เซิ่งเหว้ยโหลสาขาใหญ่อยู่ที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ สาขาย่อยอื่นๆ นั้นเมืองหลวงในแต่ละดินแดนต่างก็มีทั้งนั้น
เย่จายซิงได้ยินมานานแล้วว่าอาหารที่เซิ่งเหว้ยโหลเลิศรสมาก ไม่มีเวลาออกมาโดยตลอด แต่ที่สำคัญก็คือต้องจองล่วงหน้าอย่างน้อยครึ่งเดือนจึงไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่
นางตามจวินหยวนมาจนถึงเซิ่งเหว้ยโหล ในเวลานี้โคมไฟเริ่มถูกติดขึ้นไปเรียงรายห้อยอยู่สูงตระหง่าน ทำให้สะท้อนความอลังการของร้านแห่งนี้ออกมา
เข้าไปแล้วจึงพบว่าการตบแต่งภายในดูโอ่โถงสง่างาม บนพื้นและบนโต๊ะก็สะอาดสะอ้าน เสี่ยวเอ้อในร้านก็ยืนเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้อนรับลูกค้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ไม่แปลกเลยที่เป็นร้านที่แพงที่สุดในดินแดนทั้งหมด มองแวบเดียวก็รู้ว่ามีมาตรฐานสูง เพียงแค่ไม่รู้เหมือนว่าอาหารอร่อยสมคำร่ำลือเช่นนั้นหรือไม่
ที่นี่คนฐานะทั่วไปอาจจะจ่ายไม่ไหว หนึ่งมื้ออย่างน้อยราวพันตำลึง คนที่มาเยือนจะต้องฐานะร่ำรวยมาก
จวินหยวนเป็นผู้ชายที่ฐานะสูงส่งยิ่งกว่าฮ่องเต้ในแคว้นหงส์แดงเสียอีก พอมาเยือนก็ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างอย่างแน่นอน เถ้าแก่มาต้องรับด้วยตัวเอง พาพวกเขาเข้าไปยังห้องรับรองห้องหนึ่งที่อยู่ชั้นบนสุด
ชั้นบนสุดของเซิ่งเหว้ยโหลมีห้องรับรองเพียงห้องเดียว ผู้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงจะอยู่ภายใต้สายตา
“อยากกินอะไรล่ะ?”
จวินหยวนถามนาง
“ไม่รู้ เจ้าแนะนำหน่อยสิ”
เขาปิเมนูอาหารและพูดกับเถ้าแก่ว่า “เอาอาหารทุกอย่างมาอย่างละจาน”
คู่ควรแล้วที่ร่ำรวย นางหัวเราะเยาะในความฟุ่มเฟือยของเขาว่าไม่จำเป็นต้องขนาดนี้
“ข้ายังไม่รู้รสนิยมของเจ้า เจ้าลองชิมอาหารแต่ละอย่างดูก่อนละกัน หากกินไม่หมดก็ส่งไปให้ขอทานในเมืองได้”
เขากล่าว
“ก็ได้”
ในสมัยโบราณต่างใช้ตะเกียบกลางทั้งนั้น และด้านข้างยังมีเสี่ยวเอ้อคอยตักอาหารให้โดยเฉพาะ อาหารที่กินไม่หมดต่างล้วนก็สะอาดสะอ้าน
มีขอทานบางคนไม่มีทางได้กินอาหารดีเช่นนี้ในชาตินี้ ดังนั้นนางจึงไม่ได้พูดอะไร
อาหารขึ้นเร็วมาก กลิ่นของอาหารแต่ละจานนั้นหอมฉุยไปหมด เย่จายซิงรับรู้ได้ถึงความมีกระชุ่มกระชวยต่อหน้าอาหารพวกนี้
มิน่ามีอาหารบางอย่างแพงจนไร้เหตุผล เพราะวัตถุดิบที่เอามาทำอาหารก็หามาได้อย่างยิ่ง อย่างเช่นกุ้งเป็นกุ้งทิพย์จากทะเลสาบน้ำแข็งลึกที่อยู่ยังภูเขาสูง ไข่เป็นไข่ที่เก็บมาจากสัตว์ทิพย์ขั้นสูงในป่าลึก ผักก็ล้วนเป็นยาทิพย์ที่ขึ้นอยู่บนหน้าผา พอมาผนวกรวมเข้ากันกับฝีมือการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมของพ่อครัว รสชาติของอาหารแต่ละจานต่างมีเอกลักษณ์อย่างยิ่งยวด
