ตอนที่ 140 ปล้น

แส้ยาวถูกรั้งไว้ ด้วยระยะห่างเพียงเท่านี้ เหยาโหย่วเลี่ยงที่กำลังร้อนใจไม่มีทางเลือกมากนัก เว้นเสียแต่เขาจะหนีเอาตัวรอดไป ทว่าผลลัพธ์ของการละทิ้งเพื่อนร่วมสำนักนั้นร้ายแรงเป็นอย่างยิ่ง

ในช่วงเวลาคับขัน เพื่อให้ศิษย์พี่ได้มีโอกาสดึงแส้ยาวออกไป เหยาโหย่วเลี่ยงจึงปล่อยมือจากแส้ยาว เค้นพลังทั้งหมดที่มีแล้วซัดฝ่ามือออกไป ปะทะฝ่ามือเข้ากับหนิวโหย่วเต้าที่พุ่งแหวกอากาศเข้ามา

ตูม! เหยาโหย่วเลี่ยงเบิกตากว้าง ร่างกายถอยกรูดไปด้านหลัง คล้ายจะเข้าใจอะไรขึ้นมาแล้ว

หนิวโหย่วเต้าม้วนตัวกลับ เตะกระบี่ให้พ้นจากการพัวพันของแส้ยาว เอื้อมมือไปคว้ากระบี่ไว้ ลากกระบี่พุ่งทะยานไปบนต้นหญ้า ปลายเท้าแตะไปบนยอดหญ้าอย่างรวดเร็ว ต้นหญ้าไหวลู่เป็นทางยาว แลดูคล้ายเกลียวคลื่น พุ่งตรงไปหาพวกเฮยหมู่ตานที่กำลังต่อสู้กันอยู่

คิดไม่ถึงว่าพวกเฮยหมู่ตานร่วมมือกันแล้วก็ยังมิใช่คู่ต่อสู้ของฟางเซ่าฉวิน แต่พวกเขามิได้เข้าไปสู้แบบแตกหักกับฟางเซ่าฉวิน หากแต่ใช้วิธีสู้แบบพัวพันเขาเอาไว้ หวังจะถ่วงเวลารอให้หนิวโหย่วเต้ามาช่วย

ทั้งสามไม่สู้กับฟางเซ่าฉวินในระยะประชิด เศษใบหญ้าปลิวว่อนอยู่เหนือทุ่งหญ้า ปราณกระบี่ฉวัดเฉวียนไปมา

เหลยจงคังที่ได้รับบาดเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าหมดสิทธิ์สู้กับฟางเซ่าฉวิน ทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ห่างๆ ไม่ทำตัวเป็นภาระ

พวกเฮยหมู่ตานทั้งสามยืนล้อมฟางเซ่าฉวินเอาไว้ ปราณกระบี่สายแล้วสายเล่ากระหน่ำโจมตีอย่างคลุ้มคลั่ง ฟางเซ่าฉวินกวัดแกว่งกระบี่ปัดป้องปราณกระบี่ที่โจมตีเข้ามา พร้อมกับส่งปราณกระบี่ออกไปเพื่อบีบให้ทั้งสามต้องป้องกันตัว ทว่าก็ทำอะไรทั้งสามไม่ได้เช่นกัน เพราะทั้งสามไม่เข้าใกล้เขา เวลาเขาพุ่งเข้าใส่ผู้ใด อีกฝ่ายจะกระโดดถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว อีกสองคนที่เหลือก็จะไล่ตามเข้ามาโจมตีเขา

ไม่เสียทีที่ทั้งสามอยู่ด้วยกันมานานหลายปี ประสานงานกันอย่างรู้ใจยิ่ง ไม่ว่าจะรุกหรือถอยก็ไม่ได้มีความปั่นป่วนแม้แต่น้อย

แต่ไม่นานสถานการณ์ที่ไม่มีใครทำอะไรใครได้ก็พังทลายลง ฟางเซ่าฉวินมือไม้ปั่นป่วน เริ่มมีท่าทีตระหนกลนลานปรากฏขึ้นมาเล็กน้อย

พวกเฮยหมู่ตานย่อมต้องทราบสาเหตุ พบว่าหนิวโหย่วเต้าไม่ทำให้พวกเขาผิดหวังอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ เพิ่งจะผ่านไปเพียงไม่นานก็จัดการคนที่เหลือได้แล้ว กำลังถือกระบี่มุ่งหน้าเข้ามา!

