บทที่ 148 ไม่เอาไหนเลย!
บทที่ 148 ไม่เอาไหนเลย!
รสชาติดีจนน่าแปลกใจ
หนานกงสือเยวียนผู้ไม่โปรดปรานขนมหวานสักเท่าใด วันไหว้พระจันทร์ทุกปีที่ผ่านมา ขนมไหว้พระจันทร์ที่ทางห้องเครื่องทำมาถวาย ตัวเขาเองจะกินเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่จะมอบให้เหล่าข้ารับใช้
หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวเป่าหอบขนมไหว้พระจันทร์วิ่งหน้าตั้งมาหา ปีนี้เขาก็คงไม่ใคร่จะกินมันเช่นเดิม
ทว่าคราวนี้กลับไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ทันทีที่รสชาติไข่เค็มกระจายในปาก เขาพลันรู้สึกว่าความอยากมีมากขึ้น
“อร่อยหรือไม่?”
เจ้าก้อนแป้งเอ่ยถาม พลางใช้นัยน์ตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความคาดหวังมองมาที่เขา
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า “ไม่เลว”
แม้จะเป็นคำตอบห้วน ๆ แต่หากมันออกมาจากปากท่านพ่อ เสี่ยวเป่าย่อมถือว่ามันเป็นคำชม ทำให้นางยิ้มกว้างจนตาหยี
รู้ตัวอีกทีหนานกงสือเยวียนก็กินขนมไหว้พระจันทร์หมดไปแล้วสองชิ้น พลันเสียงบ่นของหนานกงหลีก็ดังขึ้น
“ไยถึงเป็นข้าที่ต้องโชคร้ายอยู่ร่ำไป ชุดนั้นข้าเพิ่งจะสวมมันเป็นครั้งแรกเองนะ!”
เสี่ยวเป่า “ท่านอาเจ็ดยังอยากกินขนมไหว้พระจันทร์อยู่หรือไม่?”
หนานกงหลีตอบเสียงหนักแน่น “กิน! ข้าโชคร้ายถึงเพียงนี้จะไม่กินได้อย่างไร!”
พูดจบเขาก็หยิบขนมไหว้พระจันทร์อีกครั้ง เนื่องจากมีบทเรียนจากครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เขาจึงยัดขนมทั้งชิ้นเข้าปาก ไม่บิมันก่อนกินเหมือนก่อนหน้านี้
หนานกงหลีตาเบิกกว้าง “ไยถึงเป็นไส้โหงวยิ้ง ข้าเบื่อรสชาตินี้เต็มทีแล้ว!”
ก่อนหน้านี้ เสี่ยวเป่าบอกว่ามีหลากหลายไส้ เหตุใดเขาถึงยังหยิบได้ไส้โหงวยิ้งที่ตนเคยกินจนเบื่อแล้วเล่า!
เห็นทีเขาคงอยู่ในช่วงดวงตก!
“อันนี้ข้าให้เจ้าก็แล้วกัน”
หนานกงหลีชักสีหน้าไม่พอใจ พลางส่งขนมในมือให้ขันทีน้อยที่อยู่ใกล้ที่สุด
ขันทีน้อยรับขนมมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ข้าน้อยขอบพระคุณท่านอ๋อง!”
แม้จะเป็นขนมไหว้พระจันทร์ไส้โหงวยิ้งแบบเก่า แต่ไส้ข้างในก็เต็มไปด้วยธัญพืชหลายชนิดที่มีราคาแพงมากในยุคนี้
อีกทั้งยังเป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่ทางห้องเครื่องทำเสียด้วย แม้จะเป็นวันไหว้พระจันทร์ ทว่าน้อยนักที่ข้ารับใช้อย่างพวกเขาจะมีวาสนาได้กินขนมมงคลนี้
หนานกงหลีกวักมือเรียกเสี่ยวเป่า ก่อนจะเลือกหยิบขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นใหม่
เด็กเล็กเดินมาหยุดอยู่ข้างเขาด้วยสีหน้างุนงง จากนั้นใบหน้าเล็กก็ถูกผู้เป็นอากุมเอาไว้
“แบ่งโชคดีให้อาเจ็ดหน่อย คราวนี้ขอให้ได้ไส้ที่ชอบ”
เสี่ยวเป่าผู้ซึ่งกำลังถูกท่านอาเจ็ดบีบแก้มจนปากมุ่ย “…”
ท่านอาเจ็ดกำลังทำสิ่งใดอีก!
