ตอนที่ 142 ข่าวโคมลอยของเถ้าแก่ซู
ตอนที่ 142 ข่าวโคมลอยของเถ้าแก่ซู
“?!” ซูเถา
“!” เหลยสิง
ซูเถาตกตะลึง เธอกับเหลยสิงลอบมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้ เธอส่ายหัวอย่างดุเดือดเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง และอธิบายกับเหลยสิงด้วยเสียงต่ำ
“ฉันยืนยันได้ว่ามันไม่มีอะไรจริง ๆ! แม้แต่หน้าของกู้หมิงฉือฉันยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ!”
อารมณ์ของเหลยสิงก็ปั่นปวนในทันใด น้ำเสียงที่เขามีต่อชวีจิ้งอวิ๋นก็เปลี่ยนไปในทันที
“คุณตรวจสอบเรื่องนี้อย่างชัดเจนแล้วหรือยัง? ถ้าคุณล้มเหลวในการทำธุรกิจ ก็อย่าสร้างข่าวลวงให้ฝ่ายตรงข้าม มันดูไม่น่าเชื่อถือ มันยากสำหรับผมที่จะรู้สึกสบายใจกับการที่ต้องจัดตั้งทีมกับคุณ”
ชวีจิ้งอวิ๋นมีความคิดที่ค่อนข้างที่จะแน่วแน่ เธอพูดด้วยน้ำเสียงกระแทกกระทั้นจนเกือบจะสบถ
“มันต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน กู้หมิงฉือพูดถึงซูเถาต่อหน้าเหล่าต้าของเราหลายครั้ง เราร่วมมือกันมาหลายปีแล้ว เราไม่เคยเห็นเขาปกป้องผู้หญิงแบบนี้มาก่อน เขาเลือกที่จะทำสงครามเย็นกับเราด้วยซ้ำ และคัดค้านการโจมตีภูเขาผานหลิวอย่างเด็ดเดี่ยว”
“กัปตันเหลย คิดให้ดี ๆ เขาเป็นนักธุรกิจ แต่ทำไมเขายังปฏิบัติกับซูเถาแบบนี้ ถ้าซูเถาไม่ได้สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์อะไรแก่เขา”
มันฟังดูเป็นเรื่องเป็นเรื่องราวใหญ่โตมากจนเหลยสิงเกือบจะเชื่อ
ซูเถากดปุ่มวางสายให้เขาและพูดอย่างโกรธ ๆ ว่า
“ฉันทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว มีความสามารถในการแพร่กระจายข่าวลือจริง ๆ ฉันพยายามถามกู้หมิงฉือแล้วจริง ๆ แต่ฉันก็ไม่สามารถเค้นคำตอบจากเขาได้ นั่นหมายความว่าเขาไม่ได้ทรยศต่อสถานีเก่า นับประสาอะไรกับความสัมพันธ์กับฉัน ถานหย่งและชวีจิ้งอวิ๋นเหมือนคนที่เป็นโรคร้าย ที่ไม่สามารถทำธุรกิจด้วยได้ อีกทั้งยังกระจายข่าวลือเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวของฉันอีก”
เหลยสิงมองที่เธอด้วยดวงตาสีทองเข้มและพูดว่า
“แล้วทำไมกู้หมิงฉือถึงออกหน้าแทนคุณ”
ซูเถาไม่มีคำอธิบาย “ฉันไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่ฉันกับเขามีความสัมพันธ์แบบอุปสงค์และอุปทานกันเท่านั้น อย่างมากที่สุดก็คือเขาเป็นเจ้าของห้องพัก เขามาเช่าห้องให้คุณตาของเขา…บางทีเขาอาจจะเห็นว่าคุณตาของเขามีชีวิตที่ดีในเถาหยาง เขาก็เลยช่วยแก้ต่างให้ ฉันก็คิดเหตุผลอื่นไม่ออกแล้วจริง ๆ”
