บทที่ 163 ความดุดันของถังฮั่น

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

บทที่ 163 ความดุดันของถังฮั่น

“โห! อะไรกันเนี่ย!”

ต้วนเย่ว์ตะโกนขึ้นมาทันทีที่เดินเข้ามาในหอพัก “เห็นหรือเปล่า เมื่อกี้มีรถหรูตั้งหลายคันจอดอยู่ในมหา’ลัยเรา เดินมาก็เห็นไมบัคเซ็พเพอลีนรุ่นปี 2009 จอดอยู่คันแรกเลย! ไหนจะรถเบนซ์ บีเอ็มคันละล้านดอลลาร์อีก ขนลุกเลย”

พ่างจื่อเป็นคนสนใจเรื่องรถยนต์อยู่แล้ว พอได้ยินชื่อ ‘เซ็พเพอลีน’ เขาก็ดีดตัวขึ้นทันที “พระเจ้า คันนั้นราคาเฉียดยี่สิบล้านเลยนะโว้ย ที่มหา’ลัยมีงานอะไรเนี่ย”

ต้วนเย่ว์ส่ายหัวไปมา “ไม่รู้เหมือนกัน เห็นว่าเป็นคนที่ผอ.เชิญมาเป็นการส่วนตัวนะ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำอะไรที่นี่”

ไป๋เยี่ยเปิดโน้ตบุ๊กก่อนจะเอ่ยขึ้น “นี่น่าจะเป็นรถที่แพงที่สุดเท่าที่เคยเห็นที่มหา’ลัยเราละ!”

ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ทั้งสี่คนออกไปกินข้าวด้วยกัน ทว่าเมื่อลงไปชั้นล่างพวกเขาก็สังเกตเห็นป้ายแขวนอยู่ที่ด้านหน้ามหาวิทยาลัย

‘ขอแสดงความยินดีกับบริษัทเป่ยจิงน่าย่าและมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี สำหรับการบรรลุข้อตกลงในการร่วมมือกันจัดตั้งกองทุนการศึกษาและกองทุนสนับสนุนงานวิจัย’

ลู่เผยอี้อุทานขึ้น “ว้าว บริษัทน่าย่านี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงรวย!”

ทว่าไป๋เยี่ยและคนอื่นๆ กลับไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทน่าย่ามาก่อน จึงถามลู่เผยอี้

ลู่เผยอี้ตอบ “พวกนายคงไม่รู้จักสินะ ก่อนหน้านี้ฉันต้องทำการทดลองกับอาจารย์น่ะ บริษัทน่าย่าเป็นผู้เพาะพันธุ์สัตว์ทดลองหลายชนิด รวมถึงผลิตอาหารสัตว์แหละ…ว่ากันว่านี่คือบริษัทเพาะพันธุ์สัตว์ทดลองชั้นนำของประเทศที่มีมูลค่าการตลาดกว่าพันล้านหยวนแน่ะ!”

ทุกคนฟังแล้วก็เข้าใจ

ตอนนี้ทั้งสี่คนเห็นเหล่าผู้บริหารและเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัยกำลังพาชายในชุดสูทสีดำเดินดูรอบๆ มหาวิทยาลัย คล้ายกับว่ากำลังแนะนำบางอย่างอยู่

พ่างจื่อเม้มปาก “ต่อไปถ้าฉันรวย ฉันจะจัดตั้งกองทุนขึ้นมาบ้าง พวกผู้บริหารจะได้รับแขกฉันดีๆ แบบนี้บ้าง!”

ทั้งสามคนหัวเราะ แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันอาทิตย์ แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัยก็ยังคงมาทำงาน

ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาในมหาวิทยาลัย ทำเอาทั้งสี่คนอดสงสัยไม่ได้…

อย่างไรก็ตาม ปกติมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็ไม่ค่อยได้ร่วมมือกับบริษัทหรือองค์กรใดๆ อยู่แล้ว อาจกล่าวว่าขาดแคลนเลยก็ว่าได้

ในย่านมหาวิทยาลัยมีมหาวิทยาลัยกว่าสิบแห่ง ทั้งมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี วิทยาลัยถ่านหิน มหาวิทยาลัยนิเทศศาสตร์ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างมีความร่วมมือกับบริษัทต่างๆ ทั้งนั้น

มีการมอบทุนพัฒนาสถานศึกษาทุกปี ไม่ว่าจะผ่านการลงนามในสัญญาจ้างกับทางมหาวิทยาลัยหรือมอบทุนสนับสนุนงานวิจัย กระทั่งจัดหาทุนการศึกษาและทุนสนับสนุนอีกมากมายให้

มีเพียงมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีเท่านั้นที่ขาดแคลนความร่วมมือดังกล่าว แม้ว่าจะมีหลายบริษัทที่เข้ามายื่นข้อเสนอให้ก็ตาม

ดังนั้นเหล่านักศึกษาในมหาวิทยาลัยจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นเมื่อเห็นว่ามีบริษัทขนาดยักษ์ใหญ่มาร่วมมือกับมหาวิทยาลัยของตน

อย่างไรอัตราการจ้างงานของผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีนั้นค่อนข้างน้อยจนน่ากลัว คนส่วนใหญ่จึงยังคงเลือกที่จะเรียนต่อในระดับสูงกว่าปริญญาตรี

เมื่อทั้งสี่คนกลับมาจากการออกไปกินข้าวก็พบว่ามีป้ายขนาดใหญ่ติดอยู่หน้ามหาวิทยาลัย!

พร้อมด้วยฝูงชนที่ยืนมุงกันอยู่

เกิดอะไรขึ้น

ออกไปกินข้าวไม่ถึงสองชั่วโมง เกิดเรื่องอะไรขึ้นเนี่ย

ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่าบนป้ายนั้นมีประกาศเขียนอยู่

‘ประกาศ: วันอาทิตย์จะมีการบรรยายที่ศูนย์นิทรรศการของมหาวิทยาลัยในเวลา 19.00 น. คุณถังฮั่น ประธานบริษัทเป่ยจิงน่าย่าจะเป็นผู้บรรยายเรื่องทิศทางการจ้างงานและการพัฒนานักศึกษา นักศึกษาที่สนใจโปรด…!’

ไป๋เยี่ยรู้สึกได้ถึงแรงสั่นจากระบบแจ้งเตือนของวีแชท เขาจึงคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความในกลุ่มชั้นเรียน

[วันนี้ตอนหนึ่งทุ่มที่ห้องนิทรรศการ…ทุกคนต้องมาล็อกอินและกดล็อกเอาท์!]

หา…ล็อกอินเสร็จแล้วให้ล็อกเอาท์เนี่ยนะ!

ความเจ็บปวดสำหรับนักศึกษาคือการมานั่งล็อกอินแล้วกดล็อกเอาท์!

พ่างจื่อถอนหายใจ “เฮ้อ สุดท้ายพวกเราก็ตกเป็นเหยื่อจนได้ ขนาดเรียนจบแล้วยังต้องไปนั่งที่นั่น…”

ถังฮั่นและจางฮั่นหลินนั่งคุยกันด้วยรอยยิ้ม “มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีนี่เป็นสถานที่ที่ดี เพียบพร้อมด้วยผู้คนมากศักยภาพจริงๆ นะครับ วันนี้ผมคงต้องรบกวนผอ.จางแล้ว”

จางฮั่นหลินหัวเราะ “ฮ่าๆ คงเป็นแบบนั้นแหละครับ บริษัทของคุณถังมีมูลค่าการตลาดหลายพันล้านหยวน ถือเป็นเกียรติสำหรับคณาจารย์และนักศึกษาในมหาวิทยาลัยของเราจริงๆ ครับ!”

ทั้งคู่กล่าวชมเชยกันและกัน ก่อนที่ถังฮั่นจะเป็นฝ่ายเปิดประเด็นก่อน “ผอ.จางรู้เรื่องคุณไป๋เยี่ยมากน้อยแค่ไหนครับ”

ทันทีที่จางฮั่นหลินได้ยินชื่อไป๋เยี่ย เขาก็รู้สึกอยากทรุดไปตรงนั้นเลย ราวกับว่าเซลล์เม็ดเลือดขาวในร่างกายของเขากำลังรั่วไหลออกมา

มหา’ลัยเราไม่ได้ร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่มานานหลายทศวรรษแล้ว แถมวันนี้ประธานเจ้าของบริษัทยังมาด้วยตัวเองอีก

สุดท้ายก็เพราะไป๋เยี่ยสินะ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่…ทว่าจู่ๆ จางฮั่นหลินก็นึกอะไรขึ้นได้

การที่ประธานของบริษัทมูลค่าหลายพันล้านหยวนมาที่นี่ด้วยตนเองก็แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับตัวไป๋เยี่ยมาก

ตอนนี้จางฮั่นหลินเข้าใจถึงเจตนาของถังฮั่นแล้ว

คิดได้ดังนั้น จางฮั่นหลินก็ตอบไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ไป๋เยี่ยเป็นเด็กที่ฉลาดมากครับ แต่เขาก็ยังเด็กเกินไปอยู่ดี ผมเลยไม่ค่อยพูดอะไรถึงเขาสักเท่าไหร่ ว่าแต่ทำไมคุณถังถึงรู้เรื่องไป๋เยี่ยเหรอครับ”