ครั้งนี้หนานกงหลีดวงดีไม่น้อย เขาหยิบได้ขนมไหว้พระจันทร์ไส้เฉ่าเหมยกวนที่ตนโหยหา
เฉ่าเหมยกวนรสชาติหอมหวาน กัดเพียงหนึ่งครั้ง รสชาติเข้มข้นของเฉ่าเหมยกวนที่อยู่ด้านในพลันกระจายไปทั่วทั้งปาก
“อร่อย!”
รสชาติดีก็จริง แต่เวลากินต้องระวัง ไม่อย่างนั้นไส้ข้างในจะไหลทะลักออกมาได้
เป็นขนมไหว้พระจันทร์ที่เหมือนขนมสอดไส้มากกว่า
เมื่อเทียบกับหนานกงสือเยวียนแล้ว หนานกงหลีนั้นชอบขนมหวานมากกว่า
แต่เพื่อรักษารูปร่างหน้าตาที่สุดแสนจะดูดีของตนไว้ หนานกงหลีจึงมักจะออกไปขี่ม้าล่าสัตว์ แต่เหตุผลอีกส่วนหนึ่งคือ การขี่ม้าล่าสัตว์นั้นทำให้เขาดูเท่และมันดึงดูดความสนใจจากหญิงสาวได้เป็นอย่างดี
การกินขนมไหว้พระจันทร์ก็เหมือนการเปิดกล่องสุ่ม หนานกงหลีจะเลือกกินเพียงบางไส้ หากเป็นไส้ที่ตนชอบเป็นพิเศษก็จะกินเองจนหมด หากเจอกัดเจอไส้ที่ตนไม่ค่อยชอบก็จะส่งให้ข้ารับใช้จัดการมันต่อ
จนกระทั่งหนานกงสือเยวียนหมดความอดทนที่เห็นเขาทำเช่นนั้น จึงสั่งให้ขันทีนำมีดมาแบ่งขนมไหว้พระจันทร์เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วแบ่งไส้ที่ตนชอบไว้กินเอง ส่วนไส้ที่ไม่ชอบก็จะมอบให้ข้ารับใช้
ขณะที่สองคนอาหลานที่นั่งอยู่บนตั่งตัวเดียวกัน ก็กำลังหาพลางถกเถียงกันว่า ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ใดรสชาติดีที่สุด
หนานกงสือเยวียนไม่คิดจะเข้าไปร่วมสนทนาเรื่องไร้สาระกับพวกเขา พอกินขนมไหว้พระจันทร์ไส้ไข่เค็มและไส้หมูรมควันอีกสองสามชิ้นแล้วก็หยุดกิน
เขาเป็นผู้มีวินัยในตนเอง เมื่อกินอิ่มย่อมต้องไปออกกำลังเพื่อช่วยให้อาหารย่อยได้ง่ายขึ้น
เพียงแต่วิธีออกกำลังของเขานั้นคือการไปที่ลานฝึกวรยุทธ์
เสี่ยวเป่าเห็นเขาลุกขึ้นก็รีบกระโดดลงจากตั่ง “ท่านพ่อจะไปออกกำลังใช่หรือไม่?”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า นางจึงรีบวิ่งมาแล้วเอามือน้อยแสนอวบอิ่มของตนจับมือเรียวยาวของท่านพ่อไว้
“ท่านพ่อพาเสี่ยวไป๋กับเฟิงเฟิงไปด้วย พวกมันอ้วนเป็นหมูแล้ว”
หนานกงสือเยวียนได้ยินเช่นนั้น ก็พลันย้ายสายตามาจับจ้องเจ้าก้อนแป้งที่เริ่มตัวขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าด้านหนานกงหลีกลับเอ่ยสิ่งที่ตนคิดออกมาอย่างไม่อ้อมค้อม “ฮ่าฮ่า!!!… เสี่ยวเป่ากำลังพูดถึงตนเองด้วยใช่หรือไม่?”