ปกติแล้วหนิวโหย่วเต้าอ่อนโยนเป็นมิตร บางครั้งเหมือนจะพูดว่าไม่ชอบการต่อสู้ฆ่าฟันอะไรทำนองนั้นด้วย พวกเขาเพิ่งจะเคยเห็นหนิวโหย่วเต้ามีท่าทีดุดันเปี่ยมเจตนาสังหารเช่นนี้เป็นครั้งแรก ดูคล้ายพวกโจรที่ดุร้ายอย่างไรอย่างนั้น ลากกระบี่พุ่งเข้ามาพร้อมไอสังหารที่พลุ่งพล่าน!

คนมากมายเช่นนี้ก็ยังสู้หนิวโหย่วเต้าไม่ได้ ฟางเซ่าฉวินตื่นตระหนกขึ้นมาจริงๆ แล้ว หันหลังหมายจะหลบหนี

เฮยหมู่ตานร้องตะโกน “หยุดเขาไว้!”

ทั้งสามเปิดฉากโจมตีอย่างเต็มที่ทันที มิได้ใช้แผนศัตรูรุกข้าถอย ศัตรูถอยข้ารุกอีกต่อไป หากแต่กลุ้มรุมโจมตีอย่างบ้าคลั่ง กดดันจนฟางเซ่าฉวินไม่มีเวลาหลบหนีได้

หนิวโหย่วเต้าที่พุ่งทะยานเข้ามาอย่างรวดเร็วเข้าร่วมขบวนต่อสู้ทันที ตวัดกระบี่ทำลายปราณกระบี่ที่ฟางเซ่าฉวินฟันออกมา รุกคืบเข้าไปใกล้ในชั่วพริบตา

ฟางเซ่าฉวินรีบตวัดกระบี่โจมตีอย่างสุดกำลัง

เคร้ง! กระบี่สองเล่มปะทะกัน ฟางเซ่าฉวินตกใจเป็นอย่างยิ่ง พลังที่ส่งผ่านกระบี่ไปเป็นเหมือนดั่งดินโคลนที่จมลงไปในมหาสมุทร คิดไม่ถึงว่าจะถูกพลังประหลาดบนกระบี่ของอีกฝ่ายสลายทิ้งไป

หนิวโหย่วเต้าฉวยโอกาสแทงกระบี่เข้ามา ตวัดกระบี่ทีหนึ่ง จากนั้นแทงเข้ามาอีกครั้ง!

ข้อมือเปื้อนเลือดข้างหนึ่งกระเด็นออกไปพร้อมกระบี่ที่ถืออยู่!

ประกายกระบี่หยุดชะงัก โลหิตไหลทะลักออกมาจากบริเวณข้อมือขวาของฟางเซ่าฉวินที่ถูกฟันขาด มือซ้ายคว้าจับกระบี่ที่แทงทะลุทรวงอกเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก ก้มหน้ามองกระบี่ยาวที่แทงทะลุตำแหน่งหัวใจของตน ปลายกระบี่ที่แทงทะลุออกไปด้านหลังมีโลหิตไหลหยดออกมา

ฟางเซ่าฉวินเงยหน้าขึ้นช้าๆ คิดอยากจะมองดูหนิวโหย่วเต้า

แต่หนิวโหย่วเต้าที่สีหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมกลับยกเท้าถีบไปที่ทรวกอกของเขาจนกระเด็นลอยออกไป ชักกระบี่กลับมาไว้ในมือ มองไปรอบด้านด้วยสายตาเย็นชา โลหิตไหลหยดจากปลายกระบี่ ตกลงในพุ่มหญ้า

พวกเฮยหมู่ตานมองดูด้วยความตะลึง ยังดึงสติกลับมาจากการโจมตีเมื่อครู่นี้ไม่ได้ สังหารฟางเซ่าฉวินได้ในกระบี่เดียวอย่างนั้นหรือ?

