บทที่ 141 เหตุผล

บทที่ 141 เหตุผล

ครั้นเห็นดังนั้น บรรพชนตันกับบรรพชนดาบจึงเก็บความสงสัยไว้ในใจ และถ่ายทอดคำสั่งกับคนบางส่วนก่อนจากไปเช่นกัน

ส่วนศิษย์ที่เหลือ ย่อมต้องอยู่ในยอดเขาศิษย์ก่อน เพื่อรอการมอบหมายจากอาจารย์สำนักแต่ละคน

หลังจากลู่หยวนเก็บของทุกอย่างแล้วจึงกลับเข้าห้องพัก ฉินอี่หานและไป๋ชิวเอ๋อร์ยังคงนั่งอยู่ด้านใน รอคอยให้เขากลับมา

หญิงสาวทั้งสองย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นภายนอกบ้าง เมื่อเอ่ยถามชายหนุ่มจึงเล่าให้ฟังคร่าว ๆ

หลังจากฉินอี่หานทราบว่าอีกฝ่ายยืนกรานที่จะให้บรรพชนเสวียนคุกเข่าลง แววตาก็เผยความประหลาดใจออกมา

ลู่หยวนไม่เคยเป็นคนประเภทที่ไร้สมองแบบนี้มาก่อน จากสายตาของคนธรรมดา นอกจากทำให้บรรพชนเสวียนขุ่นเคืองแล้ว ยังเป็นการดึงดูดความสนใจของศิษย์บรรพชนเสวียนอีก ไม่เป็นผลดีแต่อย่างใด

แต่ในเมื่อบุตรศักดิ์สิทธิ์ทำเช่นนี้ แสดงว่าเขาต้องมีเป้าหมายบางอย่าง

แต่ฉินอี่หานคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าลู่หยวนทำแบบนี้มีความหมายอะไรแอบแฝงอยู่

เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของฉินอี่หาน คุณชายลู่เพียงแสยะยิ้ม พลางชูนิ้วคีบยันต์ขึ้นให้เห็น กลิ่นอายที่เป็นของตระกูลลู่แผ่ออกไปในห้องพักทันที

ไม่นานบุตรศักดิ์สิทธิ์ก็เก็บยันต์กลับไป พร้อมรอยยิ้มเล่ห์ร้าย

ฉินอี่หานตัวแข็งทื่อไปสักพัก ทันใดนั้นก็เข้าใจบางอย่าง เรียวปากเผยรอยโค้งตามออกมา “นายท่านถึงกับมีความคิดเจ้าเล่ห์เช่นนั้น ใช้พลังของตัวเองเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับทั่วหล้า อุบายลวงโลกนี้ เกรงว่ามีเพียงนายท่านเท่านั้นที่ทำได้!”

ไป๋ชิวเอ๋อร์ผู้อยู่ด้านข้างฟังด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าทั้งสองหมายความถึงอะไร

ที่หางตา นางเห็นเทียนเม่ยเอ๋อร์มีสีหน้าสับสนเช่นกัน แต่อีกฝ่ายไม่คล้ายกับตั้งใจจะสืบสาวต่อ เพียงหลับตาลง และยังคงหลับอย่างสบายอยู่ในร่างจิ้งจอก

เทียนเม่ยเอ๋อร์ไม่อยากรับรู้แผนของลู่หยวน นางรู้เพียงแค่ว่าหัวจรดเท้าของเขามีมารยาร้อยแปดพันอย่าง หากเป็นศัตรูด้วยขึ้นมา ย่อมเท่ากับรนหาที่ตาย!

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ขอเพียงไม่ทรยศต่อนายท่านก็เกินพอแล้ว ไม่ว่าเขาจะขอให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ

ลู่หยวนอุ้มเทียนเม่ยเอ๋อร์มาวางไว้ในอ้อมแขน พลางลูบไปมา นึกถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

ความจริงกลิ่นอายที่เต็มไปด้วยบรรพชนตระกูลลู่มาจากยันต์เท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะอัญเชิญบรรพชนมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

มันไม่ต่างจากการวาดอักขระด้วยโลหิตของบรรพชน เป็นเพียงโอ้อวดพลังอันน่าตกตะลึงของบรรพชนตัวเองเท่านั้น หาได้มีคุณประโยชน์อันใดไม่

ทว่าบรรพชนเสวียนมอบหลายสิ่งให้ลู่หยวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดานความเป็นความตายกับประกาศิตรุ่งอรุณ แน่นอนว่าของสองสิ่งนี้เป็นของล้ำค่าที่หญิงชราถือครองอยู่

