แม้เขาจะแยกข้าวสาลีกับข้าวหอมไม่ออก แต่เขาพอรู้เรื่องการคัดเมล็ดข้าวอยู่บ้าง
มันคือการเอาต้นข้าวมาฟาดลงพื้นไปเรื่อยๆ จนกว่าเมล็ดข้าวจะแยกออกจากฝัก ถ้าเอาออกไม่หมดก็ต้องคอยใช้มือมานั่งคัดแยกทีละเม็ด
ตอนเด็กเฝิงหลินเคยทำงานช่วยชาวนามาก่อน เพื่อแลกกับเงินปะติ๋วเดียว
สำหรับการแยกเมล็ดพืชที่ไม่ดีและเมล็ดพืชที่ดี เมล็ดพืชมักจะถูกทำให้แห้งก่อน จากนั้นจึงเลือกวันที่ลมแรงเพื่อยกเมล็ดพืช เมล็ดพืชที่ดีนั้นหนักกว่าและจะร่วงหล่นถึงพื้น เมล็ดพืชที่ไม่ดีนั้นเบากว่าและจะถูกลมพัดปลิวออกไป
หลังจากโขลกข้าวแล้ว ข้าวและแกลบจะแยกออกจากกัน
โดยหลักการแล้วรถเกี่ยวข้าวที่กู้เจียวว่านั้นเหมือนกับรถเกี่ยวข้าวที่สามารถแยกเมล็ดพืชที่ดีและเมล็ดพืชที่ไม่ดีได้ เช่นเดียวกับข้าวและแกลบ เมื่อมีเครื่องมือมาช่วยทุ่นแรง ก็จะทำให้ประหยัดแรงงานมากขึ้น อีกทั้งสะอาดกว่า และทั่วถึงกว่า
ตอนแรกอากรหลัวไม่เชื่อว่าของแบบนั้นจะมีประโยชน์ แต่หลังจากที่ได้เห็นกู้เจียวขุดรางน้ำและทำกังหันน้ำให้กับชาวบ้าน เขาก็เริ่มเชื่อมั่นในความสามารถของนาง
พอถึงเวลาพลบค่ำ เด็กหนุ่มทั้งสามก็กลับถึงเรือน
วันนี้เสี่ยวจิ้งคงหนังตากระตุกเกือบทั้งวันโดยไม่มีสาเหตุ พอกลับมาถึงบ้าน ได้เจอกับพี่เขยตัวแสบ เขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม!
เสี่ยวจิ้งคงเอาแต่จ้องเขม็งพี่เขยตัวแสบ
เอาละ ไม่ได้ผอมลงนี่นา
เจียวเจียวคงไม่มาเป็นห่วงอะไรเขาหรอก
จากนั้นเขาลากเซียวลิ่วหลังไปที่สวน และขอให้เขาช่วยเด็ดพุทราให้เขา
เซี่ยวลิ่วหลังเงยหน้ามองต้นไม้ พลางเอ่ย “นี่ก็ใกล้เดือนเก้าแล้ว มีพุทราที่ไหนล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงพยายามสังเกตส่วนสูงของพี่เขยตัวแสบ แต่ก่อนเซียวลิ่วหลังสูงแค่กิ่งไม้แรกของต้นไม้เท่านั้น แต่ตอนนี้พอมาดูอีกที ความสูงของเขาเลยกิ่งไม้กิ่งนั้นไปแล้ว!
พี่เขยตัวแสบตัวสูงขึ้นสินะ!
ว่ากันตามจริงแล้ว ทุกคนที่นี่ตัวสูงขึ้นกันหมด
จะเว้นก็แต่หญิงชราที่ส่วนสูงไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
เจียวเจียวเคยบอกเขาว่าเพราะเขายังเด็กเกินไป เลยยังไม่สูงขึ้นสักที
แต่ว่า ดูสิ แม้แต่หมาน้อยยังตัวโตกว่าเขาอีก!
เสี่ยวจิ้งคงเริ่มทำหน้าไม่พอใจ!
“เป็นอะไรไปรึ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยถาม
“เฮ้อ ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องพูดเรื่องของข้าหรอก” หลังจากถอนหายใจอย่างหมดอาลัยตายอยาก เสี่ยวจิ้งคงก็เงยหน้าขึ้นจ้องที่เซียวลิ่วหลัง “พูดเรื่องของเจ้าดีกว่า! การสอบครั้งนี้ เป็นไงบ้างล่ะ ข้อสอบยากไหม เจ้าทำได้ไหม ถ้าสอบไม่ผ่าน พวกเขาต้องเจ้าเรียนเพิ่มอีกสามปีเชียวนะ!”
เซียวลิ่วหลังไม่นึกไม่ฝันว่าเหนือเจ้าสำนักหลี ยังมีเณรน้อยนี่อีก…
ท่าทีแบบนี้มันคืออะไรกันนะ
“เจ้ารู้ด้วยรึว่าต้องรออีกสามปี” เซียวลิ่วหลังกึ่งยิ้มกึ่งโกรธพลางเขกกะโหลกเณรน้อยเบาๆ หนึ่งที แล้วยื่นพุทราให้เขา “อะ เอาไปเล่นไป”
เสี่ยวจิ้งคงมองพุทราแห้งผาดที่อยู่ในมือ จากนั้นเบะปาก
ใครจะเล่นของพรรค์นี้กัน ทำเป็นเด็กน้อยไปได้!
เซียวลิ่วหลังมีของฝากมาให้ทุกคน ของฝากของหญิงชราคือขนมหม่าถังและถั่วกรอบ
หญิงชราชอบของฝากนี้มาก!
กู้เจียวยึดขนมหม่าถัง ส่วนถั่วกรอบนั้น นางให้หญิงชรากินได้แค่วันละชิ้นเท่านั้น
หญิงชราไม่พอใจ!
