ตอนที่ 213 ทะลวงระดับ (1)
จวินอู๋เสียเก็บสายตาของนางกลับมา “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนไป ในเมื่อข้าตัดสินใจแล้วว่าจะให้บทเรียนแก่มั่วเฉี่ยนยวน ย่อมต้องเก็บพวกมันไว้นานหน่อย เขาจะได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกสักนิด”
จงใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์สูงสุด นางไม่มีเวลามากพอมานั่งสั่งสอนฮ่องเต้ทีละอย่างๆ หรอกนะ
จวินอู๋เย่าเลิกคิ้วขึ้นขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดขัดอะไร
“กลับกันก่อน” จวินอู๋เสียพูด เมื่อมองดูท่าทางโอหังของคนของสำนักชิงอวิ๋น เกรงว่าความสงบสุขในสุสานหลวงและสุสานสกุลจวินจะถูกทำลายลงในไม่ช้านี้
ในวันนั้นนางได้ขอให้มั่วเฉี่ยนยวนหาศพของนักโทษประหารไปฝังไว้ในสุสานหลวงแทนที่ร่างของอดีตฮ่องเต้แล้ว จึงไม่กังวลมากนักว่าสำนักชิงอวิ๋นจะค้นพบว่าอดีตฮ่องเต้ตัวจริงยังไม่ตาย
เมื่อกลับมาถึงจวนหลินอ๋อง จวินอู๋เสียก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นางเดินไปที่อ่างบัวที่ตอนนี้ดอกบัวกำลังเบ่งบานได้ที่ กลิ่นหอมของดอกบัวโชยออกมาจากอ่างบัวพร้อมกับกลิ่นของสุรา บังเกิดเป็นกลิ่นใหม่ที่ยากจะบรรยาย ทั้งหวานหอมและชวนให้ดึงดูดใจนัก เพราะวิธีการเพาะบ่มพลังวิญญาณของจวินอู๋เสียช่างง่ายดายเหลือเกิน เพียงสูดดมกลิ่นหอมๆ นี้เข้าไป พลังวิญญาณในร่างกายของนางก็จะค่อยๆ สะสม แล้วเข้าไปเติมเต็มเส้นลมปราณทั้งแปดในร่าง อย่างไรก็ตามในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ การเติบโตของพลังวิญญาณดูเหมือนจะหยุดชะงักลง ไม่มีความคืบหน้ามาหลายวันแล้ว
“ใกล้จะทะลวงระดับแล้วหรือเปล่านะ” จวินอู๋เสียก้มมองดูแสงสีแดงที่ควบแน่นอยู่บนฝ่ามือของตัวเองในขณะนี้ แต่นางยังไม่รู้วิธีการใช้พลังวิญญาณต่อสู้เลย
จวินอู๋เย่าที่นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวข้างๆ ขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถเป็นนั่งไขว่ห้าง เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง จึงทำให้ทันเห็นได้ใบหน้าเล็กๆ ที่จริงจังของจวินอู๋เสียได้อย่างทันท่วงที
นับตั้งแต่ที่จวินอู๋เสียเริ่มเรียกเขาว่า ‘พี่ชาย’ เวลาที่ทั้งสองคนพบหน้ากันก็มีท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อย่างน้อยๆ ในตอนนี้เมื่อจวินอู๋เสียกับจวินอู๋เย่าอยู่ในห้องเดียวกัน นางก็ไม่ได้ผลักไสไล่ส่งเขาหรือแสดงกิริยาต่อต้านเขาเหมือนอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว
“การบ่มเพาะวงแหวนภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นพิเศษมาก แม้พลังวิญญาณจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว แต่การทะลวงระดับพลังของมันก็ยากกว่าคนทั่วไปมากเช่นกัน” จวินอู๋เย่าเอ่ยเตือนเด็กน้อยที่ไม่ค่อยรู้ความของเขาด้วยความหวังดี
