ตอนที่ 79-1 อุบายของพี่ซิว
ยิ่นอ๋องลากนางไปที่ตรอกด้านข้างแล้วเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในตะกร้าขยะเก่าๆ องครักษ์เงาของนายท่านหกเดินผ่านตรอกด้วยสีหน้าท่าทางเย็นชา

จนกระทั่งพวกเขาลับหายไปจากตรอกแล้ว ยิ่นอ๋องถึงได้เอามือออกจากปากของเฉียวเวย

เฉียวเวยถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองบุรุษที่จู่ๆ ก็โผล่มาช่วยนางอย่างโกรธเครือง ผ่านไปสักพักนางก็เหยียดยิ้ม “นายท่านหกมีความแค้นกับท่านมากเท่าใด ท่านถึงได้มาช่วยข้า”

ดวงตาของยิ่นอ๋องหรี่ลงเล็กน้อย “อย่าทำตัวเป็นสุนัขแว้งกัดคน ไม่รับรู้เจตนาดี”

เฉียวเวยยิ้ม “อ้อ ท่านเพิ่งช่วยข้า แต่เดี๋ยวเดียวก็มาด่าข้าเป็นสุนัข คงมิได้ช่วยข้าจากใจจริงล่ะสิ นายท่านหกขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษของท่านหรือแย่งฮูหยินของท่านเล่า ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ เหตุใดนายท่านหกจึงมิทราบว่าท่านเป็นคนตีสองหน้าเช่นนี้”

ยิ่นอ๋องกล่าวด้วยท่าทางเย็นชา “อย่าคิดว่าข้าช่วยเจ้าไว้ แล้วจะสามารถอวดดีต่อหน้าข้าได้!”

เฉียวเวยโต้อย่างขุ่นเคือง “ท่านเองก็อย่าคิดว่าท่านช่วยข้าไว้ครั้งหนึ่งแล้วข้าจะยกโทษให้กับสิ่งชั่วช้าที่ท่านทำ!”

ยิ่นอ๋องถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าหรือทำสิ่งชั่วช้า ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงบอกมาให้กระจ่าง”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เฉียวเวยสามารถเล่าได้มากมายนัก นางเหยียดยิ้ม “แรกสุดลูกน้องท่านเกือบทำข้าตาย ต่อมาท่านยังใส่ร้ายข้า ทำให้บุตรชายข้าขาดสอบเสินถงหนึ่งวิชา ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะท่าน บุตรชายข้าต้องพลาดสิ่งใด เขาต้องพลาดจากตำแหน่งจอหงวน หากเปลี่ยนเป็นบุตรชายท่านถูกทำร้ายจนกลายเป็นเช่นนี้ ท่านจะอภัยให้ข้าได้หรือไม่เล่า”

ยิ่นอ๋องพูดเสียงต่ำ “ครั้งที่เกือบถูกม้าเหยียบนั่น เจ้าทำตัวเป็นคนดียุ่งไม่เข้าเรื่องเอง!”

เฉียวเวยปรายตามองเขา “แปลว่าท่านยอมรับว่าครั้งที่สองท่านใส่ร้ายข้าจริงๆ สินะ”

ยิ่นอ๋องมิอาจโต้แย้ง ครั้งที่สองนั่นเขาตั้งใจปกป้องรองหัวหน้ากองผู้นั้นจริง แต่เขาไม่เคยคิดจะปล่อยให้นางไปรับโทษที่จวนเจ้าเมืองจริงๆ ต่อให้จีหมิงซิวไม่ปรากฏตัว เขาก็จะปล่อยนางไปกลางทางอยู่ดี

เฉียวเวยลุกขึ้นยืนและปัดฝุ่นตามตัว “เอาล่ะ ยิ่นอ๋อง ท่านจะทำสิ่งใดก็ทำไปเถิด มันไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแม้แต่น้อย ท่านคือท่านอ๋อง ข้าเป็นแค่หญิงชาวบ้านธรรมดา คงไม่ไปแก้แค้นท่านโดยไม่ประมาณกำลังตัวเอง แต่ข้าหวังว่าต่อไปท่านจะไม่มาหาเรื่องข้าอีก แล้วอย่าเอาข้าเป็นแพข้ามไปแก้แค้นศัตรูของท่าน ไม่ว่าท่านจะหน้าไหว้หลังหลอกกับผู้ใดก็ตาม ขืนกล้าลากข้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ต่อให้ข้าต้องแลกชีวิต ข้าก็จะกัดเนื้อท่านออกมาด้วย!”