เจ้าก้อนแป้งไม่เพียงทำให้สหายทั้งสองอวบอ้วนขึ้น แต่ยังทำให้ตนเองอวบอ้วนขึ้นไม่ต่างกัน
เสี่ยวเป่าหันไปจ้องท่านอาเจ็ดตาเขียว
“เสี่ยวเป่าไม่ได้อ้วน!”
แม้จะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่นางก็มิวายลูบหน้าท้องกลมกลึงแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ
หนานกงสือเยวียน “เจ้าเองก็ควรไปด้วยกัน”
เสี่ยวเป่า “…”
นี่มันยกหินขึ้นมาทับขาตนเองชัด ๆ เลย!*[1]
คนตัวเล็กเหลือบมองหนานกงหลีที่ยังคงยิ้มร่า ก่อนจะชี้นิ้วน้อย ๆ ไปทางเขาด้วยความแค้น
“ท่านอาเจ็ดก็ควรไปด้วย!”
“อืม… เพ้ย! เสี่ยวเป่าทำเช่นนี้ไม่ได้นะ ข้า…”
“ข้าไป”
เพียงหนานกงสือเยวียนปรายตามอง เขาก็หุบปากทันที
สุดท้าย ทั้งคนทั้งสัตว์ต่างก็ต้องกล้ำกลืนฝืนตนมาที่ลานฝึกวรยุทธ์ด้วยกัน
ลานฝึกวรยุทธ์ของหนานกงสือเยวียนนั้นกว้างใหญ่มาก
หลินเจิ้งชิงที่กำลังคุมผู้คนฝึกฝนวรยุทธ์อยู่เห็นว่าฝ่าบาทเสด็จมา ก็รีบเข้าไปถวายการต้อนรับทันที
“ถวายบังคมฝ่าบาท ท่านอ๋องและองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนพยักหน้าตอบรับ “พาพวกเขาไปวิ่งที”
เสี่ยวเป่ารีบคว้ามือท่านพ่อของตนไว้ “แล้วท่านพ่อเล่า?”
“ข้ามีสิ่งอื่นต้องไปทำ”
เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว เสี่ยวเป่าจึงพาเสี่ยวไป๋และเฟิงเฟิงเดินตามหลังหลินเจิ้งชิงไปอย่างว่าง่าย
หลินเจิ้งชิงเห็นกวางตัวอวบอ้วนที่อยู่ข้าง ๆ องค์หญิงเก้าถึงกับตากระตุก
ฝ่าบาททรงมอบหมายงานประเภทใดให้เขาทำกัน!
“เฟิงเฟิงรีบบินเร็วเข้า อย่าเอาแต่เกาะเสี่ยวไป๋ ตัวเจ้าอ้วนตุ๊บถึงเพียงนี้ หากไม่ลด ต่อไปเจ้าบินไม่ได้อีกจะทำเช่นไร”
เสี่ยวเป่าบ่นเจ้าผึ้งตัวใหญ่ที่เกาะอยู่บนหัวกวางขาว พอหลินเจิ้งชิงเห็นมันเข้าก็ยิ่งเงอะงะทำตัวไม่ถูก
เหตุไฉนผึ้งถึงได้ตัวอวบอ้วนถึงเพียงนี้ มันใช่ผึ้งจริง ๆ หรือ?