จากนั้นพลันเห็นหนิวโหย่วเต้ายกกระบี่ชี้ไปทางเนินเขา ทั้งสามคนหันไปมอง

ชุยหย่วนลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ร่างกายส่ายโงนเงน เดินซวนเซคิดจะหลบหนี

ไม่รู้ว่าหยวนฟางโผล่ออกมาจากไหน สีหน้าคึกคักดุร้าย เขาไม่กลัวที่จะต้องสู้กับคนที่แทบจะยืนไม่อยู่เช่นนี้ ถือดาบพุ่งเข้าไป หมายจะสังหารอีกฝ่าย

ผลคือถูกหนิวโหย่วเต้าชี้กระบี่ใส่เช่นนี้ หยวนฟางจึงหยุดชะงัก ยิ้มแห้งๆ แล้ววิ่งกลับขึ้นเนินเขาไป

เลี่ยจ้านปิงและเหยาโหย่วเลี่ยงก็เดินอย่างโซซัดโซเซเช่นกัน ทว่าความเร็วเช่นนี้ไม่อาจหนีรอดไปได้เลย เป็นแค่ความพยายามดิ้นรนก่อนตายเท่านั้น

หนิวโหย่วเต้าเดินลากกระบี่อย่างช้าๆ เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “ไปจัดการซะ เหตุใดคนของสามสำนักถึงร่วมมือกัน จับตัวคนที่ยังรอดชีวิตมาสอบถามให้ชัดเจนให้ได้!”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับ โบกมือส่งสัญญาณ ทั้งสามคนรีบไปจัดการตามคำสั่งทันที

หยวนฟางวิ่งกลับมา ประคองฝักกระบี่ด้วยสองมือ หัวเราะแหะๆ พลางเรียก “เต้าเหยี่ย”

หนิวโหย่วเต้าสะบัดคราบเลือดบนกระบี่ ตวัดกระบี่คราหนึ่ง ฝักกระบี่ในมือหยวนฟางหมุนควงขึ้นสู่อากาศแล้วร่วงลงมา

กระบี่ยาวถูกชูขึ้น เสียบกลับเข้าไปในฝักกระบี่ที่ร่วงตกลงมา จากนั้นก็พลิกกระบี่ค้ำลงตรงเบื้องหน้า สองมือวางลงบนด้ามกระบี่ ยืนตระหง่านอยู่กลางพงหญ้า ไอสังหารบนใบหน้าค่อยๆ คลายตัวลง สีหน้าค่อยๆ กลับมาอ่อนโยน

…..

ท้องนภากว้างใหญ่ ผืนพนาไพศาล ลมพัดยอดหญ้าไหวลู่เหมือนดั่งเกลียวคลื่น

นกแร้งสิบกว่าตัวบินวนเวียนอยู่บนท้องฟ้า คล้ายจะมาเพราะได้กลิ่นคาวเลือด

หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำกระบี่อยู่กลางทุ่งหญ้าทอดตาเหม่อมองออกไปไกล

เฮยหมู่ตานยืนอยู่ด้านข้าง รายงานเรื่องราวที่ซักถามมาได้อย่างละเอียด

หนิวโหย่วเต้าถาม “ยอดฝีมือระดับโอสถทองที่ทำหน้าที่เฝ้าร้านของทั้งสามสำนักออกเดินทางไปตั้งแต่ยามไฮ่[1]เมื่อคืนวานแล้วอย่างนั้นหรือ?”

เฮยหมู่ตานพยักหน้ารับ “ชุยหย่วนว่ามาเช่นนี้ ตรงกับคำสารภาพของเหยาโหย่วเลี่ยงเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้าถามต่อ “เลี่ยจ้านปิงไม่ยอมสารภาพหรือ?”

เฮยหมู่ตานตอบว่า “เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมพูดเจ้าค่ะ พวกข้าจะคิดหาทางง้างปากเขาให้ได้ แต่อาจจะต้องใช้เวลาสักหน่อยเจ้าค่ะ”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อย่าเสียเวลากับเขา คนไหนสารภาพก็เก็บไว้ ส่วนคนที่ไม่ยอมสารภาพ…ฆ่าทิ้ง!”

