ตอนที่ 31 คำเชิญ
หิมะตกหนักตลอดคืน เหยียบก้าวหนึ่งก็จมลงไปมิดหัวเข่าได้
เด็กๆ ชื่นชอมหิมะ กระโดดโลดเต้นบนเตียงอย่างตื่นเต้นดีใจจนเฉียวเวยจับไว้ไม่อยู่
“ใส่เสื้อนวมตัวใหม่ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่” เฉียววั่งซูกะพริบดวงตากลมโตพลางเอ่ยถาม
เฉียวเวยลูบหัวนาง “ได้”
ชุดของจิ่งอวิ๋นเป็นเสื้อนวมกับกางเกงนวมสีฟ้า ส่วนของวั่งซูเป็นสีเขียว ทักษะการย้อมสีผ้าในตัวเมืองมีข้อจำกัด สีย้อมจึงไม่ชัดนัก แต่กลับขวางความหน้าตาดีของเด็กทั้งสองไม่ได้ พวกเขางดงามประหนึ่งเทพตัวน้อย
อาหารมื้อเช้าคือขนมซานเย่า[1]ไส้พุทรากวนกับบะหมี่ตุ๋นเนื้อแพะใส่หูหลัวปัวที่นางเพิ่งลองทำ เด็กๆ กินกันคำโต ร้อนจนเหงื่ออกทั่วตัว
เทียบกับก่อนหน้านี้ที่จะมักจะต้องทนหิวทนหนาว ชีวิตตอนนี้ดีงามขึ้นมากแล้วจริงๆ!
ทานอาหารเสร็จ เฉียวเวยก็ส่งลูกทั้งสองไปเรียนหนังสือ ส่วนตนเองเข้าเมืองไปขายขนม
หิมะตกหนักเหลือเกิน เฉียวเวยกลัวว่าเด็กๆ จะเหยียบจมหายลงไปในหิมะ นางจึงหาผ้านวมสองผืนมาอุ้มลูกทั้งสองคน บนหลังคนหนึ่ง ในอ้อมแขนอีกคนหนึ่ง ตรงแขนยังคล้องตะกร้าใบใหญ่ที่ใส่ขนมไว้จนเต็มอีกสองใบ เดินต๊อกๆ ลงจากเขา
จิ่งอวิ๋นกับวั่งซูตัวเล็กและผอมกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน แต่เมื่อรวมกันก็หนักสี่สิบชั่ง ร่างกายที่หนักไม่ถึงเก้าสิบชั่งของเฉียวเวยแบกเด็กสองคนความจริงแล้วกินแรงยิ่งนัก ไม่ต้องพูดถึงว่าในมือยังหิ้วตะกร้าขนมไว้อีกสองใบ ตอนที่เดินมาถึงบ้านของซิ่วไฉเฒ่า คนก็เกือบทรุด
ซิ่วไฉเฒ่ารีบแก้ห่อผ้าให้นางแล้วอุ้มเด็กๆ ลงมา จากนั้นเอ่ยอย่างปวดใจว่า “เจ้าลงจากเขาไม่ได้ก็บอกข้าสิ ข้าไปรับพวกเขาเอง!”
“จะรบกวนได้เช่นไร” เฉียวเวยหอบหายใจอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็ฟื้นกำลังกลับมาได้ แล้วเอ่ยกับซิ่วไฉเฒ่าว่า “เมื่อวานวั่งซูร้องไห้ทั้งวัน กระทบชั้นเรียนของท่าน ขออภัยด้วยจริงๆ”
ซิ่วไฉเฒ่าถลึงตาตอบว่า “ไม่เป็นอันใดหรอก! เด็กน้อยผู้นี้เป็นเด็กดียิ่งนัก! ยังเล็กอยู่ เด็กน้อยคนใดไม่ร้องไห้บ้างเล่า”
เห็นซิ่วไฉเฒ่าไม่รู้สึกขุ่นเคือง เฉียวเวยก็วางใจแล้วหันไปบอกบุตรสาวว่า “แม่เอาขนมไปส่งในเมืองเสร็จก็กลับมาแล้ว เจ้าฟังอาจารย์สอนให้ดี อยู่กับพี่ชาย เป็นเด็กดี เข้าใจหรือไม่”
เฉียววั่งซูพยักหน้า มองออกว่ายังอยากร้องไห้อยู่เล็กน้อยแต่อดกลั้นเอาไว้
เฉียวจิ่งอวิ๋นจับมือน้อยของนาง “ไม่ต้องกลัว พี่ชายอยู่กับเจ้า”
เฉียววั่งซูจึงขานตอบ “อืม”
