ตอนที่ 130 มื้อเที่ยงของเหล่าพยาบาล

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 130 มื้อเที่ยงของเหล่าพยาบาล

ชายคนนั้นยิ้มตอบ “ก็เป็นพวกโรงเชือดสัตว์ปีกทุกชนิดน่ะ”

หลินม่ายถามต่อ “คุณจัดการกับพวกเครื่องในยังไงเหรอคะ”

โจวฉายอวิ๋นที่เอามะเขือม่วงกับกระเทียมย่างมาเสิร์ฟได้ยินบทสนทนานั้นก็แอบสงสัย

“ก็เอามาแปรรูปง่าย ๆ บางส่วนนะ ส่วนไส้ก็เอาทิ้งไป”

หลินม่ายเห็นว่ามีลูกค้าหลายคนกำลังกินอาหาร เลยไม่สะดวกจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตอนนี้

เธอเลยขอชื่อและที่อยู่ของเขาแล้วเลี้ยงมะเขือม่วงกับกระเทียมย่างสมนาคุณลูกค้าหนุ่ม

ลูกค้าคนนั้นมีความสุขมาก

เขาเริ่มถามหลินม่ายว่า “ที่นี่มีเบียร์หรือเปล่า ถ้าไม่มีขอเป็นโซดาก็ได้”

สิ้นคำถามนั้นลูกค้าคนอื่น ๆ ก็ออกเสียงสมทบว่าอยากได้เครื่องดื่มเหมือนกัน

เซาเข่าอร่อย ๆ น่าจะมีแอลกอฮอล์มากินคู่กันซักหน่อย พอไม่มีแล้วก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป

เจ้าของร้านสาวส่ายหน้า “ไม่มีค่ะ”

แม้ว่านโยบายควบคุมการค้าจะไม่ได้เข้มงวดมาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่อง่ายที่คนทั่ว ๆ ไปอย่างเธอจะหาซื้อเครื่องดื่มพวกนั้นจำนวนมาก ๆ ได้นอกจากจะมีเส้นสาย

เธอเป็นเพียงสาวบ้านนอกไม่ได้เส้นสายจากที่ไหน จะไปหาซื้อได้ยังไงกัน

กลุ่มลูกค้าคร่ำครวญด้วยความเสียดาย

ส่วนหลินม่ายจึงเริ่มขายของ “ไม่มีเครื่องดื่มแต่เรามีข้าวหมากนะคะ ลองสั่งซักชามไหม หรือเอาเป็นหลูจู่ก็มีค่ะ”

ลูกค้าบางคนสั่งเป็นหลูจู่ บางคนก็สั่งข้าวหมากมาแทน

ฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายกำลังยุ่งอยู่กับการขายอาหาร หลังจากกินคากิกระทะร้อนแล้วเขาก็อยากจะมาช่วยเธอ แต่ถูกหญิงสาวห้ามไว้แล้วสั่งให้เขาไปพักผ่อน

ศัลยแพทย์อย่างเขาควรพักผ่อนให้เพียงพอ จะได้มีแรงไปช่วยเหลือคนไข้

เธอไม่อยากให้เขาต้องเสียพลังงานไปกับการช่วยเหลืองานในร้านอาหารเล็กน้อยแบบนี้

ที่ร้านคึกคักไปจนสองทุ่ม ในที่สุดของก็ขายหมด การทำงานอย่างยาวนานในวันนี้ก็จบลง

หลินม่ายขอบคุณเสี่ยวลี่ที่ทำงานหนักมาทั้งวันและมอบซองแดงที่มีเงิน 10 หยวน ให้เธอ

เสี่ยวลี่กลับบ้านอย่างมีความสุขพร้อมซองแดงนั้น

โจวฉายอวิ๋นและหลินม่ายช่วยกันทำความสะอาดจานชามเครื่องครัวที่ใช้แล้วด้วยกัน คนเป็นพี่ก็เริ่มชวนคุยอย่างที่ชอบทำประจำ “วันนี้ได้เปิดหูเปิดตา ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผักก็เอามาย่างแล้วอร่อยได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะมะเขือม่วงย่าง หอมอร่อยมาก พรุ่งนี้ทำเพิ่มอีกได้ไหม”