เหลยสิงสังเกตเห็นอีกฝ่ายสับสนจริง ๆ และไม่ได้มีท่าทีเสแสร้ง ดังนั้นเขาจึงเชื่อเธอ 90% แต่ในใจของเขาก็รู้สึกเป็นศัตรูอย่างอธิบายไม่ได้ต่อกู้หมิงฉือ
ซูเถากลัวว่าเขายังมีข้อสงสัยอยู่ในใจ เธอคิดอย่างบ้าคลั่งว่ามันมีการสมรู้ร่วมคิดบางอย่าง และรู้สึกเสียใจ ดังนั้นเธอจึงพูดอย่างรวดเร็ว
“กัปตันเหลย นี่มันเป็นข่าวโคมลอยอย่างแน่นอน คุณไม่ต้องคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอก ฉันซูเถา ไม่เคยปิดบังสิ่งที่ฉันพูด อย่าให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความร่วมมือของเรา”
เมื่อเหลยสิงได้ยินสิ่งนี้ เขาก็ปักใจเชื่อในทันที ก่อนจะฉีกยิ้มโชว์ฟันเขี้ยว และพูดออกมา
“ถ้าอย่างนั้นผมจะคิดว่ากู้หมิงฉือเป็นคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์*[1] ผมจะแสร้งทำเป็นเห็นด้วยกับชวีจิ้งอวิ๋นก่อนแล้วกัน”
……
ในตอนบ่ายซูเถาตั้งใจไปเยี่ยมชายชรากู้ แต่พยาบาลบอกว่าชายชรากู้ไปที่ห้องของผู้อาวุโสเหม่ยเพื่อเล่นหมากรุก
พยาบาลยิ้ม “เถาหยางไม่เพียงมีสภาพแวดล้อมที่ดีเท่านั้น แต่ยังมีบรรยากาศที่ดีอีกด้วย ชายชราอารมณ์ดีและเจริญอาหารขึ้น ทุกวันนี้เขาน้ำหนักขึ้นมาหลายกิโลกรัมแล้ว และตอนบ่ายเขาไม่ได้ร้องเพลงคนเดียวอีกต่อไป เขาสามารถเล่นหมากรุกกับผู้อาวุโสเหม่ย ดูทีวีและคุยกับคนชราอีกสองสามคน ทำให้เขามีรอยยิ้มมากขึ้น”
ซูเถามีความสุขมากที่ได้ยินเช่นนั้น ถ้าไม่รวมกู้หมิงฉือ ชายชรากู้ก็ยังถือเป็นผู้เช่าของเธอ เธอหวังเป็นอย่างยิ่งว่าชายชรากู้จะมีอายุที่ยืนยาวและมีความสุข
“งั้นก็ดีค่ะ ถ้าคุณต้องการอะไรเพิ่มเติม แจ้งผู้จัดการจวงได้เลยนะคะ แล้วช่วงนี้คุณกู้ได้โทรมาพูดอะไรบ้างหรือเปล่าคะ”
พยาบาลพูดว่า “เขาเพิ่งโทรมาเมื่อวานนี้ เขาถามเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและสุขภาพของชายชรา เขามีความสุขมากที่ได้ยินว่าชายชรามีความสุขดี และเขาก็ยังฝากฉันมาขอบคุณคุณด้วย”
เมื่อซูเถาได้ยินสิ่งนี้ก็ไม่ถามคำถามใด ๆ อีก กู้หมิงฉืออาจจะไม่บอกพยาบาลเกี่ยวกับที่อยู่ของเขา
ช่างมันเถอะ ปล่อยให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ
บังเอิญว่าเธอมีเรื่องจะคุยกับผู้อาวุโสเหม่ย เธอจึงลงไปที่ห้องของเขา ทันทีที่เข้าประตูเธอก็ได้ยินเสียงโกรธของชายชรากู้
“โจมตี!”
