บทที่ 131 นอนเตียงเดียวกัน

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 131 นอนเตียงเดียวกัน

หลังจากที่หลานเยาเยากลับมาจากที่หลานจิ่นเอ๋อ สายตาดูเป็นกังวล

จากคำพูดของหลานจิ่นเอ๋อทำได้รู้ว่า ในบรรดาคุณหญิงทั้งหมด มีเพียงจ้าวซื่อเท่านั้นที่สนิทสนมกับท่านแม่

ขณะนั้นจ้าวซื่อ และท่านแม่ของนางคุณหญิงฉูมีชีวิตตกอับที่สุด เป็นคุณหญิงในจวนแม่ทัพที่มีชีวิตลำบากที่สุด

หลังจากนั้น หลานจิ่นเอ๋อยังพูดอีกว่าพวกนางเป็นพี่น้องที่มีความรักความผูกพันกันมาก

นางรู้ว่าจุดประสงค์ของหลานจิ่นเอ๋อคืออะไร เพราะคำพูดเหล่านี้ของนาง ทำให้นางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นได้

หลังจากที่ท่านแม่ได้หายตัวไปและกลับมาได้ไม่นานก็เสียชีวิต จ้าวซื่อได้รับอำนาจอย่างกะทันหันในช่วงเวลาหนึ่ง และก็โดนส่งออกไปหลังจากนั้นไม่นาน

เรื่องนี้ยิ่งคิดยิ่งทำให้สับสน!

ทันใดนั้น!

“โอ๊ย!”

หลานเยาเยาชนเข้ากับกำแพงเนื้อ นางมึนหัวเล็กน้อย เอามือกุมตรงหัวของตัวเองที่ไปชนกับอะไรสักอย่าง

เอ่อ……

คาดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเงาแผ่นหลังที่สูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง

ดูจากร่างนั้น น่าจะต้องเป็นชายที่สง่ามาก

ถุ้ยๆ!

หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่รอดู

ชายผู้นั้นหันกลับมาด้วยความงงงัน หลังจากที่ได้เห็นนาง ก็ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน “เจ้าเดินไม่ดูทางบ้างหรือ?”

น้ำเสียงที่เปล่งออกมา กลับทำให้หลานเยาเยามึนงง

นี่คือเซียวจิ่นหยู?

เซียวซื่อจื่อที่สุภาพเรียบร้อยท่านนั้นหรือ?

จำได้ว่าตอนอยู่ที่หน้าหลุมศพท่านแม่ เขายังเรียกนางว่าพระชายาเย่ด้วยความเคารพ ทั้งพยักหน้าเล็กน้อยทักทายนางทุกครั้ง

ตอนนี้ทำไม……

“กำลังคิดคำถาม ไม่ ไม่ได้สนใจ! ท่านมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”

ที่นี่คือจวนแม่ทัพ และก็ยังเป็นลานหลังจวนแม่ทัพ เขาเป็นถึงซื่อจื่อของจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์!

มาทำไม?

ตอนแรกคิดว่าเขาจะตอบคำถามนาง

แต่กลับไม่รู้ว่า……

เขายื่นมือมาปิดปากนางไว้ : “ฉู่ อย่าพูด!”

กลิ่นหอมอ่อนๆพัดโชยเข้าจมูกนาง หลานเยาเยามองไปตรงนิ้วมือที่ปิดปากนางไว้อย่างงงๆ โดยไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรดีในขณะนั้น

แย่แล้ว!

นี่นางกำลังโดนล่อลวงงั้นหรือ?

เอ๊ะ ไม่ถูก

นี่นางกำลังโดนลวนลาม และนางก็ยังโดนชายที่รูปงามมากทั้งยังอบอุ่นอ่อนโยนมากลวนลามซะด้วย ถุ้ยๆ สายตาที่แสนจะอ่อนโยนดูเอาใจใส่นั้น ทำให้หลานเยาเยาหลุดเข้าไปอยู่ในจินตนาการ

“อย่าทำผีเสื้อตกใจบินหนีสิ!”

น้ำเสียงที่อ่อนโยนน่าฟัง แซมด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

อะไร?

ผีเสื้อ?

ฤดูใบไม้ร่วงแล้วทำไมยังมีผีเสื้อ?

หลานเยาเยาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง

บนหัวของนางมีกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาพอดี ทว่าใบไม้ร่วงหล่นไปเกือบหมดแล้ว แต่กลับมีผีเสื้อตัวหนึ่งเกาะอยู่ตรงนั้น

ให้ตายสิ!