หลินม่ายตอบตกลงในทันที

โจวฉายอวิ๋นพูดต่อด้วยสีหน้าเบิกบาน “เซาเข่าคงจะทำเงินให้เราได้อีกมาก”

คนเป็นน้องส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เดี๋ยวก็มีคนมาทำตามน่า”

ตอนนี้บนถนนเส้นนี้เริ่มแน่นไปด้วยร้านอาหารเพราะเห็นว่าพวกเธอเปิดร้านแล้วรุ่ง

บางร้านเจ้าของร้านเป็นเจ้าของที่เอง บางร้านก็เป็นคนอื่นมาเช่าที่

โจวฉายอวิ๋นไม่ได้สนใจ “ใครจะทำตามได้ พวกเขาไม่น่าจะหายี่หร่าได้หรอก”

“นโยบายควบคุมการค้าไม่ได้เข้มงวดเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อไปก็คงจะค่อย ๆ หย่อนยานไปตามเวลา”

แบบนั้นทำให้คนเป็นพี่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย “แบบนี้เซาเข่าจะยังขายดีอยู่ไหมนะ”

หลินม่ายมองในแง่ดีกว่านั้น “เราเป็นคนเริ่มทำก่อน ยังไงก็ไม่ต้องกังวลถ้าชื่อเสียงยังดีอยู่”

ถึงจะทำงานหนักมาทั้งวันแต่ก็ยังเข้านอนในเวลาที่ไม่ดึกเกินไป ทำให้หลินม่ายสามารถตื่นมาตั้งแต่ตีห้าครึ่ง เพื่อไปซื้อวัตถุดิบที่ตลาดมืด

เซาเข่าเมื่อวานขายดี หลินม่ายเลยซื้อเนื้อหมูเพิ่มอีก 5 ชั่งในวันนี้

วันหยุดยาวแบบนี้ต้องมีของกินเพิ่มให้ตัวเองและเหล่าพนักงานในร้านด้วย

หลินม่ายซื้อหมูสามชั้นเพิ่มอีกสองสามชิ้น วางแผนจะทำหมูนึ่งข้าวคั่วให้ทุกคนกิน

เธอยังบอกกับเจ้าของร้านด้วยว่าต่อไปให้แวะเอาหมูมาส่งที่ร้านแทน จะได้ไม่ต้องคอยมาซื้อที่นี่อีก

พ่อค้าตอบตกลงในทันที

เพราะสำหรับเขาหลินม่ายคือลูกค้ารายใหญ่

หญิงสาวซื้อหมูและส่วนผสมอื่น ๆ แล้วก็เดินดูของในตลาดมืด เธอเห็นว่ามีเต้าหู้วางขายอยู่ แล้วก็ยังมีอาหารมังสวิรัติที่ทำจากถั่วให้เลือกซื้อด้วย

เธอเลยเข้าไปตกลงกับเจ้าของร้านว่าให้เอาเต้าหู้ 20 ชั่ง กับไก่มังสวิรัติ 10 ชั่งไปส่งที่ร้านตอนบ่ายสี่โมงครึ่งทุกวัน

เต้าหู้สามารถเอาไปทำเต้าหู้กระทะร้อนได้ หรือจะเอาไปย่างก็อร่อย ส่วนไก่มังสวิรัติเอาไปเสียบไม้ย่างก็ดีเหมือนกัน

เธอเดินหาสาหร่ายทะเลอยู่นานจนเจอและซื้อมาด้วยอีกจำนวนมาก

ก่อนจะกลับเธอเห็นว่ามีปลาตะเพียนขนาดใหญ่ขายอยู่และที่สำคัญคือยังเป็น ๆ อยู่ด้วย

ปลาตะเพียนแบบนี้ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือใหญ่ก็เอามาย่างแล้วอร่อยมาก เธอเลยขอซื้อปลาตะเพียนทั้งหมดนั่นจากคนขาย