สตรีไม่รู้จักชั่วดี!

เขาช่วยชีวิตนางจากนายท่านหก แต่นางกลับเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นอริกับนายท่านหก

นัยน์ตาของยิ่นอ๋องมืดครึ้ม

เฉียวเวยเห็นสีหน้าทั้งหมดของเขา นางเข้าใจว่าเขาอาจจะโกรธแต่แล้วอย่างไรเล่า เขาเองก็ทำนางโกรธตั้งหลายเรื่อง ทั้งเกือบเหยียบนางตาย โยนของให้นางราวกับนางเป็นขอทาน ใส่ร้ายนางอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ลูกชายของนางพลาดการสอบ เรื่องใดบ้างไม่สมควรจำฝังใจ ดังนั้นเขาอย่าได้นึกว่าการช่วยนางให้รอดพ้นจากอันตรายเพียงครั้งเดียวจะทำให้นางลืมเลือนความเจ็บแค้นทั้งหมด!

เฉียวเวยหยิบถุงเงินใบใหญ่ออกจากแขนเสื้อแล้วเปิดออก ไม่เลวนี่นา! ไม่ได้มีแต่เงิน ยังมีทองด้วย! อะฮ้า! คราวนี้รวยแล้วเรา!

เฉียวเวยขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ช่างเถิด ข้าจะเห็นแก่เงิน ไม่ไปฟ้องนายท่านหกเรื่องของท่าน ทุกคนต่างก็มีโชคชะตาของตนเอง หวังว่าจะไม่ได้พบกันอีก!”

อันที่จริงนางไม่กล้าไปฟ้องนายท่านหกหรอก นางเพิ่งรอดพ้นจากอันตรายมาได้ มีแต่คนสมองเลอะเลือนเท่านั้นถึงจะกลับเข้าไปในกับดักอีก

เมื่อเห็นนางฮัมเพลงเบาๆ พลางเขย่าถุงเงินเดินไปข้างหน้าอย่างสบายอารมณ์ แววตาดำมืดมิทราบความหมายก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของยิ่นอ๋อง

เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่

เมื่อเฉียวเวยกลับมาที่หรงจี้ นายท่านหกก็ออกไปแล้ว เถ้าแก่หรงพาคนงานออกตามหาเฉียวเวยทั่วท้องถนน พวกเขาตามหาแทบบ้าแต่ไม่พบแม้แต่เงาของนาง พอกลับมาถึงหรงจี้กลับเห็นเฉียวเวยนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่หลังโต๊ะคิดเงินอย่างปลอดภัย

ท่าทางสงบผ่อนคลายนั่นทำให้เถ้าแก่หรงถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ในขณะเดียวกันเขาก็อยากจับนางไปแขวนแล้วตีให้น่วมจริงๆ เลยเชียว!

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราตามหาเจ้าจนจะบ้าตาย!” เถ้าแก่หรงตะโกน

เฉียวเวยหรี่ตามยิ้มๆ “รู้สิ ข้าถึงได้รอพวกท่านกลับมาอยู่ตรงนี้ตลอดเลย”

เถ้าแก่หรงโกรธนางจนไม่มีแรงโกรธแล้ว จึงหันไปบอกทุกคนว่า “แยกย้ายกันเถอะ”

ทุกคนต่างก็แยกย้ายกลับไปทำงานของตน

เถ้าแก่หรงเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินไปนั่งตรงข้ามกับเฉียวเวย “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเจ้าถึงไปทะเลาะกับเขาได้”

เฉียวเวยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องให้เถ้าแก่หรงฟัง โดยไม่ข้ามแม้แต่รายละเอียดเพียงเล็กน้อย รวมถึงเรื่องที่ตนเองเล่นงานเขา เถ้าแก่หรงฟังจบก็โกรธจัด “เจ้าบัดซบผู้นั้น! มาก่อเรื่องในหรงจี้ของข้า! หากรู้แต่แรกข้าคงไม่ปล่อยเขาเดินออกไป!”