มีผีเสื้อจริงด้วย!

“ไปไปไป!”

ทันใดนั้นหลานเยาเยาก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ จึงเอามือปัดไล่ผีเสื้อ

คิดว่าจะมีชายรูปงามเข้ามาเกี้ยว กลับคิดไม่ถึงว่าเขาทำเพียงเพราะเห็นผีเสื้อตัวนั้น เพียงแค่เพราะผีเสื้อตัวนั้น

ไม่ได้พยักหน้าให้นาง

หึ้ย!

นางเกลียดผีเสื้อตัวนั้นที่ทำลายจินตนาการของนาง

ท่าทางที่ดูโกรธเคืองของนาง ยิ่งทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวจิ่นหยูมีมากขึ้น

“พระชายาเย่ ดูเหมือนว่าท่านจะโมโหง่าย โปรยเหรียญเงินครั้งก่อนก็เป็นแบบนี้ ครั้งนี้ก็เป็นแบบนี้? ทำไมถึงได้โมโห? “

น้ำเสียงที่เสมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกเพลิดเพลิน

“ท่านยังจะกล้าพูด ยังดีที่ครั้งนั้นตกใส่ข้าเป็นเหรียญเงิน ถ้าที่ตกโดนเป็นก้อนหินหล่ะก็ ข้าจะไม่จบกับท่าน” พูดจบ หลานเยาเยายังกำหมัดขึ้นยื่นไปที่เขา

“เหอะเหอะเหอะ……”

เมื่อเผชิญหน้าหลานเยาเยาในท่าทีตอนนี้ เซียวจิ่นหยูก็รู้สึกขำ หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆหุบยิ้มลง และถามต่อว่า “แล้วครั้งนี้ล่ะ?”

“ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพราะท่านหรือ……” ที่ทำลายจินตนาการของข้า

คำที่เหลือด้านหลังนางไม่ได้เอ่ยออกมา แล้วนางเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เขามาสนิทสนมกับนางขนาดนี้?

ทำไมอยู่ดีๆก็พูดคุยกันเหมือนเป็นเพื่อนกันมานาน?

หลานเยาเยาถอยหลังไปหนึ่งก้าว มือชี้ไปที่เขา พูดอย่างระวังว่า : “เปลี่ยนนิสัยกะทันหัน ต้องเป็นคนเจ้าเล่ห์แน่ๆ”

“……”

เขาเป็นคนพูดจาแบบนี้ตลอด จึงถามนางว่าทำไมถึงได้โมโห ทำไมจึงกลายเป็นคนเจ้าเล่ห์?

มองดูมือของหลานเยาเยาที่ยื่นไปที่เขา ทำให้เห็นข้อมือขาวๆ ที่มือมีโส่วกงซา(จุดพรหมจรรย์)อยู่ ทำให้ดวงตาของเซียวจิ่นหยูเป็นประกายเล็กน้อย

เห็นดังนั้น !

หลานเยาเยาเก็บมือกลับไปทันที แอบชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง : “มองอะไร? ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยๆอย่างข้ามาก่อนหรือไง?”

“หึหึหึ……”

ใครจะรู้ เซียวจิ่นหยูหัวเราะเสียงต่ำอีกครั้ง

หืม……

หัวเราะอะไร?

นางน่าขำขนาดนั้นเลยหรือ?

“ข้ามีเรื่องต้องจัดการ ขอตัวก่อน!” หลังจากหยุดหัวเราะ เซียวจิ่นหยูก็ทำมือคำนับนาง

“เชอะ!”

เซียวจิ่นหยูยังไม่ทันได้ก้าวเดิน หลานเยาเยาก็เดินตัดหน้าออกไปก่อน

มองดูภาพด้านหลังของหลานเยาเยาที่ค่อยเดินไกลออกไป เซียวจิ่นหยูเลื่อนสายตาไปมองที่มือของตัวเอง เลื่อนสายตาไปมองตรงนิ้วมือที่ปิดโดนปากของหลานเยาเยา หลังจากนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก็หันหลังเดินออกไป

หลานเยาเยาที่เดินอยู่บนทางหินลูกรัง คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก

แต่ว่า!

นางยังไม่ทันที่จะหัวเราะออกมา ก็ต้องพบกับเรื่องที่ไม่คาดคิดอีกครั้ง นางชนเข้ากับกำแพงเนื้ออีกรอบ

“โอ๊ย ใครอีกเนี๊ย!”