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นและมองไปที่จวินอู๋เย่าด้วยสีหน้างงงวย นางรู้สึกว่าตัวเองควรจะทะลวงระดับมาได้ระยะหนึ่งแล้ว แต่กลับยังไม่อาจข้ามผ่านคอขวดนั้นไปได้เสียที นางเคยเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับจวินชิงและหลงฉีด้วย ยังเข้าใจผิดคิดไปว่าตัวเองบ่มเพาะผิดวิธีเสียแล้ว
“ทะลวงระดับยากหรือ”
คนทั่วไปหลังจากบ่มเพาะมาสองสามปี เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะก้าวไปสู่ระดับต่อไป เพียงแค่สะสมพลังวิญญาณในขั้นสีนั้นๆ จนเริ่มอิ่มตัว จากนั้นก็ใช้เวลาอีกสักพักในการรวบรวมพลังวิญญาณเพื่อทะลวงคอขวดขึ้นไปในครั้งเดียว สำหรับคนคนหนึ่งที่มีพรสวรรค์ การจะเลื่อนระดับพลังจากขั้นสีแดงขึ้นไปเป็นสีส้มนั้นไม่ใช่เรื่องยากอันใด อย่างไรก็ตามสำหรับคนที่ไร้พรสวรรค์นั่นแหละคือปัญหาอย่างแท้จริง เพราะดีไม่ดีพลังวิญญาณของพวกเขาอาจจะหยุดนิ่ง ทำให้ไม่อาจเลื่อนระดับพลังขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้อีก
จริงๆ แล้วคำว่าไร้พรสวรรค์หรือว่าพรสวรรค์ไม่เพียงพอ ล้วนแต่กล่าวอ้างถึงความแข็งแรงของเส้นเลือดและเส้นเอ็นหรือเส้นลมปราณในร่างกาย และความสามารถในการรองรับพลังวิญญาณของพวกมันว่ามีสูงพอหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพราะทั้งสองสิ่งนี้ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าของการฝึกฝน แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสะสมพลังวิญญาณอีกด้วย สำหรับคนที่ไร้พรสวรรค์ เนื่องมาจากเส้นลมปราณในร่างกายไม่แข็งแรงและรองรับพลังวิญญาณได้น้อย พลังที่ใช้สะสมสำหรับการทะลวงขั้นจึงไม่เพียงพอ พวกเขาจึงก้าวขึ้นไปในแต่ละขั้นได้ช้า
พลังวิญญาณของคนปกติจะพัฒนาอยู่ตลอดเวลาและสะสมมากขึ้นตามกาลเวลาและรูปแบบการบ่มเพาะ แต่กับคนที่มีพรสวรรค์เนื่องจากเส้นลมปราณของพวกเขาเหล่านั้นมีขนาดใหญ่กว่า แข็งแรงกว่า และสามารถเก็บสะสมพลังวิญญาณได้มากกว่า เส้นลมปราณดึงดูดซับพลังวิญญาณได้อย่างรวดเร็ว เป็นผลให้ทะลวงระดับขึ้นไปได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว แต่กับคนที่ขาดพรสวรรค์ ด้วยสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นล้วนด้อยกว่าคนธรรมดาเสียอีก พวกเขาจึงดูดซับพลังวิญญาณได้น้อยลง ทำให้การเพาะบ่มพลังวิญญาณช้าลง เส้นลมปราณก็ไม่อาจรองรับพลังวิญญาณที่ไหลเวียนได้ ความสามารถในการสะสมพลังวิญญาณสำหรับการทะลวงขั้นจึงน้อยมาก ความยากในการทะลวงระดับไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นจึงมากโข ด้วยลมปราณที่ดูดซับเข้ามาในร่างกายรั่วไหลออกไปทางอื่นนั่นเอง
แต่ร่างกายของจวินอู๋เสียเห็นได้ชัดว่าได้รับการฟื้นฟูอย่างระมัดระวังและเอาใจใส่ เส้นลมปราณเก่าในร่างกายสามารถพูดได้ว่าแทบจะฟื้นคืนสู่สภาพที่ดีที่สุดแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่พลังวิญญาณของนางจะรั่วไหลออกไป