จู่ๆ เฉียวเวยก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อเห็นเถ้าแก่หรงโกรธจนพองขนเช่นนี้ นางหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “เขาเป็นคนที่แม้แต่ยิ่นอ๋องยังต้องประจบประแจง ท่านไม่กลัวว่าข้าจะทำให้กิจการของท่านลำบากหรือ”

นางไปพบนายท่านหกในนามแม่ครัวของหรงจี้ หากนายท่านหกต้องการแก้แค้นนางจริงแต่หานางไม่พบ ไม่แน่ว่าเขาอาจระบายโทสะกับหรงจี้ก็เป็นได้

เถ้าแก่หรงส่งเสียงฮึดฮัด หยิบเมล็ดแตงขึ้นมาแล้วตอบอย่างไม่ยี่หระ “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าก็มีคนหนุนหลังเช่นกัน”

มีคนหนุนหลังจริงๆ ด้วยสินะ ครั้งก่อนตอนพรรคพวกของอู๋ต้าจินมาหาเรื่องนางแล้วเขาจะชักชวนนางมาค้าขายกับหรงจี้ เขาก็เคยพูดทำนองนี้ ตอนนั้นนางคิดว่าเขาเพียงพูดส่งเดชไปอย่างนั้นเอง

เฉียวเวยไม่ได้ถามว่าใครอยู่เบื้องหลังเขา บางครั้งการรู้มากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี

“เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว เรามาคุยเรื่องสำคัญกันดีกว่า” เฉียวเวยวางเมล็ดแตงที่ยังกินไม่หมดไว้บนโต๊ะ

เถ้าแก่หรงถ่มปลือกเมล็ดแตง “เรื่องสำคัญอะไรหรือ”

เฉียวเวยยิ้ม “ท่านคิดว่าเต้าหู้เหม็นเป็นอย่างไรบ้าง ต้องการขายหรือไม่”

เถ้าแก่หรงตอบอย่างไม่ลังเล “อยากขายแน่นอน! ข้าตัดสินใจแล้ว ต่อไปโต๊ะพิเศษของหรงจี้ จะเปลี่ยนจากเต้าหู้ยำไข่เยี่ยวม้าเป็นเต้าหู้เหม็นทอด นำไข่เยี่ยวม้ากับแตงกวามาทำน้ำแกง”

เฉียวเวยเอานิ้วเคาะโต๊ะ “ดูเหมือนว่าอาหารที่ท่านพูดนั้นแต่ละอย่างนั่น ข้าเป็นคนสอนท่านนะ ท่านจะไม่ตอบแทนข้าหน่อยหรือ”

“ตอบแทนเช่นไร เจ้าคงมิได้ต้องการให้ข้าตอบแทนเจ้าด้วยเรือนร่างของข้ากระมัง” สีหน้าของเถ้าแก่หรงเคร่งเครียดขึ้นมาทันควัน “ข้ามีครอบครัวแล้ว!”

เฉียวเวยพ่นลมหายใจ “ข้าก็มีลูกแล้ว! ผู้ใดสนใจท่อนเนื้อหนักสองเหลี่ยงในเป้ากางเกงของท่านกัน!”

เถ้าแก่หรงหนีบขาแน่น กุมเถ้าแก่หรงน้อยของตน!

เฉียวเวยเบะปากด้วยความรังเกียจ นางมิได้จะต่อว่าเถ้าแก่หรง แต่เถ้าแก่หรงมิใช่บุรุษประเภทที่นางชอบ นางชอบบุรุษรูปร่างดี ยามใส่เสื้อผ้าแลดูผอมเพรียว ยามถอดเสื้อผ้ามองเห็นมัดกล้ามเนื้อ เถ้าแก่หรงผู้ตัวเล็กแต่อ้วนท้วนสมบูรณ์นี่น่ะ…ขอผ่านดีกว่า

“แล้วเจ้าต้องการสิ่งใดเล่า” เถ้าแก่หรงถามอย่างจริงจัง!

