ตอนที่ 72.1 ไม่ต้องห่วงหรอก ในครั้งนี้ เราไม่ได้ไปหาเรื่องต่อสู้กับพวกเขาจริงๆ (1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

“ศิษย์หลานฉีหยวน เจ้าจะออกไปด้วยเหตุใดหรือ”

เวลานี้อากาศอบอุ่นอีกครั้งแล้ว ฉีหยวนในชุดเสื้อคลุมยาวและถือแส้หางม้า ได้ลอยมาจากยอดเขาหยกน้อยไปยังประตูสำนัก

เมื่อได้ยินคำถามนี้จากเซียนผู้พิทักษ์ประตู ฉีหยวนก็กล่าวหลังจากทำคารวะเต๋าว่า “ไม่มีอันใดร้ายแรง ช่วงนี้ข้าแค่รู้สึกกระสับกระส่ายไม่มีสมาธินัก จึงอยากออกไปเดินข้างนอกสักหน่อยขอรับ”

“ดี”

เซียนผู้พิทักษ์ประตูยิ้มอย่างกรุณา และไม่ได้ถามอะไรมากก่อนจะเปิดประตูให้ฉีหยวนขับเคลื่อนเมฆลอยไปบนท้องฟ้านอกภูเขาของสำนัก

ในเวลานี้ฉีหยวนค่อนข้างมีชื่อเสียงบนภูเขาอยู่บ้าง เนื่องจากการแก้ปัญหาของเขาในการข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์โดยใช้วิธีตายก่อนเพื่อทะยานสู่เซียนและกลายเป็นเซียนจั๋ว

อย่างไรก็ตาม ชื่อเสียงของเขาก็ไม่ได้ดีเสมอไป บางครั้งก็มีคนเยาะเย้ยเขาเช่นกัน

หลังจากที่หลี่ฉางโซ่วหลอมโอสถชุดนั้นเสร็จ เขาก็รออีกสี่เดือนก่อนที่อาจารย์ของเขาจะออกมาจากการปิดด่านแล้วออกไปเดินเล่น

เขาคุยกับอาจารย์ และคราวนี้ เขาขอให้อาจารย์อยู่ข้างนอกอีกสองสามวันเพื่อให้เวลากับตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ได้ทำงานมากขึ้น

หลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้บอกอาจารย์ของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าอย่าออกห่างจากสำนักไกลมากเกินไป ไม่เช่นนั้นอาจหลงทาง…

เพื่อให้อาจารย์ของเขาสามารถปกปิดซ่อนเร้นร่องรอย หลี่ฉางโซ่วจึงได้เสนอทักษะสงบลมปราณเต่าฉบับปรับปรุงครั้งที่สองให้อาจารย์ของเขา เขาไม่อยากให้อาจารย์ของเขาตกเป็นเป้าหมายและถูกปองร้ายในขณะที่กำลังรอการกลับมาของเขา

ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วก็อยู่ที่ประตูสำนักเช่นกัน หากเกิดอะไรขึ้นกับอาจารย์ของเขา เขาก็จะสามารถตรวจจับได้และรีบไปช่วยเขา

หลี่ฉางโซ่วได้ตัดสินใจว่าจะให้อาจารย์ และศิษย์น้องหญิงมีสิทธิ์รู้ข้อมูลเช่นเดียวกัน

ในเวลานั้น ฉีหยวนก็วางกล่องแล้วเดินจากไปเงียบๆ

จากนั้นตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาดูพองขึ้นเล็กน้อย และกระเป๋าสะพายไหล่ของเขาถูกแทนที่ด้วยกระเป๋าสะพายหลัง

คราวนี้ หลี่ฉางโซ่วกลายร่างเป็นนักพรตเต๋าชราและตัดสินใจขายโอสถโดยใช้ตัวตนนั้นในอนาคต

เขาใช้หลีกลี้ปฐพีซ่อนกาย และตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์รีบไปที่เมืองหลินไห่

ครึ่งวันต่อมา หลี่ฉางโซ่วก็เดินเป็นครึ่งวงกลมไปทางทิศตะวันออกโดยเปลี่ยนรูปร่างของเส้นทางจากเครื่องหมายอัศเจรีย์[1]เป็นเครื่องหมายปรัศนี[2]

ในที่สุด เขาก็ปรากฏกายออกมาจากป่ารกร้างทางฝั่งตะวันตก เขาขี่เมฆ ขณะที่สะพายกระบี่ของเขาไว้ด้านหลัง แล้วลอยไปยังเมืองอันงดงามที่อยู่เบื้องหน้าเขา

กระบี่ที่อยู่ด้านหลัง ด้ามมีด และฝักมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและสีทั้งหมด และฝักก็ถูกใส่กฎห้ามเพิ่มเข้าไปใหม่ซึ่งแยกการตรวจจับจากสัมผัสเซียนรับรู้

