การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน
วิกฤตการณ์ที่ฟางฮุ่ยกำลังประสบอยู่นี้ เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย
เขาเองก็คงไม่คิดว่าหลังจากเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ จนเขาเป็นที่จับตาของผู้คนแล้ว แต่หลิวฮ่วนมันยังจะกล้าล้ำเส้น บุกมาฆ่าฟางฮุ่ยถึงเมืองชงซัน!
ตอนนี้ต้วนหลิงเทียนได้ติดตามป๋ายลี่หงรวมถึงกลุ่มคนของสำนักจันทร์จรัสแสงไปยังสถานที่จัดการแข่งขันล่าสัตว์ ซึ่งเป็นพื้นที่ป่ารกชัดในหุบเขาแห่งหนึ่ง
อยู่บนฟ้าทอดตาลงมาก็เห็นผืนป่าเขียวอันกว้างใหญ่ขุนเขาสุดไพศาล หมอกลงจางๆแฝงกลิ่นอายลี้ลับประการหนึ่ง
“เขาลูกนี้ล้วนเป็นเวทีประลองของพวกเจ้า…พวกเจ้าสามารถลงไปเข่นฆ่าสัตว์ร้ายทั้งหลายได้ตามใจ! อย่างไรก็ตามตอนฆ่าสัตว์ร้ายขอให้พวกเจ้าทิ้งร่องรอยหรือสัญลักษณ์แสดงตัวตนของพวกเจ้าเอาไว้บนศพพวกมันด้วย เพื่อที่พวกเราจักได้ตรวจสอบผลคะแนนได้”
รองเจ้าสำนักจันทร์จรัสแสง จงหั่ว กล่าวกับเหล่าศิษย์รวมถึงต้วนหลิงเทียน
ได้ยินคำประกาศของจงหั่ว ต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นก็พยักหน้ารับ
“ดูเหมือนว่าคงไม่อาจลงมือฆ่าสัตว์ร้ายรุนแรงเกินไปจนไม่เหลือซากศพสินะ…หากร่างมันถูกทำลายไปหมด คราวนี้ก็คงพิสูจน์ยากแล้วว่าสัตว์ร้ายถูกใครฆ่า…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวพึมพำกับตัวเบาๆ
ในระหว่างเดินทางเขาก็ได้รับทราบกฏเกณฑ์การแข่งขันจากจงหั่ว
ในการแข่งขันล่าสัตว์นี้ คะแนนที่จะได้รับก็ขึ้นอยู่กับด่านพลังของสัตว์ร้ายที่ฆ่าไป
“ต่อไปป้ายหยกนี้จะแจกให้พวกเจ้าแต่ละคนพกติดตัวเอาไว้…หากพวกเจ้าประสบอุบัติเหตุอันใด เพียงทำลายป้ายหยกนี้เสีย แล้วถึงตอนนั้นข้ากับผู้ตรวจสอบทั้ง 3 จะเร่งรุดไปช่วยพวกเจ้าโดยเร็วที่สุด”
จงหั่วยกมือขึ้นปรากฏป้ายหยกนับสิบๆผุดขึ้นมาลอยล่องในความว่าง ต่อมาพวกมันก็ถูกแจกจ่ายให้ต้วนหลิงเทียนกับเหล่าศิษย์
“อย่างไรก็ตามข้าจักต้องกล่าวแจ้งพวกเจ้าไว้ก่อน ว่าทันทีที่พวกเจ้าทำลายป้ายหยก นั่นเท่ากับว่าการแข่งขันล่าสัตว์ของพวกเจ้าก็จำต้องถึงกาลสิ้นสุด ต้องออกจากการแข่งขันล่าสัตว์ทันที”
ความหมายของจงหั่วก็ชัดนัก หากไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงตายก็อย่าได้ทำลายป้ายหยกเด็ดขาด
นอกจากต้วนหลิงเทียนที่มองตรวจสอบป้ายหยกอย่างจริงจังแล้ว ศิษย์คนอื่นๆรวมถึงเฮ่อจงเพียงพยักหน้ารับเท่านั้น
“อาคมเซียนงั้นเหรอ?”