เฉียวเวยยิ้ม “ข้าก็ออกความคิดดีๆ ช่วยท่านอยู่หลายครั้ง ท่านจะเอาไปใช้โดยไม่จ่ายอะไรเลยจริงหรือ ท่านคิดดูสิ หลังจากข้าส่งขนมกับไข่เยี่ยวม้าให้ท่าน กิจการของหรงจี้ดีขึ้นตั้งเท่าไร แม้ไม่ถึงสี่หรือห้าส่วน แต่อย่างน้อยที่สุดสองส่วนก็ถึงกระมัง ตอนนี้ยังมีเต้าหู้เหม็นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง หรงจี้…ต้องมีลูกค้ามาเยือนจนร้านแทบแตกแน่”

เถ้าแก่หรงสูดจมูกอย่างใจฝ่อ “เราเป็นสหายกันมิใช่หรือ อาหารเพียงชนิดสองชนิด เจ้าจะคิดหยุมหยิมกับข้าอีกหรือ แล้วอีกอย่างข้าก็ไม่เคยปฏิบัติไม่ดีต่อเจ้า ของที่ขายได้ล้วนแบ่งกำไรกันสามส่วนกับเจ็ดส่วน ไข่เยี่ยวม้ายังจ่ายค่าของขั้นต้นให้เจ้าก่อนอีกต่างหาก นอกจากข้า ก็ไม่มีผู้ใดยอมเสียกำไรให้เท่านี้อีกแล้ว!”

เฉียวเวยพยักหน้า “ที่ท่านพูดก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ช่างเถิดคุยเรื่องเงินทองทำลายมิตรภาพ”

“ถูกต้อง!” เถ้าแก่หรงยิ้ม

เฉียวเวยหยิบเมล็ดแตงบนโต๊ะขึ้นมาแทะ แล้วพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ถึงอย่างไรวิธีทำเต้าหู้เหม็นก็มีหลายวิธี มีทั้งเต้าหู้เหม็นขาว เต้าหู้เหม็นดำ ดูเหมือนว่าเต้าหู้เหม็นดำจะอร่อยกว่าเสียด้วย หากข้าไปตั้งแผงขายข้างนอก น่าจะขายได้ไม่เลว”

เถ้าแก่หรงลุกขึ้นทันที “มีเต้าหู้เหม็นดำด้วยหรือ”

เฉียวเวยตบไหล่เขา “รอข้าเปิดกิจการ อย่าลืมมาอุดหนุนนะเจ้าคะ”

“โธ่ๆ เสี่ยวเฉียว! เดี๋ยวก่อน เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อนสิ ชายังดื่มไม่หมด เหตุใดจึงรีบไปนักเล่า” เถ้าแก่หรงยิ้มละไมเชิญเฉียวเวยกลับมา “เรื่องเต้าหู้เหม็นดำที่เจ้าบอกเมื่อครู่ เป็นความจริงหรือ”

เฉียวเวยยิ้มหวาน “จริงหรือไม่ รอข้าทำออกมาก็ทราบแล้วมิใช่หรือ”

เถ้าแก่หรงวางสีหน้าเคร่งขรึม “เหตุใดเจ้าต้องไปเปลืองแรงปานนั้นด้วยเล่า ก็ทำที่ร้านข้าเสียเลยสิ!”

เฉียวเวยมองเขาอย่างขบขัน “ทำที่ร้านท่าน ให้พ่อครัวของท่านขโมยสูตรหรือไร”

เถ้าแก่หรงรู้สึกกระดากอายเล็กน้อยเมื่อโดนพูดจี้ใจดำ

เฉียวเวยจิ้มหน้าอกเขา “น้ำราดที่ข้าผัดวันนี้เป็นแบบที่รสชาติธรรมดาที่สุด ท่านรู้หรือไม่ว่าเต้าหู้เหม็นอร่อยตรงไหน ท่านคิดว่าเป็นที่เต้าหู้จริงๆ อย่างนั้นหรือ ความจริงอร่อยที่น้ำราดต่างหาก!”

เถ้าแก่หรงทำการค้ามาหลายปีแล้ว เขามองเห็นชัดเจนว่าเต้าหู้เหม็นมีลูกค้ามากมายรออยู่ในอนาคต ความนิยมของมันอาจไม่ด้อยไปกว่าไข่เยี่ยวม้า ถ้าตัวเสี่ยวเฉียวขายเองก็ไม่เป็นอะไรนักหรอก แต่ที่น่ากลัวก็คือเหลาสุราอื่นจะมาแย่งตัวนางไป ถ้าเช่นนั้นเขามิต้องมีคู่ต่อกรที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นหรอกหรือ อีกอย่างแม่สาวน้อยผู้นี้มีความคิดดีๆ มากมาย วันนี้คิดเรื่องเต้าหู้เหม็นได้ ไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะคิดอะไรได้อีก เขาจะผลักไสต้นเงินต้นทองที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไปให้ผู้อื่นได้เช่นไร