แต่ไม่รู้ว่าจะเอาพวกมันกลับไปได้อย่างไร จึงบอกให้เขาเอาไปส่งให้ที่ร้าน

และเธอยังถามเขาอีกว่าถ้าอยากได้ปลาพวกนี้วันละ 20-30 ตัวเขาพอจะหามาให้เธอได้หรือไม่

เขาตอบตกลงอย่างรวดเร็ว อย่าว่าแต่ยี่สิบสามสิบตัวเลย ถ้าต้องการวันละสี่สิบห้าสิบตัวก็หามาให้ได้

พอกลับมาถึงบ้านหลินม่ายก็เอาปลาตะเพียนที่ตายแล้วออกมาตุ๋นเป็นมื้อกลางวัน

ส่วนปลาเป็นยังปล่อยพวกมันไว้ในน้ำ เพื่อเตรียมจะเอามาย่างทำเซาเข่าตอนเย็นจะได้มีเนื้อปลาสดอร่อยขาย

เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเสี่ยวลี่ก็มาทำงานตามเวลาของเธอ

หลินม่ายกับเสี่ยวลี่จึงช่วยกันตั้งร้าน

ป้าหวังที่รับผิดชอบการทำเกี๊ยวอาสาเข้ามาช่วยเสี่ยวลี่ในการตั้งโต๊ะขายซาลาเปาที่หน้าร้าน

หลินม่ายเดินจากไปพร้อมกับเข่งซาลาเปาหลายใบ แต่ก็ได้ยินป้าหวังพูดกับเสี่ยวลี่อย่างเบา ๆ ว่า “หลังเลิกงานเมื่อวานเถ้าแก่เนี้ยให้เงินเธอเท่าไร

เธอทำงานเยอะกว่าเรา ได้มากกว่าหรือเปล่า”

เสี่ยวลี่ยิ้มแล้วตอบว่า “อ๋อ ก็มากกว่าอยู่นิดหน่อยค่ะ ได้มา 6 หยวน แบบว่า ลิ่วลิ่วต้าซุ่น* ฮ่า ๆ”

ฝ่ายป้าหวังเมื่อได้ยินว่าหญิงสาวได้เงินมากกว่าเธอหนึ่งหยวนก็ไม่รู้สึกติดใจอะไร เธอจึงหันกลับไปทำงานที่ห้องครัว

หลินม่ายทำเป็นไม่ได้ยินอะไรแล้วเดินออกจากครัวไป

แม้ว่าจะต้องจ่ายเงินให้กับเสี่ยวลี่มากกว่าแม่ครัวอีกสามคนถึงเท่าตัว แต่หลินม่ายก็รู้สึกว่ามันยุติธรรมดีแล้ว

ไส้ของซาลาเปาและเกี๊ยวทั้งหมดหลินม่ายเป็นคนเตรียมมันเอง ส่วนป้าทั้งสามทำแค่มาประกอบมันให้เป็นอาหารเท่านั้น

งานของเสี่ยวลี่ต่างออกไป เพราะหน้าที่ของเธอคือพนักงานขาย

ต้องใช้ทั้งแรงกายและไหวพริบในการทำงานถือว่าต้องมีความอดทนมากกว่าป้าทั้งสามมาก เพราะงั้นก็ไม่แปลกที่จะให้เงินเธอมากกว่า

ถึงเสี่ยวลี่จะไม่ได้บอกจำนวนเงินแท้จริงที่ตัวเองได้กับป้าหวัง แต่หลินม่ายก็รู้สึกว่านั่นเป็นคำตอบที่น่าพอใจมาก

ถ้าบอกไปตามตรงป้าหวังอาจจะรู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมก็ได้ อาจจะส่งผลต่อการทำงานหลังจากนี้

นี่เป็นเหตุผลที่บริษัทบางแห่งไม่อนุญาตให้พนักงานถามกันเรื่องเงินเดือนหรือเงินโบนัส

มีคนไม่น้อยที่ไม่ได้มีผลงานดีเด่นอะไร แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองควรจะได้สิ่งต่าง ๆ เท่ากับคนที่ทำงานได้ดีกว่า

วันนี้อาหารขายดิบขายดีทั้งเช้าและเที่ยง

โดยเฉพาะในตอนเที่ยง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาแน่นถนน ทำให้คนในร้านก็แน่นไม่ต่างกัน