จวินอู๋เย่ายิ้มและยกมือขึ้น ไอหมอกสีเข้มควบแน่นขึ้นที่ฝ่ามือของเขา หลังจากสะบัดมือครั้งหนึ่ง ไอหมอกสีดำนั้นก็บินไปทางจวินอู๋เสียแล้วลอยวนเวียนอยู่เหนือศีรษะของนางเป็นรูปวงกลม ก่อนจะกระจายตัวปกคลุมไปทั่วทั้งร่างกายของนาง
ตอนที่ 214 ทะลวงระดับ (2)
หมอกสีดำเข้มค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างของจวินอู๋เสียและจางหายไปอย่างช้าๆ เมื่อหมอกสีดำจางหายไปแล้ว รัศมีสีแดงจางๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนร่างกายของจวินอู๋เสีย แสงนั้นที่ส่องประกายออกมาจากร่างของนางผ่านผิวกายที่ขาวผ่อง ทำให้สามารถมองเห็นเส้นเลือดแดงภายใต้ผิวหนังได้อย่างชัดเจน
“พลังวิญญาณในร่างกายของเจ้าขึ้นมาถึงจุดสูงสุดแล้ว แต่การบ่มเพาะภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นต่างจากภูติวิญญาณประเภทอื่นๆ หากเจ้าต้องการทะลวงระดับ นอกเหนือจากพลังวิญญาณ ยังจำเป็นต้องใช้สิ่งอื่นที่ไม่ใช่พลังวิญญาณเข้าช่วยด้วย” จวินอู๋เย่าหรี่ตาลง
“มันคือสิ่งใด” จวินอู๋เสียถามด้วยความสงสัย
“วงแหวนภูติวิญญาณ”
“…”
“พลังวิญญาณของภูติวิญญาณประเภทพฤกษานั้นไม่มีขีดจำกัดในการเติบโต หรือก็คือมันเปรียบเสมือนพืชที่จะเติบโตไปได้เรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด แต่กลับขาดซึ่งแรงกดดันที่จะทำให้เจ้าฝ่าไปสู่ขั้นต่อไปได้ หากเจ้าต้องการเลื่อนระดับพลัง ก็มีแต่ต้องกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่น และใช้พลังของวงแหวนภูติวิญญาณตนนั้นเพื่อช่วยให้เจ้าเลื่อนระดับพลังขึ้นไป” จวินอู๋เย่ากล่าว
จวินอู๋เสียผงะไปครู่หนึ่ง “ข้าน่ะหรือ…กลืนกินภูติวิญญาณตนอื่น”
เรื่องแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อมากจริงๆ!
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดถึงไม่เคยมีภูติวิญญาณประเภทพฤกษาปรากฏตัวออกมาเลยแม้แต่ตนเดียว”
“เพราะเหตุใดกัน” จวินอู๋เสียสงสัยมาก นับตั้งแต่ที่นางกลับมาเกิดใหม่ นางไม่เคยได้ยินเรื่องภูติวิญญาณประเภทพฤกษามาตนที่สองก่อนเลย
อย่างน้อยจากความทรงจำที่ผ่านมาของร่างนี้ โลกนี้มีภูติวิญญาณที่ผูกพันธสัญญาเพียงสองประเภทเท่านั้นนั่นคือภูติวิญญาณประเภทอาวุธกับภูติวิญญาณประเภทสัตว์ร้าย เจ้าดอกบัวขาวน้อยเป็นภูติวิญญาณประเภทพฤกษาเพียงตนเดียวที่นางรู้จัก
จวินอู๋เย่ายิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ก่อนที่ภูติวิญญาณกับมนุษย์จะผูกพันธสัญญาเชื่อมต่อกันนั้น พวกมันจะเลือกคนที่มีจิตวิญญาณและร่างกายที่เหมาะสมก่อน ในโลกนี้มีคนที่สามารถดูดซับพลังของวงแหวนภูติวิญญาณได้ไม่มากนักหรอกนะ ดังนั้นภูติวิญญาณจำพวกพฤกษาจึงไม่เคยลงมาที่โลกเลย นานทีจะมีโผล่มาให้เห็นสักครั้ง แต่ก็เพราะมนุษย์ผู้ที่ผูกสัญญาด้วยบ่มเพาะไม่ได้ สุดท้ายจึงกลายเป็นกลายเป็นภูติวิญญาณที่ไร้ประโยชน์ไป มีหลายคนไม่ตัวรู้ด้วยซ้ำว่าภูติวิญญาณของพวกเขาตื่นขึ้นมาแล้ว หอบหิ้วเอาภูติวิญญาณประเภทพฤกษาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาไร้ค่าไปตลอดทั้งชีวิต”