แน่นอนว่า หน้าที่หลักจะไม่เปลี่ยนแปลง

มันดูเหมือนกระบี่ แต่จริงๆ แล้วมันคืออาวุธเวท ซึ่งทำจากส่วนผสมของยาสลบและยาพิษ มันสามารถผลิตผงพิษไร้สีได้โดยไม่มีใครสังเกตเห็น นอกจากนี้ยังสามารถใช้พิษกับปราณวิญญาณและอวัยวะของศัตรู และนั่นจะเป็นเพิ่มโอกาสในการสังหารเซียนเสิ่นได้

โดยปกติแล้ว ไม่อาจพบสิ่งนี้ได้จากภายนอก เช่นเดียวกับฉัตรเปลี่ยนสวรรค์ เพราะมันคือสมบัติส่วนตัวที่หลี่ฉางโซ่วพัฒนาขึ้นมาเอง

และคราวนี้ หลี่ฉางโซ่วยังได้เตรียมอาวุธเวทชิ้นที่สองที่คล้ายกัน

มันเป็นขลุ่ยที่จะปล่อยพิษผ่านรูเมื่อเป่าขลุ่ย แต่มันก็มีอันตรายซ่อนเร้นอยู่

เขาต้องสูดลมหายใจเข้าลึก มิฉะนั้น เขาจะดึงพิษเข้าไปได้โดยง่าย

ไม่เช่นนั้น มันจะตลกมากจริงๆ เหมือนกับคนที่เตือนคนอื่นว่าอย่าแตะต้องกระบี่พิษที่จะฆ่าใครก็ตามที่ไปแตะต้องสัมผัสมัน แม้ว่าเขาจะจับมันเอาไว้ก็ตาม

มีทางเข้าสี่ทางเพื่อไปยังค่ายกลในเมือง เช่นเดียวกับประตูเมืองของโลกมนุษย์ แต่นี่คือทางเข้าและทางออกที่เหลือของค่ายกล ซึ่งไม่ใช่หนึ่งในกำแพงเมือง

ผู้มีอำนาจรับผิดชอบในการรักษาความสงบในสถานที่นั้นคือสำนักเซียนที่ยิ่งใหญ่ของดินแดนเทวะบูรพา สำนักกระบี่หลินไห่ ซึ่งตามกฎดั้งเดิมนั้น พวกเขาจะส่งคนไปเก็บ ‘ค่าธรรมเนียมแรกเข้า’ ที่หน้าค่ายกล

ค่าธรรมเนียมอาจอยู่ในรูปแบบของศิลาวิญญาณ สมบัติ วัตถุดิบล้ำค่า หรือสมุนไพรวิญญาณ และอาจเป็นของที่มีมูลค่าเพียงเล็กน้อยก็ได้

เมืองเล็กๆ ขนาดนี้ สามารถนำประโยชน์มากมายมาสู่สำนักเซียนได้จริงๆ เพียงแค่มีปรมาจารย์มาประจำการเพื่อป้องกันไม่ให้ใครมาสร้างปัญหา และพวกเขายังต้องเป็นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่ง

ในอดีต สำนักตู้เซียนเคยพยายามสร้างเมืองเล็กๆ เช่นกัน แต่เนื่องจากปัจจัยปัญหาต่างๆ เช่นที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และการจัดการ พวกเขาจึงไม่อาจจัดการได้ดี

เมืองนี้ดำรงอยู่มาเพียงไม่กี่พันปี และตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ใดอุปถัมภ์ ซ่อมแซมบำรุงรักษาใดๆ และสำนักตู้เซียนก็ได้รับความเดือดร้อนสูญเสียมากมาย

ซึ่งหลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจเช่นกัน

เพราะในท้ายที่สุด หลังจากที่ทุกคนในสำนักได้ฝึกบำเพ็ญ ‘พระสูตรนิรกรรม’ บรรดาคนในสำนักก็ชอบความเงียบและเฉยเมย แต่พวกเขาจะใช้พลังทั้งหมดที่มีอย่างเต็มที่ในการหาคู่บำเพ็ญเต๋า…

หลังจากแหย่อาจารย์ของตัวเองในใจแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ได้จัดการตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์เพื่อเปิดเผยการฝึกบำเพ็ญของเขาในช่วงสุดท้ายของเซียนหยวน จากนั้นเขาก็ขี่เมฆและรอคอยอยู่เบื้องหลังร่างคนหลายสิบคน

ที่ด้านข้างนั้น มีผู้คนหลั่งไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่ก็ลอยอยู่บนก้อนเมฆ

มันไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าผ่านทางยามเมื่อออกไป แต่หากจะเข้าไปอีกครั้ง ก็ต้องต่อคิวจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า