ตอนนี้เองต้วนหลิงเทียนก็เห็นอาคมเซียนที่จารึกเอาไว้ในป้ายหยก
รูปแบบของอาคมเซียนนี้แปลกตาเขานัก มันไม่ใช่อาคมเซียนป้องกัน จู่โจม หรือเพิ่มความเร็วอะไร อย่างน้อยๆเขาก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน
“ศิษย์พี่ป๋าย ท่านเป็นคนจารึกอาคมเซียนลงป้ายหยกพวกนี้หรือ?”
เสียงผ่านปราณแท้ของต้วนหลิงเทียนส่งไปถามป๋ายลี่หงทันที ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันคืออาคมอะไร แต่จากลักษณะการจารึกและกลิ่นอายพลังวิญญาณที่แฝงในวงจรพลัง ต้วนหลิงเทียนก็พอจะบอกได้ว่าเป็นฝีมือป๋ายลี่หง
การสลักจารึกก็เสมือนลายมือ ทุกผู้คนย่อมมีความแตกต่างกัน
“มิผิด”
ป๋ายลี่หงพยักหน้ารับค่อยตอบ “ศิษย์น้องเจ้าอย่าได้เห็นว่าอาคมเซียนพวกนี้ธรรมดาๆเชียว อย่างน้อยๆอาคมเซียนพวกนี้ก็เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว”
อาคมเซียนระดับ 3 ดาว?!
ต้วนหลิงเทียนพอได้ยินก็ตกใจไม่น้อย
“แต่อย่างไรเสีย ถึงแม้จักเป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว ทว่ามันก็เป็นอาคมแจ้งเตือนเท่านั้น วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีราคาน้อยยิ่งกว่าอาคมเซียนระดับ 2 ดาวเสียอีก”
ป๋ายลี่หงกล่าวเสริม
ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จฉงนใจ
“แต่ถึงแม้ราคาวัตถุดิบจะต่ำทั้งจารึกได้มิยากเย็นอะไร…ทว่าสุดท้ายมันก็เป็นอาคมเซียนระดับ 3 ดาว เช่นนั้นต่อให้เป็นตัวตนขอบเขตครึ่งก้าวเซียนก็มิอาจหยุดยั้งผลของอาคมนี้ได้ ทว่าหากเป็นขอบเขตเซียนก็เป็นอีกเรื่องแล้ว”
ป๋ายลี่หงร่ายยาวออกมา
“สามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนได้ แม้จะเผชิญหน้ากับครึ่งก้าวเซียนงั้นเหรอ?”
ต้วนหลิงเทียนยอมรับว่าประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่กล้าดูเบาอาคมเซียนที่แลดูไม่ยากเย็นในมืออีกต่อไป
“เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าทั้งหมดก็ลงไปออกล่าได้แล้ว…ผู้ตรวจสอบทั้ง 3 รวมถึงข้า ก็จักลาดตระเวนตรวจตาอยู่ไม่ห่าง หากพวกเจ้าพบอันตรายที่มิอาจจัดการได้เพียงเร่งทำลายป้ายหยกนั่นเสีย พวกเราก็จักไปช่วยเหลือพวกเจ้าทันที”
รองเจ้าสำนักจงหั่วไม่กล่าววาจาใดให้มากความ เพียงกล่าวย้ำเรื่องราวอีกรอบก็ปล่อยให้ทุกคนมีอิสระในการลงมือทันที
สำหรับรายละเอียดอื่นๆทั้งหลายในการแข่งขัน มันกล่าวแจ้งทั้งหมดระหว่างเดินทางมาเรียบร้อยแล้ว
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
……
สิ้นเสียงจงหั่ว ศิษย์ฝ่ายในทั้งหลายที่กำลังคึกคักฮึกเหิมก็เร่งเหินร่างลงจากฟ้าพุ่งไปในป่ารกชัดของเขาลูกนี้ทันที ทั้งหมดหายไปในพริบตาประหนึ่งหินร่วงหล่นทะเลไร้ระลอกคลื่นอันใด
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้าให้ป๋ายลี่หง ก่อนที่จะโรยตัวลงไปด้านล่างอย่างไม่รีบไม่ร้อน
“อาวุโสป๋ายลี่ ในบรรดาผู้เข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมดวันนี้ ข้าว่าศิษย์น้องต้วนของท่านน่าจักมีแววมากที่สุด เห็นทีอันดับของเขาน่าจะมิพ้นอันดับ 1 แล้วท่านว่าใช่หรือไม่?”