มีประโยคหนึ่งที่เขาไม่ได้พูด นั่นคือ…
คำว่า ‘โลก’ ที่เปล่งออกมาจากปากเขานั้น เป็นเพียงสามโลกชั้นล่างเล็กๆ ที่จวินอู๋เสียอาศัยอยู่ตอนนี้เท่านั้น หาใช่โลกที่แท้จริงไม่
“แต่เจ้านั้นแตกต่างออกไป เจ้ามีกายาทวิวิญญาณ ในเมื่อเจ้าแมวดำตัวน้อยของเจ้าสามารถกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่นได้ เจ้าเองก็สามารถทำมันได้เหมือนกัน” จวินอู๋เย่าลุกขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจวินอู๋เสีย เมื่อคำพูดสุดท้ายของเขาจบลง เขาก็งอนิ้วชี้เคาะไปที่หน้าผากของจวินอู๋เสียเบาๆ
“หากเจ้าอยากจะทะลวงระดับ เช่นนั้นก็จงกลืนกินภูติวิญญาณเสีย”
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองไปที่ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มงามล่มเมืองของจวินอู๋เย่า
เขารู้…ว่านางกับเจ้าแมวดำตัวน้อยใช้วิญญาณดวงเดียวกัน!
“ยิ่งเจ้ากลืนกินภูติวิญญาณที่มีจิตสำนึกแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ เจ้าก็จะยิ่งมีโอกาสทะลวงขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้มากเท่านั้น อย่าได้ละทิ้งโอกาสนี้ไป ข้ามั่นใจเลยว่ามันจะให้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงกับเจ้าได้อย่างแน่นอน” จวินอู๋เย่าก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วใช้นิ้วหัวแม่มือของเขาแตะไปที่หว่างคิ้วแล้วค่อยๆ ลูบไล้ไปตามสันจมูกลงมาถึงคางเรียวบางของเด็กสาว ก่อนจะเชยหน้านางขึ้น สบตากับนางแล้วพูดว่า “แต่เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไป ในฐานะพี่ชายของเจ้า ข้าจะเตรียมทุกอย่างไว้ให้เจ้าเอง รวมไปถึงภูติวิญญาณตนแรกที่ใช้สำหรับทะลวงขั้นด้วย เจ้าแค่ดูดซับแล้วทำตามที่พี่ชายคนนี้บอกก็พอแล้ว”
กับมนุษย์ผู้ซึ่งทำพันธสัญญากับภูติวิญญาณประเภทพฤกษา ภูติวิญญาณตนแรกที่ใช้ดูดซับเพื่อเลื่อนระดับพลังนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งและจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้เป็นเจ้านายอย่างมาก ดังนั้นจึงต้องเลือกเฟ้นอย่างพิถีพิถันสักหน่อย จวินอู๋เย่าไม่อยากให้นางกลืนกินภูติวิญญาณที่ไร้ค่า
เสี่ยวเสียเอ๋อร์ของเขาต้องได้สิ่งที่ดีที่สุด!
“ข้าจะกลืนกินมันได้อย่างไร” จวินอู๋เสียไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย ครั้งก่อนก็เป็นเจ้าแมวดำตัวน้อยที่เป็นฝ่ายกลืนกินราชสีห์ทองคำยักษ์นั้นลงไป ไม่ใช่นาง เกี่ยวกับเรื่องการกลืนกินภูติวิญญาณตนอื่น คนอื่นๆ ไม่แม้แต่จะเคยได้ยินด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับนางที่ต้องมาลงมือทำด้วยตัวเอง
“ข้าจะสอนเจ้าเอง” จวินอู๋เย่ายกมุมปากขึ้นพร้อมกับพูดออกไป รอยยิ้มในดวงตาของเขาเข้มขึ้นเมื่อมองเห็นการแสดงออกที่ยุ่งเหยิงบนใบหน้าของเด็กน้อยของเขา