เฉียวจิ่งอวิ๋นหันมาบอกมารดา “ท่านแม่ไปเถิด ประเดี๋ยวหิมะจะตกลงมาอีก”
เฉียวเวยยิ้มอย่างวางใจ “ถ้าเช่นนั้นแม่ฝากน้องสาวไว้กับเจ้าแล้ว เจ้าเป็นผู้กล้าตัวน้อยของบ้านเรา ต้องดูแลน้องสาวได้ดีแน่”
จิ่งอวิ๋นพยักหน้าอย่างหนักแน่น
เฉียวเวยเดินออกมาอย่างอาลัยอาวรณ์ ชาติก่อนไปทำงานตั้งหลายปีกลับไม่เคยมีความรู้สึกตัดใจทิ้งไม่ลงเช่นนี้ ปวดใจอยู่บ้างแต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความสุข
จิ่งอวิ๋นพูดถูกจริงๆ ถึงกลางทางหิมะก็โปรยปรายลงมาอีก รถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อไม่มีหลังคา นางหนาวแทบตาย เมื่อถึงโรงน้ำชาหรงจี้ นางจึงรีบสั่งชาร้อนสองถ้วยใหญ่ ให้ตาเฒ่าซวนจื่อถ้วยหนึ่ง
เถ้าแก่หรงยิ้มตาหยีนำเงินของสินค้าเมื่อวานมาให้นาง นางนับดู “เกินมาเจ็ดสิบอีแปะ”
เถ้าแก่หรงจึงบอกว่า “มีลูกค้าท่านหนึ่งกินแล้วชอบใจจึงให้รางวัลมาหนึ่งพวงเล็ก”
เงินหนึ่งพวงใหญ่คือหนึ่งพันอีแปะ พวงเล็กคือหนึ่งร้อยอีแปะ โรงน้ำชาหรงจี้หักไปสามสิบอีแปะจึงเหลือเจ็ดสิบอีแปะ ตอนแรกที่ตกลงค้าขาย เฉียวเวยไม่ทันคิดว่าคนโบราณก็ให้ทิปเป็นด้วย หากโรงน้ำชาหรงจี้อมเงินส่วนนี้ไว้เอง ความจริงนางก็คงไม่รู้
เฉียวเวยยิ้มละไม “เถ้าแก่หรงช่างเป็นคนซื่อตรง”
เถ้าแก่หรงตบหน้าอกเอ่ยว่า “แน่นอนสิ! เจ้าไม่เชื่อข้าก็ต้องเชื่อสายตาของตัวเจ้าเองสิ!”
เฉียวเวยหัวเราะพรืด แล้วส่งขนมที่ทำมาใหม่ให้แก่เถ้าแก่หรง
ที่นั่นมีลูกค้าประจำที่สั่งว่าจะเอาขนมของเสี่ยวเฉียวนั่งอยู่ก่อนแล้วไม่น้อย เถ้าแก่หรงจึงรีบให้ลูกน้องนำขนมไปแจกจ่ายให้บรรดาลูกค้า
เฉียวเวยเก็บตะกร้าเสร็จก็เตรียมตัวจะกลับ ทว่าเพิ่งมาถึงหน้าประตูก็พบสาวใช้ของจวนเอินปั๋วที่เคยมารับของก่อนหน้านี้ แม่นางน้อยผู้นี้แม้แต่พายุก็ขวางมิได้จริงๆ
“อ้าว ฮูหยิน! ข้ากำลังตามหาท่านอยู่เลย!” สาวใช้หัวเราะคิกคักเดินเข้ามาหา นางสวมเสื้อกั๊กสีชมพู เสื้อด้านในสีรากบัว กระโปรงคาดเอวสีขาว เรียกได้ว่าแต่งตัวงดงามแต่ก็ดูสบายอย่างยิ่ง
“เจ้าตามหาข้าหรือ” เฉียวเวยเอ่ยถาม
สาวใช้พยักหน้า “ข้าชื่อซิ่งจู๋”
เฉียวเวยเอ่ยทักทาย “แม่นางซิ่งจู๋”
ซิ่งจู๋ลากเฉียวเวยไปด้านข้างแล้วกระซิบ “เป็นเช่นนี้ฮูหยิน คุณหนูตระกูลข้าชอบขนมที่ท่านทำมาก จึงอยากลองถามว่าท่านสนใจจะมาทำงานที่เมืองหลวงหรือไม่”
เฉียวเวยมองนางเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “คุณหนูของเจ้าไม่ถือสาที่ข้าตบแม่นมของนางแล้วหรือ”