ถึงอย่างไร บรรพชนเสวียนก็เป็นปรมาจารย์ยุทธ์ นางมีพลังและภูมิหลังพอที่จะขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นแย่งชิงไปได้

แต่ถ้าสองสิ่งนี้ตกอยู่ในมือของลู่หยวนขึ้นมา หลายคนย่อมคิดว่าอีกฝ่ายไม่สมควรที่จะครอบครองพวกมันไว้

ตระกูลลู่ทรงพลัง สำนักอักขระสวรรค์ทรงพลังยิ่งเช่นกัน ในฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลลู่กับนายน้อยของสำนักอักขระสวรรค์ ยิ่งทำให้คุณชายลู่ดูโดดเด่นมากขึ้น มันช่างเป็นภูมิหลังที่ลึกล้ำยิ่งนัก

แต่ที่แห่งนี้ คือสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์!

ไม่ใช่แดนเหนือที่เขาอยู่!

ที่แห่งนี้ ลู่หยวนไม่มีองครักษ์ ขอเพียงรากฐานการบ่มเพาะแข็งแกร่งกว่าอีกฝ่าย ย่อมมีโอกาสมากมายในการสังหาร

ทันทีที่ถูกฆ่า ของดีเหล่านั้นก็จะตกอยู่ในมือของพวกเขา!

ขอเพียงใครบางคนคิดถึงขั้นนี้ แล้วมีเล่ห์กลปกปิดเสียหน่อย ฉวยโอกาสจากความไม่พร้อมของบุตรศักดิ์สิทธิ์ ย่อมสามารถสังหารเขาได้อย่างแน่นอน

ถึงแม้ชายหนุ่มจะมีเคล็ดวิชาไร้ที่สิ้นสุดในตอนนี้ แต่เขายังไม่มั่นใจว่าจะไม่ตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของผู้อื่น

ถ้าเป็นเช่นนี้ อย่าให้คนอื่นกล้าลอบโจมตีเขาจะดีกว่า!

ยันต์ที่กดดันให้บรรพชนเสวียนคุกเข่าลง ว่ากันว่ายันต์ดังกล่าวเป็นตัวตนพิเศษที่สามารถทำให้บรรพชนของตระกูลลู่มาถึงได้ในพริบตา

ประมุขตระกูลลู่… ตัวตนของผู้ก้าวสู่ความเป็นเซียน ใครเล่าจะกล้าแตะต้องลู่หยวน?!

ใครเล่าจะอาจหาญถึงขั้นนั้น?!

นี่ไม่เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายหรอกหรือ!

ภายใต้เรื่องอันน่าตกตะลึงนี้ จึงไม่มีใครกล้าโจมตีลู่หยวน

หลังจากบุตรศักดิ์สิทธิ์ครุ่นคิด จึงกล่าวกับผู้คนว่า “ไปกันเถอะ ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาอาจารย์สำนัก”

ฉินอี่หานกับไป๋ชิวเอ๋อร์เงยหน้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน

คุณชายลู่แห่งตำหนักธารสุญญะพาสองหญิงสาวเหาะไปทางสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์

เหนือสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์มียอดเขามากมาย มีค่ายกลป้องกันอยู่นอกยอดเขาแต่ละแห่ง คล้ายกับกีดกันไม่ให้คนภายนอกเข้าออกได้

มีแท่นอีกแห่งอยู่นอกค่ายกลแต่ละจุด ซึ่งได้รับการคุ้มกันจากศิษย์ทั้งหลาย

ลู่หยวนนำคนตรงไปที่ยอดเขาสูงสุด ทันทีที่เข้าใกล้ ค่ายกลรอบยอดเขาก็เริ่มสั่นไหวไปมา บนแท่นบริเวณใกล้เคียง มีศิษย์คนหนึ่งยืนขึ้น ตะโกนไปทางชายหนุ่มว่า “ใครอยู่ตรงนั้นน่ะ?”

บุตรศักดิ์สิทธิ์หยุดอยู่กลางอากาศ แสดงประกาศิตรุ่งอรุณทันที หลังจากศิษย์มองเห็นชัดเจนแล้ว แววตาก็ได้เผยร่องรอยความประหลาดใจออกมา พร้อมกายาแข็งทื่อในฉับพลัน

เขาย่อมรู้ว่านี่คือประกาศิตรุ่งอรุณ แต่นี่มันเหรียญตราที่อยู่ในมือของบรรพชนเสวียนไม่ใช่หรือ?!

มันตกมาอยู่ในมือของชายหนุ่มผู้นี้ได้อย่างไร แถมคนผู้นี้ยังดูเหมือนจะเป็นศิษย์อีกด้วย!