หลานเยาเยารู้สึกหงุดหงิด ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ก็ชนเข้ากับคนถึงสองคน

ครั้งนี้นางต้องการดูว่าใครกันที่เป็นผู้ขวางทางเดินนาง

ดังนั้น เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความผยอง สีหน้ากลับกลายเป็นแข็งกร้าวขึ้นมาทันที

“ท่านมาที่นี่อีกทำไม”

จะมาเร็วเกินไปแล้ว!

เมื่อวานนี้เขาเจอกับหลานจิ่นเอ๋อแล้วไม่ใช่หรือ? วันนี้ก็มาเจออีกแล้ว ทำไมไม่อาศัยอยู่ที่นี่ไปเลย จะได้ไม่ต้องวิ่งไปวิ่งมาให้เหนื่อยซะเปล่าๆ?

เมื่อเผชิญหน้ากับเย่แจ๋หยิ่งที่มีสีหน้าไม่ค่อยจะสู้ดีนัก หลานเยาเยาก็อดไม่ได้ที่จะแบะปาก ……

“ทำไมข้าจะมาไม่ได้?”

คำถามที่มีน้ำเสียงเยือกเย็นสุดจะพรรณนา

เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่ เย่แจ๋หยิ่งเห็นทั้งหมด

หลังจากที่เซียวจิ่วหยูจากไป รอยยิ้มผ่อนคลายที่เป็นธรรมชาติของนาง สำหรับเขาแล้วมันชั่งดูขัดหูขัดตานัก และรอยยิ้มเช่นนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับเขา

เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แม้ว่านางจะไม่หวงรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มที่อ่อนหวาน หรือรอยยิ้มจางๆ แต่นั่นไม่ได้ออกมาจากใจจริงของนางเลย

ก็เหมือนกับเมื่อสักครู่ ที่อยู่ตรงหน้าเขา นางก็ไม่เคยมีให้สักครั้ง

ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจ!

“ก็จริง ท่านมีมือมีเท้า มีอำนาจ หึ จะไปที่ไหนก็ย่อมได้ ข้าเพิ่งออกมาที่ของหลานจิ่นเอ๋อ สบายใจได้ ข้าไม่ได้ทำให้นางลำบากใจ”

หลายเยาเยาแทบอยากจะตีตัวเองให้ตาย เรื่องพวกนี้ เกี่ยวอะไรกับนางด้วย? ยุ่งเรื่องของคนอื่นมากไปเดี๋ยวจะโดนฟ้าผ่า

พูดจบ!

นางคำนับเขาแบบขอไปที แล้วเดินไปทางห้องของตัวเอง

“หลานเยาเยา เจ้าพูดอะไรของเจ้า?”

วันนี้เขามาที่จวนแม่ทัพ เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับหลานจิ่นเอ๋อ?

กลับเป็นนางซะอีก เดินชนกับเซียวจิ่นหยูกลับดีอกดีใจขนาดนั้นเชียวหรือ?

สายตาที่เย็นชาของเย่แจ๋หยิ่งค่อยๆจางหายไป หลังจากนั้นก็เดินตามหลานเยาเยาเข้าไปในห้อง หลังจากเข้าห้องแล้วเห็นหลานเยาเยาถอดรองเท้า ขึ้นนอนพักผ่อนแล้ว

เย่แจ๋หยิ่งทอดสายตาออกไปนอกห้องมองดูท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ทอแสง……

“ทำไมเจ้ายังไม่นอนอีก?”

เขาเดินมาถึงข้างเตียง ทั้งๆที่รู้ว่าเขาเข้าห้องมาแต่หลานเยาเยาก็ยังแสร้งทำเป็นหลับตา ทำให้ความโมโหยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

“ข้านอนแล้ว อย่าคุยกับข้า”

จะพูดจาต้องใช้ออกแรง ถึงแม้ว่านางจะกินขนมเข้าไปมากมาย แต่ก็พบว่าขนมเหล่านั้นไม่อร่อยเลยสักนิด

เมื่อก่อนทำไมถึงคิดว่าขนมเหล่านั้นอร่อยได้นะ?

ต้องเป็นภาพลวงตาแน่ๆ!

กินยากจริงๆเลย

หลังจากที่นางพูดออกไปแบบนี้ ก็คิดว่าคนอวดดีอย่างเย่แจ๋หยิ่งจะออกไปจากห้องไปอย่างชาญฉลาด

ใครจะรู้……

เขาไม่เพียงแต่ไม่เดินจากไป แต่กลับถอดรองเท้าและขึ้นเตียง……