“เจ้าค่ะ!” เฮยหมู่ตานตอบรับ จากนั้นก็ยื่นสัมภาระห่อหนึ่งออกมา “เต้าเหยี่ย นี่คือทรัพย์สินที่ยึดมาได้จากพวกเขาเจ้าค่ะ”

“พวกเจ้าจัดการเองได้เลย” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้

เฮยหมู่ตานเองก็ไม่พูดอะไรมาก ถือห่อสัมภาระกลับไป เดินเข้าไปหาเลี่ยจ้านปิงแล้วชักกระบี่ออกมา แทงทะลุหัวใจของเขา

สำหรับเรื่องประเภทนี้ เฮยหมู่ตานที่คุ้นเคยกับเรื่องต่อสู้แย่งชิงเป็นอย่างดีกลับไม่มีความใจอ่อนแม้แต่นิดเดียว เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าหนิวโหย่วเต้าจะเก็บอีกสองคนเอาไว้ทำไม

หนิวโหย่วเต้าเดินเข้ามา ให้คนดึงชุยหย่วนและเหยาโหย่วเลี่ยงให้ลุกขึ้นยืน ปักกระบี่ที่เสียบอยู่ในฝักลงไปบนพื้นหญ้า สองมือทาบลงบนแผ่นหลังของคนทั้งสอง

“พรืด!” กระทั่งทั้งสองกระอักโลหิตปนก้อนน้ำแข็งออกมาแล้ว หนิวโหย่วเต้าก็ได้ลงมือผนึกจุดลมปราณของทั้งสองเอาไว้ หยิบกระบี่ขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “มัดไว้!”

ต้วนหู่และอู๋ซานเหลี่ยงเก็บแส้โลหะมามัดพวกเขาทั้งสองคนไว้อย่างแน่นหนา

หยวนฟางทำตามที่หนิวโหย่วเต้าสั่ง ไปจูงม้าทั้งหกตัวที่อยู่อีกด้านหนึ่งเข้ามา

หนิวโหย่วเต้ารับม้ามาตัวหนึ่ง พลิกตัวขึ้นหลังม้า ชี้ไปยังเหลยจงคังที่นั่งทึมทื่อคล้ายหมดอาลัยตายอยากอยู่บนพื้น “เอาตัวสองคนนี้ไปที่ด้านหลังเนินเขาแล้วจับตาดูให้ดี รอพวกเรากลับมา!”

เมื่อเขาเอ่ยประโยคนี้ออกมา พวกเฮยหมู่ตานทั้งสามคนตะลึงงัน จากนั้นเผยสีหน้ายินดีทันที รับรู้ได้ถึงความหมายที่แฝงอยู่ในวาจาของหนิวโหย่วเต้า

เฮยหมู่ตานรีบเอ็ดเหลยจงคัง “ยังไม่รีบไปจัดการตามที่เต้าเหยี่ยสั่งอีก?”

เหลยจงคังลุกขึ้นมาด้วยสีหน้าซับซ้อน ประสานมือเอ่ยตอบหนิวโหย่วเต้า “ขอรับ!”

“ไป!” หนิวโหย่วเต้ากระทุ้งม้าควบออกไป

พวกเฮยหมู่ตานพากันทะยานขึ้นหลังม้า บังคับม้าหักเลี้ยว รีบควบม้าไล่ตามไป

เมื่อตามหนิวโหย่วเต้าขึ้นมาทัน ก็พบว่าเหมือนกำลังย้อนกลับไปทางเดิม เฮยหมู่ตานจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจและสงสัย “เต้าเหยี่ย นี่พวกเราจะไปไหนกันหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างเยือกเย็น “เมืองไจซิง!”

“ห๊า!” คนอื่นๆ พากันอุทานออกมา ต้วนหู่รีบถามว่า “เต้าเหยี่ย หากกลับไปที่เมืองไจซิงอีก นั่นมิเท่ากับว่ากลับเข้าไปในปากเสืออีกครั้งหรือขอรับ?”