เมื่อเกือบจะถึงตาของหลี่ฉางโซ่วแล้ว เขาก็เหลือบไปเห็นร่างเจ็ดหรือแปดคนที่กำลังจะออกจากเมือง…

พวกเขาเป็นผู้บำเพ็ญสูงวัยสองคน ผู้บำเพ็ญวัยกลางคนสามคน และบุรุษหนุ่มและสตรีสาวรวมสามคน

พวกเขาบินสูงกว่าคนอื่นๆ เล็กน้อย และกำลังจะบินผ่านช่องว่างในค่ายกลในขณะที่มีทหารเซียนสองคู่ลาดตระเวนรอบเมืองหลินไห่ กำลังเฝ้าคุ้มกันพวกเขา ซึ่งพวกเขาก็ดูมีอำนาจเหนือกว่ามาก

ทันใดนั้นหลี่ฉางโซ่วเบนสายตาไปมองบุรุษหนุ่มผู้นั้นด้วยความสนใจทันที

คนผู้นี้…มีเขาบนหัว…แต่ไม่มีหาง…

อ๋าวอี่หรือ

ไฉนเขาต้องมาพบมังกรน้อยตัวนี้อีกครั้งเล่า

หลี่ฉางโซ่วพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เกิดอันใดขึ้นกับเขาและมังกรน้อยตัวนี้ เขาถูกลิขิตกับมังกรน้อยตัวนี้หรือไม่

แต่แล้วเมื่อคิดอีกครั้ง เหตุใดมังกรน้อยตัวนี้…ยังคงเหมือนกับตอนที่เขาพ่ายแพ้ก่อนหน้านี้ ความสูงของเขาก็ยังคงเดิมอีกด้วย

บางทีมังกรอาจมีช่วงการพัฒนานานกว่ามนุษย์ และนี่ยังไม่นานเพียงพอที่จะพัฒนาได้มากนัก

แล้วตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ก็ละสายตามองไปทางอื่น และบังเอิญเป็นตาของเขาที่จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแรกเข้า

หลี่ฉางโซ่วมอบศิลาวิญญาณในมือให้กับเซียนสตรีที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ

เซียนสตรียิ้มแล้วกล่าวว่า “สหายเต๋า ดูเหมือนท่านจะเป็นคนแปลกหน้า บอกข้าสักหน่อยได้หรือไม่ว่าท่านมาทำอะไรที่นี่”

ดังนั้นหลี่ฉางโซ่วจึงแนะนำตัวเองโดยใช้ชื่อปลอมและบอกมาที่นี่เพื่อซื้อและขายยาและสมุนไพร จากนั้น เซียนสตรีก็จดข้อมูลลงบันทึกไว้และอนุญาตให้เขาเข้าไปในเมืองได้

ในระหว่างกระบวนการนี้ อ๋าวอี่และเด็กสาวสองคนที่เดินตามหลังเซียนเทียนทั้งห้าของสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ยก็ทะยานขึ้นไปอยู่เหนือตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์…

ชั่วเวลานั้น เหล่าผู้เป็นเซียนเทียนทั้งห้าล้วนอารมณ์ดี ในขณะที่กำลังคุยกันว่า พวกเขาควรจะกลับไปที่เกาะเต่าทองหรือไม่ หรือจะหารือเกี่ยวกับเต๋ากับบรรดาเซียนของสำนักต่อไป

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็ได้ยินนักพรตเต๋าคนหนึ่งกล่าวชมอ๋าวอี่

“ศิษย์น้องอ๋าวอี่ฝึกบำเพ็ญมานานเพียงใดแล้ว เจ้ากลายเป็นเซียนหยวนที่คู่ควรกับชื่อเสียงแห่งสายเลือดราชามังกร ศักยภาพของเจ้าช่างน่าทึ่งยิ่ง…”

ศิษย์น้อง?

แน่นอนว่า อ๋าวอี่กลายเป็นศิษย์ในสำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย และเขาน่าจะเป็นศิษย์ภายใต้การดูแลของปรมาจารย์รุ่นที่สองของสำนัก

ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วรู้สึกว่า อ๋าวอี่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นด้วยดวงตาและสีหน้าท่าทีของเขาที่ดูสงบมากขึ้น

แม้ว่าเขาจะยังเยาว์มาก แต่เขาก็ยังดูมั่นคง ดูสงบนิ่ง เต็มไปด้วยประสบการณ์ที่ผ่านการขัดเกลาด้วยความผันผวนแห่งโชคชะตา

แต่…มันไม่เกี่ยวอะไรกับหลี่ฉางโซ่วเลย

[1] เครื่องหมายตกใจ

[2] เครื่องหมายคำถาม