หลังจากที่เหล่าศิษย์รวมถึงต้วนหลิงเทียนหายลงไปในป่าเขาด้านล่างแล้ว จงหั่วก็ยิ้มมองป๋ายลี่หงค่อยหยีตากล่าวถาม
แน่นอนว่ามันจงใจถาม
อย่างไรก็ตามคำตอบต่อมาจากปากป๋ายลี่หง ทำให้มันอดไม่ได้ที่จะอึ้ง
“ไม่ใช่มิพ้นอันดับ 1 แต่ต้องได้อันดับ 1 แน่นอน! ศิษย์น้องข้าไหนเลยยังมิอาจคว้าอันดับ 1 ในการแข่งขันนี้ได้!”
นี่คือคำตอบของป๋ายลี่หง
วาจาของป๋ายลี่หงไม่เพียงทำให้จงหั่วอึ้ง กระทั่งผู้ตรวจสอบอีก 2 คนที่เหลือก็ตะลึงไปไม่ต่าง พวกมันรู้สึกว่าป๋ายลี่หงจะเชื่อมั่นในตัวต้วนหลิงเทียนมากเกินไป นี่มันถึงขั้นหน้ามืดตามัวแล้ว!
แม้พวกมันจะไม่อาจไม่ยอมรับว่าพรสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนนั้นยอดเยี่ยม!
อย่างไรก็ตามมีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ก็ไม่ได้หมายความว่าพลังฝีมือจะแข็งแกร่ง!
ในสายตาของพวกมัน ต้วนหลิงเทียนที่พึ่งทะลวงผ่านจากขอบเขตหลุดพ้นมนุษย์ขั้นสมบูรณ์แบบมายังขอบเขตสู่เซียนได้ในเวลาแสนสั้นแบบนี้ น่ากลัวว่ารากฐานจะไม่มั่นคง! ยากที่จะทัดเทียมกับศิษย์ฝ่ายในคนอื่นที่อยู่ในขอบเขตสู่เซียนมานาน!!
แน่นอนว่าที่พวกมันคิดกันแบบนี้เพราะไม่ล่วงรู้ ความลับ ของต้วนหลิงเทียน
หากพวกมันรู้ว่าต้วนหลิงเทียนมีเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ พวกมันคงไม่มีวันคิดเรื่องแบบนี้
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนโรยตัวลงมาในป่า และออกเดินทางไล่ฆ่าสังหารสัตว์ร้ายในเขา ทางด้านจวนเจ้าเมืองชงซันก็กำลังประสบกับวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่
เหนือขึ้นไปบนฟ้า ฟางฮุ่ย มองร่างซูฉีด้วยสายตาซับซ้อน อย่างไรก็ตามสุดท้ายมันก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ในสายตาของมัน ทางเลือกของซูฉีไม่นับว่าผิดอะไร
โลกนี้ที่ยึดถือความแข็งแกร่งเป็นที่สุด น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ คนขวนขวายปีนขึ้นสูง…การฝึกฝนบ่มเพาะก็เพื่อยกระดับพลังฝีมือให้ก้าวขึ้นมาอยู่เหรือใครไม่ใช่หรือ?