“พวกเขาออกเดินทางตอนยามไฮ่ของเมื่อคืน พวกเราน่าจะมีเวลาพอ!” หนิวโหย่วเต้าตอบไม่ตรงคำถาม สายตามองไปด้านหน้า แววตาค่อนข้างเยียบเย็น “มีสำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสโผล่ออกมาอีก คงคิดว่าข้าจะรังแกได้ง่ายๆ กระมัง รับแล้วไม่ตอบแทนนับว่าเสียมารยาท เช่นนั้นก็ไปเล่นเป็นเพื่อนพวกเขาหน่อยแล้วกัน!”

คนอื่นๆ มองหน้ากัน พูดอะไรไม่ออก

ทั้งกลุ่มควบม้าออกจากทุ่งหญ้า เข้าสู่ทะเลทรายอีกครั้ง ในตอนที่มาถึงลานม้าตรงเชิงเขาอีกครั้งก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว

หลังจากเอาม้าไปไว้ที่ลานม้า ทั้งห้าก็เหินทะยานกันอีกครั้ง เร้นกายเข้าไปในเทือกเขาที่กว้างใหญ่

ยามที่ท้องฟ้ามืดมิด ดวงดาวสุกสกาวเต็มฟากฟ้า ทั้งห้าเข้าสู่เมืองไจซิงที่มีแสงโคมไฟกระจัดกระจายอยู่ทั่วทั้งเมืองอีกครั้ง เหนือศีรษะของพวกเฮยหมู่ตานทั้งสามคนมีผีเสื้อจันทราคอยกระพือปีกให้ความสว่างอยู่

“ร้านค้าของสำนักเซียนสถิตอยู่ที่ไหน?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยถาม

คนอื่นๆ คล้ายจะเดาออกเล็กน้อยแล้วว่าเขาต้องการทำอะไร รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายยังคงนำทางให้เขา

เมื่อมาถึงร้านค้าของสำนักเซียนสถิต มองเห็นบนประตูแขวนป้ายปิดร้านไว้ หนิวโหย่วเต้าเมินเฉยต่อผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่ด้านนอก เดินไปหยุดตรงหน้าประตูพร้อมยื่นมือออกไปแตะ ใช้พลังปลดกลอนประตูที่อยู่ด้านใน ผลักประตูแล้วเดินตรงเข้าไป

คนอื่นๆ เดินตามเข้าไป พวกเฮยหมู่ตานสามคนสั่งให้ผีเสื้อจันทราบินวนอยู่ภายในร้าน

หนิวโหย่วเต้าปิดประตูแล้วเอ่ยว่า “ไปตรวจสอบดู เก็บของมีค่าไปให้หมด!”

พวกเฮยหมู่ตานทั้งสามคนลอบเหงื่อตก พบว่าคนผู้นี้มาเพื่อปล้นร้านค้าจริงๆ! หากสำนักเซียนสถิตกลับมาคงต้องคลุ้มคลั่งเป็นแน่ ทำเรื่องแบบนี้ลงไปก็เท่ากับพวกเขาได้ขึ้นเรือโจรแล้วจริงๆ!

หยวนฟางแสยะยิ้มยินดี สองตาลุกวาว รีบก้าวเท้าเดินเข้าไป แควก! เขากระชากผ้าม่านมาทำเป็นห่อสัมภาระ เข้าไปหยิบสมุนไพรวิญญาณบนชั้นมาใส่ห่อสัมภาระอย่างรวดเร็ว

พวกเฮยหมู่ตานได้แต่ต้องทำตาม รีบเข้าไปหยิบของมีค่าอย่างรวดเร็ว

หนิวโหย่วเต้าวางกรงนกที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะเก็บเงิน นกใฝ่หอมสองตัวที่อยู่ในกรงกำลังมองไปรอบๆ ส่วนตัวหนิวโหย่วเต้าก็เดินสำรวจดูทั้งนอกทั้งในเช่นกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสี่ต่างถือห่อสัมภาระเอาไว้ในมือคนละห่อ มารวมตัวกันที่โถงด้านหน้า