“ทุกเรื่องหารือกันได้ ข้าเป็นคนใจกว้างที่สุดอยู่แล้ว!” เขายิ้มอย่างกระดากอาย

เฉียวเวยชูนิ้วขึ้นมาสามนิ้ว

เถ้าแก่หรงเบิกตาโต “สามพันตำลึงหรือ”

“กำไรสามส่วน”

ที่รัก กำไรสามส่วนหรือ นั่นเป็นเงินตั้งเท่าใด กิจการของหรงจี้เป็นไปด้วยดีเช่นนี้ อย่าว่าแต่สามส่วนเลย เพียงหนึ่งส่วนก็พอให้สาวน้อยคนนี้ใช้ไปจนชั่วชีวิต! นางช่างกล้าต่อรองจริงๆ!

เฉียวเวยกล่าวต่ออย่างสุขุม “ท่านไม่จำเป็นต้องตอบข้าตอนนี้ รอให้ท่านได้ลิ้มรสเต้าหู้เหม็นตัวใหม่ค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย”

นางไม่กลัวว่าเถ้าแก่หรงจะไม่ตกลง นางมีช่องทางหารายได้มากมาย หากเขาไม่ตกลง นางก็ไปหาคนอื่นได้ ต้องมีคนยอมจ่ายราคาที่นางพอใจอยู่แล้ว หากไม่ไหวจริงๆ รอให้นางหาเงินทุนได้ครบก่อนค่อยไปเปิดร้านเองก็ได้!

ตอนนี้แทนที่จะบอกว่านางอ้อนวอนเถ้าแก่หรง มิสู้บอกว่านี่เป็นโอกาสดีครั้งใหญ่ที่เถ้าแก่หรงจับพลัดจับผลูได้มา

นางค่อยๆ หารายได้ทีละนิด เก็บออมทีละน้อยได้ แต่หากเถ้าแก่หรงพลาดโอกาสนี้ไป ร้านนี้ก็คงอยู่ไม่รอดแล้ว

เฉียวเวยขนกวางมาที่ตลาด วาทศิลป์ของนางทำให้ขายได้ถึงสามตำลึง เมื่อรวมกับเงินที่ขโมยนายท่านหกมาก็เกือบพอซื้อที่ดินแล้ว

นางนั่งรถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อเข้าเมืองมาทุกวัน หากวันไหนนางมิได้ซื้อสิ่งใด นางก็จะเดินกลับ วันนี้นางไม่ซื้ออะไร ซื้อแค่หมูสามชั้นหนึ่งชั่งกับเนื้อแพะหนึ่งชั่ง นางจึงเดินหิ้วเนื้อกลับหมู่บ้านอย่างสบายอกสบายใจ

หลังจากกลับมาที่หมู่บ้าน นางก็เดินตรงขึ้นไปบนภูเขา เมื่อนางเข้าใกล้เรือนก็เห็นเงาร่างหนึ่ง…

คงไม่ใช่คนที่นายท่านหกส่งมาหากระมัง

เหตุการณ์เช่นนี้ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้น ตอนนั้นอู๋ต้าจินก็เคยพาชายชุดดำคนหนึ่งเข้ามาลอบสังหารนางกลางดึกมิใช่หรือ

ช่างกล้าเสียจริง นี่กลางวันแสกๆ

เฉียวเวยสะบัดแขนข้างหนึ่ง มีดสั้นไถลเข้ามาอยู่ในมือของนาง จากนั้นนางจึงกลั้นหายใจย่องเข้าไปใกล้ร่างนั้นอย่างระมัดระวัง ทว่าจู่ๆ ร่างนั้นก็ขยับ!

นางเลิกคิ้วแล้วจ้วงมีดเข้าใส่ทันที!