ซูฉีเลือกที่จะรักษาชีวิตตัวเองและแสวงหาความแข็งแกร่งโดยเข้าพวกกับหลิวฮ่วน เรื่องนี้มันไม่อาจตำหนิซูฉีได้
เพื่อความอยู่รอดแล้ว ซูฉีจะทำแบบนี้ก็ไม่ได้ผิดอะไร
อย่างไรก็ตามพอได้เห็นแววตาของหลิวฮ่วนที่ท่วมท้นไปด้วยจิตสังหาร ฟางฮุ่ยก็รู้ดีว่าที่หลิวฮ่วนมาหามันวันนี้ ที่ดีไม่มา ที่มาไม่ดีเป็นแน่! สมควรมาเอาชีวิตมันแล้ว!!
มันไม่ได้แปลกใจอะไรที่หลิวฮ่วนอยากฆ่ามันให้ตาย!
ทว่าหลิวฮ่วนพาซูฉีมาด้วยแบบนี้ ใจมันก็รู้สึกเย็นเยียบขึ้นมาทันที
หลิวฮ่วนคิดอวดพลังอำนาจ ทั้งคิดหยามหยันมันต่อหน้าอดีตศิษย์อย่างซูฉี!
เมื่อหยามหยันมันต่อหน้าอดีตศิษย์จนสาแก่ใจแล้ว ถึงค่อยเอาชีวิตมัน!!
“ฟางฮุ่ย จะอย่างไรข้าก็ต้องขอบใจเจ้ายิ่งนัก…ที่อุตส่าห์ไปสรรหาศิษย์อันประเสริฐเช่นนี้มามอบให้ข้า!!”
หลิวฮ่วนมองหยามฟางฮุ่ยค่อยกล่าวเย้ยเยาะออกมา
“หลิวฮ่วนเจ้าอย่าได้เสแสร้งอันใดอีกเลย…ที่เจ้าถึงกับต้องถ่อมาฆ่าข้าวันนี้ มิใช่เพราะเจ้าร้อนใจเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งหนามยอกอกคอยตำใจเจ้าหรือไร?”
ฟางฮุ่ยมองสวนหลิวฮ่วนค่อยกล่าวออกมาเสียงเย็น “ต่อให้วันนี้ข้าฟางฮุ่ยต้องตาย ข้าก็มีใดให้เสียใจ…ต้วนหลิงเทียนนั้นถูกกำหนดมาให้เป็นดาวพิฆาตของเจ้าไปชั่วชีวิต…! ข้าก็หวังว่าเจ้าจะใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตให้ดี และหวังว่าเจ้าจักอยู่ได้นานพอ!!”
“ฮ่าๆๆๆ!!!”
หลังกล่าวจบฟางฮุ่ยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ในน้ำเสียงเผยถึงความปลอดโปร่ง ไม่ยี่หระต่อความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา
“ฟางฮุ่ย!”
หน้าหลิวฮ่วนเปลี่ยนเป็นอัปลักษณ์ปั้นยากทันใด มันคำรามออกมาด้วยโทสะ!
มันไม่คิดไม่ฝันเลยว่าแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ฟางฮุ่ยยังกล้ากล่าวยั่วยุมันออกมา! เห็นชัดว่าอีกฝ่ายไม่นำพาความตายอันใด!!
“เฮอะ! เจ้าคิดว่ายั่วยุข้าเช่นนี้แล้วข้าจะรีบลงมือฆ่าเจ้าทิ้งหรือไร? โง่เขลานัก! ข้ามิให้เจ้าด่วนตายนักหรอก!”
ไม่นานหลิวฮ่วนก็ฉุกคิดขึ้นได้ มันจึงกลับมาสงบใจ กล่าวถามเย้ยออกมาเสียงเย็น
“หลิวฮ่วน จินตนาการของเจ้ายังบรรเจิดเหมือนกาลก่อนมิมีผิด!”