หนิวโหย่วเต้าหิ้วกรงนกกรงหนึ่งไว้ในมือ ด้านในมีปีกทองที่ใช้สำหรับส่งข่าวสารอยู่หลายตัว เขาโบกมือส่งสัญญาณเล็กน้อย พาทุกคนออกไปจากร้าน

ทั้งสี่สะพายห่อสัมภาระไว้บนหลัง ทยอยเดินออกมาจากร้าน ด้านนอกมีผู้คนสัญจรไปมา ทว่าพวกเขากลับปล้นร้านค้าของสำนักแห่งหนึ่งอย่างเปิดเผย เรียกได้ว่าน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งสี่คนมองหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง คล้ายเขาทำเรื่องแบบนี้จนเคยชิน ราวกับทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ปิดประตูลงอย่างเงียบๆ ทั้งยังเอาป้ายปิดร้านมาแขวนไว้ด้วย จากนั้นพาทุกคนเดินออกไปอย่างเยือกเย็น

จากนั้นทั้งห้าคนก็ไปเยือนร้านค้าของสำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาสต่อ

ภายในร้านค้าของสำนักคีรีพิลาส พวกเขานำเอาข้าวของที่ยึดมาได้จัดแยกประเภทจนได้เป็นห่อสัมภาระขนาดใหญ่หลายห่อ

หนิวโหย่วเต้าโบกมือสั่ง “ไป เอาของไปขายตามร้านค้าใหญ่ๆ”

อู๋ซานเหลี่ยงรีบเอ่ยว่า “เต้าเหยี่ย หากขายให้ร้านค้าใหญ่ๆ อย่างมากก็ได้แค่ครึ่งราคานะขอรับ!”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “มองการณ์ไกลเข้าไว้ อย่ายึดติดกับเงินเล็กน้อย!”

ต้วนหู่เอ่ยด้วยสีหน้ายิ้มไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “เต้าเหยี่ย นี่มิใช่เงินเล็กน้อยเลยนะขอรับ สมุนไพรวิญญาณหายากที่อยู่ในนี้ราคาแพงลิ่วเลยนะขอรับ!”

“แบกห่อสัมภาระใหญ่ขนาดนี้เจ้าไม่เหนื่อยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าเอ่ยทิ้งท้าย ก่อนจะเปิดประตูร้านแล้วเดินออกไป

ทั้งสี่ตรงไปขายสมุนไพรวิญญาณให้ร้านค้าของสำนักวิญญาณ์ ขายได้ในราคาต่ำจริงๆ อีกฝ่ายรับซื้อแค่ครึ่งราคาเท่านั้น แต่หนิวโหย่วเต้าหาได้ใส่ใจไม่ ขายราคาต่ำก็ขายราคาต่ำ ขายทั้งหมดให้พ้นมือไปในคราวเดียว รับตั๋วแลกทองมาแล้วเดินออกไป ผู้ดูแลร้านและพนักงานในร้านมองพวกเขาจากไป ก่อนจะหันกลับมาซุบซิบพูดคุย ไม่รู้ว่าคนพวกนี้ไปเอาสมุนไพรวิญญาณมากมายขนาดนี้มาจากไหน

พวกหนิวโหย่วเต้าเดินขายของอย่างต่อเนื่อง กรงที่มีนกอยู่หลายตัวถูกเอาไปขายที่ร้านค้าของสำนักหมื่นสรรพสัตว์ ปีกทองหนึ่งฝูงก็ขายให้อีกฝ่ายครึ่งราคาเช่นกัน

ส่วนอาวุธที่ขายให้กับสำนักเลิศเมฆาได้ราคาไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ อีกฝ่ายประเมินราคาให้เท่าไหร่ก็ขายเท่านั้น หนิวโหย่วเต้าสั่งให้หยวนฟางเก็บมีดสั้นคุณภาพดีเอาไว้จำนวนหนึ่ง!

หลังตระเวนไปตามร้านค้าหลายแห่ง ขายข้าวของทั้งหมดจนพ้นมือ นับเงินที่ได้มาเล็กน้อย ขายเป็นเงินได้หนึ่งล้านสองแสนกว่าเหรียญทอง!

………………………………………………………….

[1] ยามไฮ่ คือช่วงเวลา 21.00 – 23.00