ฝ่ามือใหญ่ทรงพลังคว้าข้อมือนางไว้ ดูเหมือนเป็นการกระทำที่อ่อนโยน ทว่าเรี่ยวแรงกลับมากมายจนมิอาจสลัดหลุด “ข้าเอง”

เมื่อเฉียวเวยเพ่งมองจนเห็นชัดก็ตกตะลึงทันที “คุณชายหมิงหรือ”

จีหมิงซิวมองมีดสั้นในมือนาง หากเขาตอบสนองช้ากว่านี้ มันคงแทงเข้าที่หน้าอกของเขาแล้ว เขายิ้มบางๆ “เจ้าทักทายแขกที่มาเยี่ยมบ้านด้วยวิธีนี้หรือ”

เฉียวเวยชักมือกลับแล้วเก็บมีดสั้นกลับเข้าฝัก “เหตุใดท่านจึงมาที่นี่”

จีหมิงซิวนั่งลงบนเก้าอี้ “ข้าทำให้เหล่าฮูหยินขุ่นเคืองจึงมาซื้อไข่เยี่ยวม้ากับเจ้า ท่านจะได้หายเคืองลงบ้าง”

“ทำอันใดให้ท่านขุ่นใจหรือ”

“เรื่องมันยาว”

เฉียวเวยไม่ได้ถามอันใดอีก นั่นเป็นเรื่องภายในครอบครัวของเขา ตนก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ไยต้องเค้นถามซักไซ้ด้วยเล่า นางนำเนื้อหมูกับเนื้อแพะเข้าไปเก็บในครัว เลือกโถหมักไข่เยี่ยวม้าที่ใกล้ได้ที่ออกมา พลางพูดว่า “ต้องรออีกสองวันถึงจะหมักได้ที่ ท่านเอาไปก่อนดีหรือไม่ วันมะรืนค่อยเปิดโถเอง”

“ได้”

จู่ๆ เสียงของเขาก็ดังขึ้นเหนือศีรษะ เฉียวเวยตกใจ คิดว่าเขาอยู่ในลานบ้านเสียอีก นึกไม่ถึงว่าเขาจะเดินตามหลังนางมาเงียบๆ!

เฉียวเวยนั่งยองๆ ส่วนเขายืนอยู่ ตัวเขาโน้มอยู่เหนือศีรษะของเฉียวเวยเล็กน้อย กลิ่นกายของบุรุษเพศอันเป็นเอกลักษณ์ของเขาค่อยๆ แตะจมูกเฉียวเวย มันเป็นกลิ่นหอมจางๆ ที่หอมยิ่งนัก

ขณะที่เขาโน้มตัวลงมา เส้นผมของเขาก็ตกลู่ลงมาอย่างนุ่มนวล เส้นผมปอยหนึ่งคลอเคลียข้างหูของเฉียวเวยแผ่วเบา รู้สึกจั๊กจี้คล้ายปลายนิ้วดั่งหยกของเขาปัดผ่าน มีสัมผัสเย็นๆ เกิดขึ้นวูบหนึ่ง

เฉียวเวยรู้สึกร้อนวูบวาบที่ใบหูอย่างอธิบายไม่ถูก นางกระแอมในลำคอ “ท่าน…ท่านหลีกไปหน่อย ข้าจะลุก”

จีหมิงซิวมองใบหูเล็กๆ ที่กำลังแดงเถือกของนาง เขายิ้มละไมแล้วยืดตัวขึ้นทันที

กลิ่นอายที่โอบล้อมรอบตัวนางหายไปแล้ว เฉียวเวยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก นางลุกขึ้นยืน แล้วยื่นโถให้เขาพร้อมกับบอกว่า “ไข่เยี่ยวม้าที่ข้าขายข้างนอก ล้างเปลือกด้านนอกและเคลือบด้วยขี้ผึ้งแล้ว มันจะช่วยให้เก็บไว้ได้นานขึ้น หากท่านทานไม่หมดภายในหนึ่งเดือนก็เคลือบขี้ผึ้งเพิ่มอีกชั้นจะดีที่สุด”

จีหมิงซิวจ้องนางนิ่งๆ ไม่ได้พูดสิ่งใดไปชั่วขณะ

เฉียวเวยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย นางวางโถไว้ในอ้อมแขนของเขาแล้วเตือนให้เขาถือไว้ เขารับโถไปจริงๆ ทว่ามิได้เดินออกไปทันที แต่วางโถไว้บนเตาด้านข้าง แล้วยกมืออีกข้างขึ้นมา นิ้วเรียวยาวดั่งหยกเชยคางของนางอย่างแผ่วเบา