นี่เขากำลังเผชิญหน้ากับสิ่งใดอยู่!
“องค์หญิง เซียวเหยาอ๋อง เริ่มวิ่งกันเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงหลีต่อรอง “ข้าขี่ม้าได้หรือไม่?”
หลินเจิ้งชิงปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ดีจริง เห็นทีคงต้องพึ่งพาสองขาของตนเองเท่านั้นแล้ว
พอเสี่ยวเป่าและหลินเจิ้งชิงเริ่มออกตัววิ่ง เสี่ยวไป๋ก็วิ่งตามเช่นกัน ส่วนเฟิงเฟิงก็กระพือปีกบินตามไป
ด้านหนานกงสือเยวียนที่เดินไปถึงลานฝึกยุทธ์แล้วก็ คว้าทวนหนักเล่มยาวมาอันหนึ่ง ก่อนจะเริ่มการฝึกฝนทันที
การเคลื่อนไหวพริ้วไหวประดุจเมฆาล่องลอย สายธารไหลริน*[2] ท่าทางเครงขรึม เสี่ยวเป่าพลางวิ่งพลางปรบมือราวกับแมวน้ำตัวน้อย
ท่านพ่อของนางแข็งแกร่งที่สุดเลย!
หนานกงหลีเห็นแล้วก็รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย หากเขาทำได้อย่างเสด็จพี่สักครึ่งหนึ่ง เพียงแสร้งทำเป็นกวัดแกว่งอาวุธด้วยท่าทางเคร่งขรึมให้ผู้คนได้พบเห็น เป็นต้องได้รับความชื่นชมจากบรรดาหญิงสาวอย่างแน่นอน
วิ่งได้ไม่ถึงสองรอบ สองคนอาหลาน และสัตว์อีกสองตัวต่างก็เรี่ยวแรงแห้งเหือด
เฟิงเฟิงแอบหาที่เกาะใกล้ ๆ ซึ่งบังเอิญเป็นหัวของหนานกงหลี ยามนี้มันแทบไม่อยากขยับปีกเลยสักนิด
เสี่ยวเป่านั้นถึงกับทรุดตัวนั่งลงบนพื้นด้วยท่าทางอ่อนแรงพลางรำพันในใจว่า ไม่วิ่งแล้ว ๆ ฝ่าเท้าน้อย ๆ ของเสี่ยวเป่าก้าวไม่ออกแล้ว!
หนานกงหลีก็หอบหนักพลางโบกมือเป็นพัลวัน “ไม่วิ่งแล้ว ๆ ข้าวิ่งไม่ไหวแล้ว”
ส่วนเสี่ยวไป๋นั้นทิ้งตัวนอนลงข้าง ๆ เสี่ยวเป่า พร้อมเหยียดแขนขาทั้งสี่ออกจนสุด
หลินเจิ้งชิงที่เหงื่อไม่ออกเลยสักเม็ด “…”
ไม่เอาไหนเลย!
องค์หญิงน้อยไม่เท่าไหร่ แต่เซียวเหยาอ๋องที่เป็นผู้ใหญ่แล้วไยถึงเป็นเช่นนี้?
เจ้ากวางนี่ก็ด้วย มันเป็นสัตว์ที่วิ่งได้ปราดเปรียวมากไม่ใช่หรือ? แต่กลับเป็นเสียอย่างนี้ หากถูกปล่อยคืนผืนป่าคงไม่แคล้วกลายเป็นอาหารในเร็ววัน ไหนจะเจ้าผึ้งนั่นอีก ปีกมันมีไว้ประดับตัวเฉย ๆ หรืออย่างไร?!
[1] ยกหินขึ้นมาทับขาตัวเอง หมายถึง คิดร้ายต่อผู้อื่น แต่ผลร้ายกลับย้อนมาหาตนเอง
[2] เมฆาล่องลอย สายธารไหลริน หมายถึง การกระทำที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