ฟางฮุ่ยกล่าวออกมาด้วยสีหน้าแย้มยิ้ม ไม่คล้ายคนที่รู้ว่าตัวเองกำลังจะตายแม้แต่น้อย
“เจ้าคิดว่ากล่าวเช่นนี้ข้าจะเร่งสังหารเจ้าให้ตายโดยไม่เจ็บปวดหรือไร?”
หลิวฮ่วนยังคงกล่าวเย้ยออกมาสืบต่อ “วันนี้เจ้าต้องตายแน่นอน แต่มิมีวันที่ข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างสบาย! ข้าจะให้เจ้ารับรู้ถึงคำว่าอยู่มิสู้ตาย! กระทั่งสุดท้ายเจ้าต้องมาวิงวอนร้องขอความตายจากข้า!!”
ได้ยินวาจานี้ของหลิวฮ่วน แม้ฟางฮุ่ยจะไม่หวั่นหวาดต่อความตาย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนักอึ้งในใจอยู่บ้าง
“ยินดีเป็นหยกแหลกลาญ มิขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์! หลิวฮ่วน..ตัวข้าจะเป็นตายร้ายดีก็สุดแล้วแต่เจ้าเถอะ แต่การตายของข้ามันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น…จุดเริ่มต้น ‘ฝันร้าย’ ของเจ้าอย่างไรเล่า!”
ฟางฮุ่ยยังคงหัวเราะออกมาด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง ยิ่งมายิ่งรู้สึกสาสมใจนัก!
เป็นเวลาเนิ่นนานหลายปีแล้วที่มันมีเรื่องบาดหมางกับหลิวฮ่วน เพราะอีกฝ่ายดับอนาคตมัน ย่ำยีคนรักของมัน ให้มันอยู่อย่างไร้อนาคต…ทุกคืนวันผันผ่านไปด้วยความระทม หนึ่งวันที่ทุกข์ตรมยังรู้สึกเนิ่นนานเป็นปี! ทว่าวันนี้มันกลับรู้สึกยินดีมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
หลายปีที่ผ่านมาที่มันต้องทุกข์ระทมตรอมตรม มิใช่บังเกิดความรู้สึกสิ้นหวังในใจหรอกหรือ?
ทว่าวันนี้ศิษย์ของมันอย่างต้วนหลิงเทียนกลับเติบโตเข้มแข็งขึ้นทุกขณะ การดำรงอยู่ของต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ต่างใดจากหนอมยอกอกที่คอยตำใจหลิวฮ่วน และหนามนี้ยิ่งมายิ่งแหลมคมเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ! มันรู้สึกว่าทุกสิ่งที่ผ่านมาช่างคุ้มค่าแล้ว!
เมื่อมันได้รับรางวัลและผลตอบแทนเช่นนี้ในบั้นปลายชีวิต ไหนเลยยังไม่สาแก่ใจได้!
ในสายตาของมัน ต้วนหลิงเทียนเป็นดั่งของขวัญที่สวรรค์ประทานมาให้มัน!
มีต้วนหลิงเทียนอยู่ทั้งคน ไหนเลยมันยังต้องห่วงเรื่องที่จะไม่ได้ล้างแค้นหลิวฮ่วนอีก!?
ถึงแม้มันจะอยู่กับต้วนหลิงเทียนแค่ไม่ถึงปี แต่อุปนิสัยใจคอของต้วนหลิงเทียนเป็นเช่นไร ใยมันจะไม่ทราบ!
หากมันตกตายลงไป ต้วนหลิงเทียนไม่มีวันละเว้นหลิวฮ่วนแน่! อีกฝ่ายได้แต่นับวันรอที่จะถูกฆ่าตายคามือต้วนหลิงเทียนเท่านั้น!!
“หาที่ตาย!!”