ขนตาของเฉียวเวยกระพือไหว

จ้องมองอย่างเสน่หา เชยคางขึ้น นี่ นี่ นี่…นี่มันจังหวะก่อนจะที่จะ จะ…

ทว่าจีหมิงซิวกลับไม่ทำสิ่งใดต่อ เขาเพียงจับคางอันอ่อนนุ่มของนางไว้ ดวงตาของเขาลึกล้ำดุจทะเลสาบ

ขนตาของเฉียวเวยกระพือไหวไม่เป็นจังหวะ

อยากจูบท่านก็จูบ ถ้าไม่จูบท่านก็ปล่อย ยืนนิ่งอยู่อย่างนี้ คิดว่ากำลังถ่ายรูปอยู่หรือ!

ไม่รู้ว่าเพราะสัมผัสถึงความรีบร้อนของเฉียวเวยหรือไม่ จีหมิงซิวจึงหัวเราะเบาๆ เสียงหัวเราะนั่นทั้งทุ้มต่ำทั้งน่าหลงใหล ทำให้หัวใจของเฉียวเวยอ่อนระทวย เขาเอียงศีรษะ แล้วหลับตาลงอย่างแผ่วเบา ขยับเข้าไปชิดริมฝีปากของเฉียวเวย…

“ท่านแม่ พวกเรากลับมาแล้ว!”

เจ้าก้อนซาลาเปาน้อยวั่งซูวิ่งตึงตังเข้ามาในเรือน!

ทั้งสองคนตัวแข็งทื่อ เฉียวเวยรีบผลักจีหมิงซิวออกแล้วยกมือขึ้นถูพวงแก้มที่แดงระเรื่อ หลังจากนั้นจึงเดินออกมาจากห้องครัวราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

จีหมิงซิวยิ้มเมื่อนึกถึงท่าทางลืมตัวเมื่อครู่

เจ้าซาลาเปาน้อยทั้งสองเลิกเรียนแล้ว พวกเขาหิ้วถุงตำราหนักๆ เดินเข้ามาในเรือน จากนั้นวางห่อตำราไว้บนตั่งและเริ่มมองหามารดา

เฉียวเวยออกมาจากห้องครัว เจ้าซาลาเปาทั้งสองโผเข้าไปในอ้อมแขนของนางอย่างรวดเร็ว ดวงตากลมโตราวกับผลองุ่นดำจับจ้องนางไม่วางตา

นางขยี้ผมของพวกเขา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หิวแล้วหรือ”

ทั้งสองพยักหน้า

แม้ตอนเที่ยงจะกินไปเยอะ แต่ไม่นานก็หิวอีกแล้ว

เด็กๆ กำลังโต หิวเร็วและตะกละ คราวหน้าเอาขนมใส่ไปในห่อตำราให้พวกเขาสักหน่อยน่าจะดี จะได้ไม่หิวจนแย่

เฉียวเวยบอกอย่างอบอุ่น “แม่จะไปทำอาหารให้”

“เอ๋! ท่านลุงหมิง!” วั่งซูเหลือบเห็นจีหมิงซิวออกมาจากครัวก็ถลาเข้าไปหาอย่างว่องไว!

จีหมิงซิวอมยิ้มยกตัวเจ้าก้อนข้าวปั้นที่วิ่งเข้ามาในอ้อมแขนเขาโยนขึ้นไปบนอากาศ วั่งซูตะโกนด้วยความตื่นเต้น บ้านทั้งหลังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของนาง

จิ่งอวิ๋นเดินเข้ามาในห้องอย่างเงียบๆ เขาย้ายโต๊ะไม้ตัวเล็กออกมา จากนั้นขนม้านั่งน้อยสองตัวออกมาด้วย หนึ่งตัวสำหรับตัวเขา อีกตัวสำหรับน้องสาว

จีหมิงซิวมองเด็กตัวจ้อยที่เหงื่อแตกเต็มหน้าผากในอ้อมแขน “เหตุใดเจ้าถึงตัวหนักกว่าพี่ชายเจ้าเล่า”

ใบหน้าเล็กๆ ของวั่งซูแดงก่ำ “โธ่ เรื่องนั้นน่ะ เรื่องนั้นเป็นเพราะข้ากินเยอะอย่างไรเล่า!”

ลุงหมิงจำได้ด้วยว่าตัวเขาหนักเท่าไร จิ่งอวิ๋นดีใจมาก