หลิวพ่านพ่านต้อนรับซูเถาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม จากนั้นซูเถาก็กล่าวทักทายชายชราทั้งสอง
ชายชรากู้ไม่รู้จักซูเถาอีกต่อไป
เขายังคงถือตัวหมากรุกอยู่ในอากาศ เฝ้าดูซูเถา และพยายามนึกอยู่พักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็พูดกับผู้อาวุโสเหม่ยว่า
“ฮ่าฮ่า เป็นหลานสาวตัวน้อยของคุณใช่ไหม! ผมมีความทรงจำที่ดีทีเดียว”
ผู้อาวุโสเหม่ยยิ้มและตอบว่าใช่
หลังจากที่ชายชรากู้พูดจบเขาก็ตำหนิว่า
“ผมก็มีหลานชายเหมือนกัน แต่ไอ้สารเลวนั่นไม่กลับมาหาผมเลย มาเพียงปีละครั้งเท่านั้น และเขาก็ไม่เคยโทรหาผม บอกผมหน่อยสิว่าอกตัญญูเกินไปหรือเปล่า ผมเลี้ยงเขามาหลายปีโดยเปล่าประโยชน์ ตอนเด็ก ๆ เมื่อเขาไปโรงเรียน ในฤดูหนาวมีหิมะตก ผมก็กลัวว่าตอนที่เขาลงจากรถจะลื่นหิมะที่อยู่ตามถนน เลยต้องอุ้มเขาลงจากรถ”
หลังจากพูดจบ ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงเจือด้วย
“เหลาเหม่ย คุณช่างโชคดีจริง ๆ หลานสาวคอยมาเยี่ยมเยียนคุณเป็นระยะ เธอรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่เหมือนผมที่โดดเดี่ยว ผมเดาว่าเจ้าเปี๊ยกคงกลับดูผมตอนเคลื่อนย้ายร่างเมื่อผมตาย”
ทุกคนมองหน้ากันแล้วถอนหายใจในใจ
ผู้อาวุโสเหม่ยเศร้ามากขึ้น และรู้สึกเสียใจกับเพื่อนคนนี้ของเขา
เห็นได้ชัดว่าหลานรักของเขาเพิ่งโทรหาเมื่อวานนี้เพื่อถามเกี่ยวกับสุขภาพของเขา และเขาก็ด่าผ่านทางโทรศัพท์เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง อีกฝ่ายก็ฟังอย่างเงียบ ๆ จนเขาเบื่อที่จะสาปแช่ง
เมื่อเห็นว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด ซูเถาก็รีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา และส่งแผนที่พื้นที่สีแดงรอบ ๆ เถาหยางให้ผู้อาวุโสเหม่ย โดยขอให้เขาช่วยวางแผนทิศทางการขยายตัวของเถาหยางในอนาคต
นอกจากนี้ยังขอข้อแนะนำสำหรับฝ่ายบริหารบางข้อ
ชายชรากู้ที่ยังคงเศร้าในตอนแรก จู่ ๆ ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนคนละคนหลังจากฟังคำพูดของซูเถา พูดด้วยความมุ่งมั่นเต็มเปี่ยม
“ไม่ เธอไม่ควรเลียนแบบรูปแบบการจัดการขององค์กร แต่ควรเลียนแบบการจัดการระดับชาติและจัดตั้งแผนกการทำงานต่าง ๆ คุณยังมีคนจำนวนน้อย ก่อนอื่นให้สร้างแผนกทรัพยากรบุคคลและแผนกประกันสังคมก่อน การประกอบธุรกิจน่ะ…”
ซูเถาตกตะลึงกับคำตอบที่เธอได้รับ
เธอรีบนั่งลงทันทีเพื่อฟังการบรรยายของเขา
เธอนั่งฟังจนฟ้ามืด ชายชรากู้ก็หยุดพูดเช่นเดียวกันเนื่องจากเขารู้สึกเหนื่อย
พยาบาลได้ยินว่าชายชรากู้จัดชั้นเรียนฝึกอบรมการจัดการตลอดบ่าย เธอก็พูดกับซูเถา
“ก่อนวันสิ้นโลก ชายชราเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จมาก เขามักจะบรรยายเกี่ยวกับแนวคิดการจัดการไปทั่วประเทศ แม้ว่าเขาจะป่วย แต่เขาก็ไม่สูญเสียความรู้ความทรงจำส่วนนี้ เถ้าแก่ซูสามารถรับฟังได้ บางทีคุณอาจได้รับอะไรบางอย่างจากเขา”
ซูเถาพยักหน้าอย่างแรง “มันคุ้มค่าจริง ๆ ขอบคุณมากนะคะ”
ในอนาคต เธอวางแผนที่จะไปเยี่ยมชายชรากู้บ่อยขึ้น ไม่มีใครเข้าใจสิ่งนี้ได้ดีไปกว่าเขาจริง ๆ
จริง ๆ แล้วผู้อาวุโสเหม่ยรู้เรื่องการออกแบบและการจัดการโรงเรียนดีกว่า แต่เขาไม่เก่งด้านนี้
ซูเถาผู้ดูดซับความรู้ตลอดบ่าย เธอเพิ่งมาถึงห้องและกำลังจะแยกแยะประเด็นหลักที่ชายชรากู้อบรมในวันนี้ แต่แล้วเธอก็ได้รับโทรศัพท์จากหลานชายของเขา
[1] คางคกอยากกินเนื้อหงส์ หมายถึง คนที่ไม่ประมาณตนเอง ใฝ่ฝันหาสิ่งที่ไม่มีวันได้ครอบครอง