ส่วนของกู้เหยี่ยนนั้นเป็นหินหมึกหยกทรงกลม เซียวลิ่วหลังรู้ว่าเขาชอบของกลมๆ โดยเฉพาะของที่ทำจากหยก
“ขอบคุณพี่เขยเป็นอย่างยิ่ง” กู้เหยี่ยนเอ่ย
ส่วนของเสี่ยวจิ้งคงนั้น เขาได้ของเล่นที่ทำจากลวดไป
จิ้งคงรับมาด้วยความดีใจ แม้ปากจะบ่นว่า “อะไรกันเนี่ย เด็กน้อยชะมัด” แต่พอได้ของมาก็รีบอุ้มเข้าไปในห้องแล้วเปิดเล่นในทันใด!
ส่วนกู้เสี่ยวซุ่นได้รับวัสดุแกะสลักไม้คุณภาพสูงมาสองสามชิ้น เซียวลิ่วหลังรู้ว่าเขามีอุปกรณ์พร้อมทุกอย่าง จะขาดก็แค้ไม้คุณภาพดีๆ ไว้ให้เขาได้แสดงฝีมือก็เท่านั้น
“พี่เขย นี่คือไม้อะไรรึ ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน!” กู้เสี่ยวซุ่นคว้าท่อนไม้แล้วยกขึ้นมาเอ่ยถามพี่เขย
“ไม้อูน่ะ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบ
ไม้อูไม่ได้เป็นของจากแคว้นเจาแต่อย่าใด แต่ถูกส่งทอดมาจากตระกูลเฉิน ที่เขาได้มาเป็นเพราะระหว่างทางพวกเขาโชคดีที่ได้เจอกลุ่มคนแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
พวกเขาพอใจกับของขวัญมาก
และแล้วก็มาถึงคราวของกู้เจียว
กู้เจียวนึกในใจว่าไม่อยากให้เขาซื้อพู่กันให้นางอีก และเขาก็ไม่ได้ซื้อพู่กันให้นางจริงๆ แต่กลับซื้อกระดาษมาให้นางใช้
กู้เจียว “……”
เซี่ยวลิ่วหลัง “…”
กระดาษที่ว่าไม่ใช่กระดาษธรรมดาทั่วไป แต่เป็นกระดาษที่มีราคาแพง พอกระทบแสงก็เกิดลายบนกระดาษขึ้น บางคนก็เรียกกระดาษแบบนี้ว่ากระดาษลาย
งานฝีมือของกระดาษลวดลายมีความซับซ้อนและมีราคาแพง หาซื้อได้แค่เฉพาะในเมืองหลวงเท่านั้น
ในแคว้นเจา การส่งกระดาษที่มีลวยลายก็เท่ากับการมอบดอกไม้ให้กัน
รอยยิ้มของกู้เจียวเริ่มปรากฏบนใบหน้า
หญิงชราที่เพิ่งโดนยึดขนมไปเมื่อเห็นดังนั้นก็พยายามเบือนหน้าไปทางอื่น
นี่แหละหนอ ความเอาใจใส่ของลิ่วหลังเขา!
…
เฝิงหลินเองก็มีของมาฝากเช่นกัน ตั้งแต่เนื้อลาย่าง เหล้าเตาจื่อ ซื้อเป็นเหล้าที่เจ้าของร้านยกให้เขา
กู้เจียวไม่เคยดื่มเหล้าโบราณมาก่อน พอดมดูแล้ว กลิ่มไม่ได้แรงขนาดนั้น นางจึงขอชิมสักสองอึก พอตกตอนค่ำ หลังทานข้าวเสร็จ นางก็รีบหยิบเหล้าอันนั้นออกมา
เซียวลิ่วหลังเดินออกไปส่งเฝิงหลินที่หน้าหมู่บ้าน จากนั้นก็กลับมาอาบน้ำให้จิ้งคง พอเขาจะเดินเข้าไปหากู้เจียวที่ห้องครัว ก็พบว่านางโยนชามที่ล้างแล้วครึ่งหนึ่งลงในหม้อ และลงไปนั่งคนเดียวที่ประตูด้านหลังเรือน
นางนั่งหันหลังให้เขา เงยหน้ามองฟ้าเป็นพักๆ ไป
“เจ้าดูอะไรอยู่รึ” เซียวลิ่วหลังเดินออกมาถามนาง
กู้เจียวค่อยๆ หันศีรษะไปทางต้นเสียงด้วยใบหน้าที่ทั้งดูว่างเปล่าและบูดบึ้งเล็กน้อย แก้มของนางเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตนั่นแฝงไปด้วยหยดน้ำสะท้อนกับแสงราวกับเม็ดเพชร
ท่าทางของนางแตกต่างจากปกติที่มักจะดูเย็นชา แต่กู้เจียวในตอนนี้ราวกับว่ากำลังกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
“ดูดาวอย่างไรเล่า”
นางเอ่ย
เสียงของนางทั้งอ่อนโยนทั้งฟังดูขี้เล่นในคราวเดียวกันราวเด็กสาวแรกแย้ม
“กลับห้องเถอะ ฟ้ามืดแล้ว” เซียวลิ่วหลังสูดปาก พยายามตั้งสติแล้วเอ่ยกับนาง
“ไม่กลับ” นางส่ายหัวแล้วเบะปาก
ใช่เลย เหมือนกับเสี่ยวจิ้งคงไม่มีผิด
ดื่มเหล้าจนแทบจะกลายร่างเป็นเด็กสามขวบไปเสียแล้ว
กู้เจียวเงยหน้ามองดาวบนฟ้าต่อ
“ลิ่วหลัง”