียงต่อว่าเพราะว่าเธอพูดแทรกขึ้นมานั้นได้แต่พูดตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ในขณะที่ทางด้านนากาที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มกลุ้มใจกับการฟื้นตัวของโมโกะที่ช้าลงอย่างเห็นได้ชัดในทุกๆ ครั้งที่เธอฝืนตนเองจนสลบจนไม่ได้สนใจในสิ่งที่รีซาน่าพูดขึ้นมาเลยนั้นก็ได้เอ่ยปากถามชิโยะขึ้นมาด้วยความกังวลใจ
“ล–แล้วแบบนี้โมโกะเขาจะเป็นอะไรหรือเปล่าน่ะชิโยะ!?”
“เรื่องนั้นตัวเราเองก็บอกไม่ได้เช่นเดียวกัน ถ้าเกิดมันเป็นเพราะว่าแม่หนูหูแมวแค่ฝืนตนเองมากขึ้นกว่าเดิมในทุกๆ ครั้งที่เธอทำมันก็ดีไป… แต่ถ้าเกิดว่าต้นเหตุมันเป็นที่ภาชนะอย่างร่างกายของแม่หนูนั่นรองรับการใช้พลังวิซเกินขีดจำกัดอีกต่อไปไม่ไหวแล้วมันก็…”
“ต–แต่เรื่องนั้นมันก็ฝึกกันได้ไม่ใช่หรอ!? เห็นเขาบอกกันว่าถ้าอยากจะใช้วิซให้ได้นานกว่าเดิมก็ให้ลองฝึกใช้วิซจนเหนื่อยบ่อยๆ แล้วปริมาณจะเพิ่มขึ้นอะไรสักอย่างนั่นนี่?”
“แต่ว่าสิ่งที่แม่หนูหูแมวกำลังทำอยู่มันไม่ใช่การฝึกใช้วิซจนเหนื่อยน่ะซิ…”
ชิโยะส่ายหน้าพูดตอบนากากลับไปพลางเหลือบสายตาไปมองโมโกะที่ในขณะนี้กำลังนั่งเงยหน้าพิงขอบกระบะหลังรถและหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่ด้วยท่าทีเหนื่อยอ่อนอยู่ก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาต่อ
“พวกเจ้าอาจจะคุ้นชินกับการฝึกฝนการใช้วิซด้วยวิธีเช่นนั้น… แต่ว่าสิ่งที่แม่หนูหูแมวกำลังทำอยู่มันไม่ใช่อะไรอย่างที่พวกเจ้าเรียกว่าการฝึกฝนหรอก… และมันก็ไม่ได้คล้ายกันเลยแม้แต่น้อยเสียด้วย”
ชิโยะพูดอธิบายออกมาให้นากาและรีซาน่าฟังด้วยน้ำเสียงจริงจังก่อนที่เธอจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้เห็นสีหน้าเหมือนจะไม่เข้าใจของพวกเขา และนั่นก็ทำให้เธอตัดสินใจที่จะชี้นิ้วไปทางด้านเดรคที่กำลังนั่งจ้องมองหญิงสาวไร้นามอยู่บนหลังรถกระบะและเอ่ยปากพูดขึ้นมาให้พวกเขาเข้าใจได้ง่ายๆ
“มันก็ดั่งเช่นการที่ว่าร่างกายของพวกเจ้าแต่ละคนมีเรี่ยวแรงไม่เท่ากันนั่นแล… แล้วพวกเจ้าลองคิดดูซิว่าการที่แม่หนูนั่นรีดเค้นพลังจากร่างกายที่บอบบางและบาดเจ็บเหมือนกับแก้วที่กำลังแตกร้าวนั่นให้มีพละกำลังได้เทียบเท่ากับเจ้าบื้อเดรคที่นั่งอยู่ตรงนั้นได้มันจะสร้างภาระทั้งในชั่วขณะนี้หรือในภายภาคหน้าให้กับร่างกายที่บอบช้ำนั่นขนาดไหนกันน่ะ…”