ซิ่งจู๋เกาคอ “ฮ่าๆ ขอไม่ปิดบัง คุณหนูของข้ายังไม่รู้ว่าท่านเป็นคนทำ แต่นางไม่จำเป็นต้องรู้ ท่านไม่จำเป็นต้องพบหน้านาง นางคงไม่มาที่ห้องครัว”
เฉียวเวยเข้าใจแล้ว สาวน้อยผู้นี้คงจะปิดบังคุณหนูของนางมาตลอดสินะ ช่างขวัญกล้าจริงๆ “เจ้าหมายความว่าคุณหนูของเจ้าคิดจะเชิญข้าไปเป็นแม่ครัวจวนเอินปั๋วหรือ”
ซิ่งจู๋พยักหน้า ดวงตาเป็นประกาย “เบี้ยรายเดือนของจวนเอินปั๋วเยอะมาก! แล้วท่านยังเป็นคนที่คุณหนูใหญ่เลือกด้วยตนเอง คุณหนูใหญ่บอกว่าเบี้ยรายเดือนแล้วแต่ท่านจะเรียก แน่นอนว่าท่านอย่าอ้าปากเรียกหมื่นตำลึงทองจำนวนตกใจเช่นนั้นก็แล้วกัน”
พูดถึงท่อนสุดท้าย ซิ่วจู๋ก็ยิ้มเขิน
เฉียวเวยเอ่ยเสียงเรียบเฉย “บอกคุณหนูของพวกเจ้าว่าข้าไม่สนใจรับใช้คนสูงศักดิ์เหล่านั้น อยากกินขนมของข้าก็มาซื้อที่เมือง”
ซิ่งจู๋ร้อนรนแล้ว “แต่…ฮูหยิน ท่านขายขนมเพิ่งหาเงินได้ไม่กี่อีแปะ ท่านมีลูกสองคนต้องเลี้ยงไม่ใช่หรือ เดือนหนึ่งท่านยังหาไม่ได้ถึงสิบตำลึงเลยกระมัง แต่คุณหนูให้เบี้ยรายเดือนท่านได้สูงถึงขนาดนั้นเชียวนะ”
สิบตำลึงต่อหนึ่งเดือน เป็นค่าจ้างที่ราคาสูงจริงๆ แต่นั่นแล้วอย่างไร นางจะต้องไปเป็นทาสรับใช้ผู้อื่นเพียงเพื่อเงินเท่านี้หรือ วันหน้าหากผู้คนพูดถึงลูกของนางก็จะเรียกว่าลูกขี้ข้าใช่หรือไม่
“มารดาของเจ้าทำงานอะไร”
“มารดาข้าเป็นทาสรับใช้ของจวนเอินปั๋ว”
สถานการณ์เช่นนี้ เพียงนางจินตนาการก็อึดอัดไปทั้งร่าง
นางมองซิ่งจู๋ “แม่นางซิ่งจู๋ ข้ารู้ว่าเจ้าเจตนาดี แต่ข้าไม่สนใจจริงๆ ข้าเพียงอยากค้าขายเล็กน้อยด้วยตนเอง”
ซิ่งจู๋ร้อนใจจนกระทืบเท้า “จวนเอินปั๋วดีมากจริงๆ นะ! ท่านไม่รู้ คุณหนูของเราหมั้นหมายกับใต้เท้าอัครมหาเสนบดี วันหน้าจวนเอินปั๋วก็จะเป็นญาติกับจวนอัครมหาเสนาบดี ผู้คนมากเท่าไรแย่งกันเลือดตาแทบกระเด็นอยากมาทำงานนี้ ท่านลองคิดดูหน่อยเถอะ! อีกอย่าง…อีกอย่างหากท่านทำได้ดี เมื่อคุณหนูของเราแต่งงาน อนุญาตให้ท่านติดตามไปด้วย ท่านก็จะได้ไปจวนอัครมหาเสนาบดีเชียวนะ!”
เฉียวเวยตอบว่า “ไปจวนอัครมหาเสนาบดีก็ยังเป็นแม่ครัวมิใช่หรือ ไม่ได้เป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดีเสียหน่อย มีอะไรให้น่าคิดกัน”
“ท่าน หญิงชาวบ้านคนหนึ่ง พูดจาวางโตเช่นนี้ได้อย่างไร” ซิ่งจู๋พึมพำ
เฉียวเวยยิ้มละไม “หญิงชาวบ้านแล้วอย่างไร หญิงชาวบ้านสมควรวิ่งรี่ไปเป็นทาสรับใช้ผู้อื่นหรือ กลับไปบอกคุณหนูของเจ้า ‘บุญคุณ’ เช่นนี้ ข้าไม่มีบุญวาสนารับ นางยกให้คนอื่นเสียเถิด”
[1] ซานเย่า สมุนไพรจีน วงศ์เดียวกับพืชจำพวกกลอย