หลิวฮ่วนพิโรธหนักนัก ทั่วร่างปรากฏปราณแท้มหาศาลขุมหนึ่งปะทุออกแข็งกล้า จนฟ้าสะท้านมวลอากาศสะเทือน!
ยามเมื่อหลิวฮ่วนคิดลงมือจู่โจม ชุดคลุมของมันเริ่มโบกสะบัดไหวแรงไม้ไร้ลม ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดคล้ำอำมหิต แววตาเย็นเยียบปานหล่มน้ำแข็ง มันยกมือขึ้นฉับไวด้วยความเร็วสูงล้ำ ทว่าทันใดนั้นเอง ร่างมันสะท้านไปวูบหนึ่ง ฝ่ามือพลิกกลับ เร่งตบฟาดออกไปด้านข้างทันที!!
ปงงงง!!
เสียงสนั่นดังขึ้นคราหนึ่ง ปรากฏร่างหนึ่งถูกซัดกระเด็นปลิดปลิวออกไปไม่เป็นท่า! โลหิตพุ่งเป็นเส้นสายลากผ่านฟ้า!!
ร่างที่ถูกซัดปลิวนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน กลับเป็นซูฉี!
กล่าวให้ชัดเป็นซูฉีที่ถูกซัดออกมา เพราะได้เรียกเข็มสีทมิฬเล่มหนึ่งออกมาลอบแทงฉับไวดั่งอสรพิษฉกกัด ไปยังต้นแขนหลิวฮ่วน ในขณะที่หลิวฮ่วนคิดตบฟาดฝ่ามือซัดทำร้ายฟางฮุ่ย!
“ซูฉี!”
เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงที่บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และตอนนี้ร่างหลิวฮ่วนก็เริ่มสั่นสะท้านไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ หากฟางฮุ่ยยังไม่รู้ว่าที่แท้นี่มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ก็เสียทีที่ใช้ชีวิตอยู่มาหลายปีแล้ว!
จังหวะนี้มันตระหนักได้ทันที!
ที่แท้ซูฉีมิได้ทรยศหักหลังมันแต่อย่างไร ใจอีกฝ่ายยังอยู่กับมันเสมอมา!
ซูฉีไม่ได้หวาดกลัวความตายแต่อย่างไร…
แต่อีกฝ่ายทานทนรับความอัปยศอดสู ยังยินดีถูกตราหน้าว่าตัวทรยศ! เพื่อเฝ้ารอคอยเวลาที่จะได้ล้างแค้นให้อาจารย์ไม่เอาไหนอย่างมัน!!
เห็นดังนั้น ฟางฮุ่ยก็ไม่คิดอะไรให้มากความ ปะทุพลังชั่วชีวิตพุ่งไปรับร่างซูฉีที่ร่วงหล่นฟ้าทันที
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่เอาไหนไร้สามารถ…ล้างแค้นให้อาจารย์มิได้…หากมีเวลาอีกมิกี่เดือนข้ามั่นใจว่าต้องฆ่ามันได้แน่ๆ…น่าเสียดาย น่าเสียดายนัก!”
ซูฉีที่เลือดกลบปากทั้งยังกระอักออกมาไม่หยุด กล่าวออกมาด้วยสีหน้าแววตาเสียดายเป็นที่สุด
“สารเลว! ศิษย์เนรคุณ! เจ้าลอบวางยาพิษข้าตั้งแต่เมื่อใด!?”
หลิวฮ่วนที่ร่างสั่นระริกไกลตา ตะคอกเสียงดังลั่นฟ้ากล่าวถามออกมาด้วยอำมหิต
มันพบว่าทันทีที่เข็มของซูฉีทิ่มแทงลงมา ก็ประหนึ่งจุดชนวนอะไรบางอย่าง พิษร้ายที่ไม่ทราบมาแต่ที่ใด กลับปะทุแล่นพล่านขึ้นมาทั่วกายของมันทันที!