ลู่หยวนหลุบตาลง “ข้าต้องการเข้าไปข้างใน”

คำพูดเย็นชาดึงสติของศิษย์กลับคืนมา เขาได้แต่กัดฟัน ถึงอย่างไรผู้ที่ครอบครองประกาศิตรุ่งอรุณก็สามารถเข้าออกยอดเขาได้ตามใจชอบ การปล่อยให้เข้าไปถือเป็นการทำตามกฎ!

ศิษย์ยกมือขึ้น สิ้นเสียง ‘วิ้ง’ ค่ายกลรอบข้างพลันเปลี่ยนไป ค่ายกลสีทองทั้งหมดหายไป เปิดทางให้กับพวกลู่หยวน

ชายหนุ่มบินเข้าไปพร้อมกับคนอื่น

วิ้ง!

ค่ายกลเริ่มปิดลงอีกครั้ง ร่างของพวกบุตรศักดิ์สิทธิ์หายเข้าไปในยอดเขาเช่นกัน

ศิษย์ผู้เฝ้าค่ายกลเอามือกุมศีรษะอย่างหมดอาลัยตายอยาก เขากลับมาคุ้มกันที่เดิมก่อนจะนั่งลง

ผ่านไปสักพัก ศิษย์ที่อยู่มาหนึ่งปีก็ขี่กระบี่ตรงมาที่แท่น พร้อมตะโกนว่า “ศิษย์น้อง!”

เมื่ออีกฝ่ายเห็นว่าศิษย์พี่กำลังมา เขาก็ลุกขึ้นยืนทักทายทันที “ศิษย์พี่ วันนี้ไม่ใช่เวรของเจ้า ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ”

“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นน่ะสิ”

ศิษย์พี่ลดเสียงลง รีบเดินปรี่มาอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ข้ามีอะไรจะเล่าให้ฟัง วันนี้บรรพชนเสวียนถึงกับคุกเข่าให้ศิษย์ใหม่!”

“ยิ่งกว่านั้น นางยังมอบประกาศิตรุ่งอรุณกับกระดานความเป็นความตายให้อีกด้วย!”

“จริงหรือ?” เห็นได้ชัดว่าศิษย์น้องตกตะลึง ทันใดนั้นเขานึกถึงคนที่เพิ่งเข้าไป อีกฝ่ายถือประกาศิตรุ่งอรุณไม่ใช่หรือ?!

แต่ตัวตนของบรรพชนเสวียนถึงกับคุกเข่าให้ศิษย์ใหม่ผู้นั้นเชียวหรือ?!

ศิษย์พี่ย่อมมองเห็นความสงสัยของอีกฝ่าย จึงกล่าวต่อว่า “ศิษย์ใหม่ที่ว่าคือคุณชายตระกูลลู่แห่งตำหนักธารสุญญะแดนเหนือ อีกทั้งยังเป็นนายน้อยแห่งสำนักอักขระสวรรค์อีกด้วย”

“ว่ากันว่า เพราะบรรพชนเสวียนไม่รู้ตัวตนของคนผู้นั้น นางจึงพูดจาไม่ให้เกียรติ ถึงขั้นบอกว่าจะสังหารตระกูลลู่ ทำให้คุณชายมีน้ำโหขึ้นมา!”

“เขาจึงหยิบยันต์ออกมาทันที ทำเอาบรรพชนเสวียนสั่นสะท้านจนบรรพชนเสวียนต้องยอมคุกเข่าต่อหน้าทุกคน”

ศิษย์น้องถึงขั้นสับสนมากยิ่งขึ้น “แค่ยันต์ใบเดียวเนี่ยนะ?”

ศิษย์พี่ตอบอย่างมีนัยว่า “เจ้าคิดว่ามันเป็นยันต์ธรรมดาหรือไร ยันต์ใบนั้นสามารถอัญเชิญบรรพชนของตระกูลลู่ให้มาได้ในทันที ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าบรรพชนของตระกูลลู่เป็นคนแบบไหนก็เถอะ แต่นี่เป็นตัวตนที่ทำให้แม้แต่บรรพชนเสวียนยังหวาดกลัวได้!”

“คุณชายตระกูลลู่ผู้นี้ใช่ว่าจะหาเรื่องได้โดยง่าย!”

ศิษย์น้องได้ยินดังนี้ก็พานสั่นสะท้านไปด้วย ในอนาคตเขาต้องระวังให้มาก หากไม่ระวังตัวขึ้นมาจนเผลอไปทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองเข้าคงเป็นปัญหาใหญ่แน่

เขาพลันเริ่มนึกย้อนกลับไป ตอนที่ตนเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ท่าทีที่แสดงออกก็พอถูไถ หาได้ทำให้คนผู้นั้นขุ่นเคืองไม่!