เพื่อจะได้ขายของอย่างต่อเนื่องในตอนเที่ยง พนักงานทุกคนเลยได้กินข้าวเที่ยงตั้งแต่ 11 โมง

เป็นเมนูหมูนึ่งข้าวคั่วและปลาตะเพียนตุ๋นฝีมือหลินม่าย ป้า ๆ และเสี่ยวลี่ต่างกินจนอิ่มหนำแล้วตั้งใจทำงานอย่างขันแข็ง

ที่โรงพยาบาลผู่จี้

เหล่าพยาบาลที่ทำงานอย่างหนักแทบไม่ได้พักอยู่ตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็ได้พักเที่ยงกินข้าวเสียที

หัวหน้าพยาบาลจัดเวรที่ต้องทำงานตอนเที่ยงเรียบร้อย เพื่อให้คนอื่น ๆ ได้ไปที่โรงอาหารพร้อมกล่องข้าวกลางวัน

พยาบาลสาวคนหนึ่งกลับไม่อยากจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร

เพราะสำหรับเธออาหารที่นั่นไม่ค่อยถูกปาก ก็เลยอยากจะออกไปซื้อข้างนอก

รุ่นพี่หลายคนเลยเริ่มแนะนำร้านที่น่าสนใจให้เธอ

รุ่นพี่คนหนึ่งแนะนำว่า “ไปที่ถนนเจี่ยเฟิงข้างโรงพยาบาลสิ มีของกินเยอะเลย”

พยาบาลสาวสองสามคนมาที่ถนนเจี่ยเฟิงอย่างตื่นเต้น

หล่อนหยุดอยู่ที่หน้าร้านของหลินม่าย มองขึ้นไปที่ป้ายร้าน “เปาห่าวชือ เสี่ยวชือเตี้ยน อ้อ นี่ใช่ร้านของน้องสาวอาจารย์ฟางหรือเปล่านะ ไปกินข้าวร้านหล่อนกันเถอะ ทุกครั้งที่หล่อนเอาอาหารมาให้อาจารย์ฟางนะ กลิ่นหอมน่ากินมาก น่าจะอร่อย”

หล่อนเอ่ยชวนเพื่อน ๆ “มา ๆ ไปกินเกี๊ยวกันดีกว่า”

ส่วนพยาบาลอีกคนก็จ้องไปที่หลูจู่แล้วลอบกลืนน้ำลาย “ฉันเอาหลูจู่ชามใหญ่ละกัน”

โหมวตานเองก็ออกมากินข้าวกับพยาบาลกลุ่มนี้ พอเห็นว่าทุกคนจะเข้าไปที่ร้านของหลินม่ายก็ไม่ถูกใจขึ้นมา

“ฉันไม่กินร้านนี้แล้วนะ เคยกินครั้งที่แล้วแล้วท้องเสีย น่าจะไม่สะอาด”

ป้าหูได้ยินแบบนั้นก็ตอบเสียงดัง “ร้านนั้นอาหารสกปรกมาก เอาทั้งปอดหมูไส้หมูมาต้มให้คนกิน ไม่รู้ว่าล้างสะอาดหรือเปล่ากินแล้วจะไม่ท้องเสียได้ยังไง”

เสียงนั้นทำให้ลูกค้าคนอื่น ๆ ที่กำลังจะไปที่ร้านของหลินม่ายเริ่มลังเล

………………………………………………………………………………………………………………………

*ลิ่วลิ่วต้าซุ่น 六六大顺 คำอวยพรให้มีความสงบสุขราบรื่น เสี่ยวลี่เปรียบเทียบว่าเงินหก ( 六) หยวน เท่ากับคำอวยพรให้ชีวิตราบรื่น เพราะมีตัว 六 อยู่ในประโยคนั้น

สารจากผู้แปล

ม่ายจื่อคิดถูกที่ขาย ยิ่งอากาศเย็นๆ แล้วกินปิ้งย่างแกล้มเหล้าก็คือฟิน

เอาป้าหูไปเก็บทีสิ รำคาญ ขัดลาภคนอื่นอยู่ได้

ไหหม่า(海馬)