“ตอนนี้ทางมหา’ลัยกำลังเตรียมการยื่นแผนงานวิจัยพิเศษเกี่ยวกับเกณฑ์บีพีเอฟเอชไปให้ทางกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมณฑลอยู่ครับ”

ถังฮั่นได้ยินดังนั้นก็เบิกตากว้าง เดิมทีเขาตั้งใจมาที่นี่เพราะไป๋เยี่ยและต้องการมอบกองทุนงานวิจัยและทุนการศึกษามูลค่าหลายแสนหยวนให้ทางมหาวิทยาลัย…

ทุกๆ ปีเขาจะมอบเงินทุนเงินจำนวนนับไม่ถ้วนให้กับมหาวิทยาลัย ทั้งทุนสนับสนุนโครงการวิจัยและทุนการศึกษาจำนวนมาก

ในความเป็นจริง จากมุมมองของถังฮั่น เขามองว่านี่ไม่ใช่แค่การสร้างเจตจำนงสาธารณะหรือการซื้อใจผู้คนเท่านั้น แต่เป็นการร่วมลงทุนในงานวิจัยด้วย เพราะทุกๆ ปีมหาวิทยาลัยเหล่านี้ย่อมต้องมอบผลลัพธ์บางอย่างที่เป็นประโยชน์ให้กับทางบริษัทอย่างมากอยู่แล้ว

นอกจากนี้การร่วมมือกับมหาวิทยาลัยจะสร้างประโยชน์มากมายได้แน่นอน

แน่นอนว่าทางสถาบันก็ต้องมีคุณสมบัติเพียงพอต่อความคุ้มค่าในการลงทุนด้วย

ซึ่งไป๋เยี่ยก็สร้างความคุ้มค่านั้นไว้แล้ว โดยเฉพาะในฐานะที่เป็นผู้คิดคนอาหารประเถทบีวายวันและเกณฑ์บีพีเอฟเอช

ถังฮั่นคิดดูแล้วก็พบว่าทางบริษัทก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร

เมื่อเห็นว่าจางฮั่นหลินประกาศว่าเขาจะจัดทำแผนการใช้เกณฑ์บีพีเอฟเอช ถังฮั่นก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมาก

เขามองว่าเกณฑ์บีพีเอฟเอชจะกลายเป็นโอกาสหนึ่งในการยกระดับสถานะของบริษัทเป่ยจิงน่าย่าได้

เพียงแต่ว่าเป้าหมายนี้ใหญ่เกินไปจนเขากลัวว่าจะไปไม่ถึง อย่างไรก็ตาม เกณฑ์บีพีเอฟเอชก็ยังคงเป็นนวัตกรรมล้ำยุคสมัยอย่างหนึ่ง เกณฑ์นี้อาจจะทำให้มีการจัดตั้งหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้ด้วย

แต่ถังฮั่นเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกันว่าเขาจะได้รับโอกาสดีๆ เช่นนี้

ถังฮั่นอดถามไม่ได้ “ผอ.จาง…มีการวางแผนโครงการพิเศษยังไงบ้างเหรอครับ ทางบริษัทของผมสนใจแผนโครงการนี้มากครับ ถ้าผอ.จางต้องการอะไรก็บอกมาได้เลยนะครับ ไม่ต้องเกรงใจ”

ช่วงนี้จางฮั่นหลินยุ่งมาก อีกทั้งเขาเองก็เพิ่งรู้เรื่องของไป๋เยี่ยเมื่อสองวันก่อนหน้านี้ จึงไม่มีเวลาพอที่จะวางแผนโครงการพิเศษขึ้นมาอย่างทันท่วงที แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทำมันเสียหน่อย

เมื่อเขามองถังฮั่นก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น

แผนโครงการพิเศษนี้ไม่เพียงต้องการทีมวิจัยเท่านั้น แต่ยังต้องมีการลงทุนในกองทุนพิเศษด้วย แถมยังต้องเป็นการลงทุนระยะยาวถึงห้าหรือสิบปี

แน่นอนว่าการสมัครโครงการพิเศษนั้นเป็นเรื่องยาก ยกเว้นว่าโครงการนั้นจะมาจากสถาบันที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล

แน่นอนว่าเหตุผลหลักคือเรื่องเงินทุนที่ต้องมีไหลเวียนเข้ามาตลอด

หากแผนโครงการพิเศษนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ก็ย่อมสร้างประโยชน์มากมายให้กับสถาบันได้

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับความจริงใจของถังฮั่นเท่านั้น! จางฮั่นหลินคิดแล้วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ปัญหาใหญ่ที่สุดตอนนี้คือแผนโครงการพิเศษกินเวลานานเกินไปครับ ผมเลยค่อนข้างกังวลเรื่องเงินทุนเนี่ยแหละครับ กลัวว่าทุนวิจัยจะไม่พอ แต่ถ้าเกิดว่างานวิจัยเรื่องเกณฑ์บีพีเอฟเอชได้รับการนุมัติแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้น…”

ถังฮั่นเองก็ไม่ใช่คนโง่ เขาจึงเข้าใจถึงสิ่งที่จางฮั่นหลินต้องการจะสื่อได้ทันที “ผอ.จางเป็นคนตรงไปตรงมามากเลยครับ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผมคงปฏิเสธไม่ลงครับ แม้ว่าบริษัทน่าย่าของผมจะไม่ใช่บริษัทชั้นนำระดับโลก แต่ทางเราก็สนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์มากครับ ผมคิดว่าพวกเราต้องร่วมมือกันได้ดีแน่นอน!”

ถังฮั่นกล่าวเสริม “จริงๆ แล้วยังมีบุคลากรหลายตำแหน่งในน่าย่าที่ยังมีขาดทักษะบางอย่างครับ ผมคิดเราน่าจะมีการขัดเกลาทักษะเหล่านี้ให้พวกเขาได้บ้าง อย่างทักษะด้านสัตววิทยาทดลอง การสร้างแบบจำลองสัตว์ทดลอง ฯลฯ ที่ประเทศเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญนัก”

จางฮั่นหลินได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นมาก!

สุดยอด!

“คุณถังมีวิสัยทัศน์ที่ดีมากเลยครับ! มหาวิทยาลัยของเราใกล้จะเปิดวิทยาเขตใหม่แล้วครับ ยิ่งถ้าแผนโครงการพิเศษได้รับการอนุมัติ ทางเราก็พร้อมที่จะขยายโควต้ารับสมัครสาขาอุตสาหกรรมและวิชาชีพสมัยใหม่โดยเฉพาะด้วยครับ…”

ถังฮั่นไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนี้กับจางฮั่นหลิน แต่เพราะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ผู้ทำการทดลองกับสัตว์มักเป็นนักศึกษาระดับปริญญาโทเสียส่วนใหญ่ ทั้งที่จริงๆ แล้วสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดจากเงื่อนไขวุฒิที่สูง แต่เป็นเพราะนักศึกษาระดับปริญญาตรีนั้นไม่ค่อยได้สัมผัสกับการทดลองในสัตว์ อีกทั้งช่วงเวลาหลังจบการศึกษานั้นยาวเกินไปสำหรับการฝึกฝน จึงเป็นช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับการพัฒนาศักยภาพเท่าไหร่

พัฒนาศักยภาพร่วมกันงั้นเหรอ

เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็มีมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ได้ร่วมมือกับบริษัทยาแห่งหนึ่งในการก่อตั้งสาขาวิชาเภสัชศาสตร์ขึ้นเพื่อบ่มเพาะบุคลากรที่ตรงตามความต้องการ

สำหรับมหาวิทยาลัยแล้ว การก่อตั้งสาขาวิชานั้นทำได้ค่อนข้างง่าย ยิ่งถ้าเงื่อนไขและศักยภาพในการปลูกฝังบุคลากรสูงพอ ทั้งยังมีเงินทุนสนับสนุนที่เพียงพอ ความร่วมมือระหว่างสถาบันและบริษัทก็จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นอย่างแน่นอน!

หากแผนโครงการพิเศษสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ย่อมได้รับผลประโยชน์มากมายทั้งนั้น!

ถังฮั่นไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้น ทว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เช่นกัน ทำให้เขาต้องศึกษาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ “ผอ.จาง เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะครับ ผมต้องกลับไปศึกษาให้ดีก่อน ไว้ผมจะให้ผู้รับผิดชอบแผนกเทคโนโลยีและผู้จัดการทั่วไปของบริษัทมาหารือเรื่องนี้กันโดยละเอียด”

จางฮั่นหลินเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน ถ้าแผนโครงการพิเศษสำเร็จเมื่อไหร่ ทางมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีจะต้องได้รับประโยชน์มากมายแน่นอน!

คิดได้เช่นนั้น จางฮั่นหลินก็พูดถึงไป๋เยี่ยในใจ ไป๋เยี่ย คุณนี่มันดาวนำโชคของมหา’ลัยเราจริงๆ!