รสชาติที่หอมหวนเลิศรสพอผู้ฝึกตนได้กินยังจะช่วยเติมพลังทิพย์ให้อีกด้วย
สำหรับคนเช่นเย่จายซิงที่ไม่อาจฝึกจิตได้แบบนี้ก็สามารถเพิ่มเลือดได้เช่นกัน
ปริมาณของอาหารแต่ละจานไม่ได้เยอะ แต่จวินหยวนสั่งมาเยอะเกินไปจริงๆ นางได้แค่ลองชิมในแต่ละจานเท่านั้น เหลือท้องไว้ชิมอาหารที่มาทีหลังด้วย
พูดตามจริงนี่เป็นอาหารที่อร่อยที่สุดเท่าที่นางเคยกินมาในชาตินี้ โลกปัจจุบันไม่สามารถทำรสชาติเช่นนี้ได้ และก็ไม่มีวัตถุดิบที่เฉพาะอย่างเลิศล้ำเช่นนี้ด้วย
แต่พอกินไปถึงตอนท้ายแล้วในร่างกายมีชี่ทิพย์ไหลเวียนไปมา ทำให้นางรับไม่ค่อยไหวเท่าใดนัก
จวินหยวนโบกมือให้เสี่ยวเอ้อออกไป แล้วเดินมาทางนาง
“ยื่นมือมา”
นางลังเลอยู่ชั่วครู่จึงยื่นออกไป เขาจับมือของนางไว้แน่น ในตอนที่เย่จายซิงกำลังจะขมวดคิ้วกลับรับรู้ถึงพลังที่อบอุ่นไหลเข้าสู่ร่างกาย พอได้รับมันก็ทำให้ร่างกายผ่อนคลายขึ้น พลังทิพย์พวกนั้นที่นางไม่สามารถย่อยได้ถูกกวาดให้หายไปหมดเลย และมือของเขาก็เอากลับไปแล้วเช่นกัน
เมื่อรู้สึกตัวว่าตนเองเกือบเข้าใจเขาผิด นางจึงกล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ขอบคุณเสด็จอามาก”
“เหลืออีกครึ่งปีพวกเราก็จะแต่งงานกันแล้ว”
จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา
ความหมายของคำพูดคือนางไม่ต้องทำตัวเกรงใจเช่นนี้
เย่จายซิง: ……
ใช่ ข้าทราบแล้ว ไม่ต้องเตือนข้าก็ได้ ขอบคุณมาก
มีเวลาอีกครึ่งปี นางจะต้องก่อร่างรากทิพย์ได้ใหม่อีกครั้ง ฟื้นฟูรูปลักษณ์หน้าตา ทำให้ทุกคนพากันแปลกใจไปเลยแล้วก็เป็นเจ้าสาวที่สวยงาม……ประหลาดน่ะสิ!นางรับปากเลยว่าจะหนีไปอย่างไร้ร่องรอยในนาทีแรกเลย การแต่งงานก็เหมือนหลุมฝังศพ นางยังอายุน้อยอยู่ ไม่อยากใช้ชีวิตที่ตายทั้งเป็น!
จวินหยวนผลักหน้าต่างออกไป ลมเย็นพัดเข้ามาเป็นสาย พัดเส้นผมที่อยู่ข้างหัวเขาจนยุ่ง เห็นได้ชัดว่าเงาด้านหลังนั่นดูโดดเดี่ยวมาก
เห็ดได้ชัดว่าเขาก็อยู่ตรงหน้าแค่นี้ แต่กลับให้ความรู้สึกว่าอยู่ไกลมากสำหรับนาง
ในใจของเย่จายซิงปรากฏเป็นความขมขื่นที่ไม่สามารถอธิบายได้ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยอีก
นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ลูบคลำแหวนอย่างครุ่นคิด
……
พอเช้าวันถัดมา แม่นมหลี่ที่อยู่ข้างกายฮูหยินเฒ่าก็มาเชิญเย่จายซิงไป บอกว่าฮูหยินเฒ่าไม่ค่อยสบาย
“ท่านย่า ไม่สบายเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าไม่ใช่หมอซะหน่อย”
เย่จายซิง กำลังจะออกจากบ้าน นางปรุงยาทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้ว เตรียมตัวจะไปหาราชสีห์ขนทองที่ หอหยกหิมาลัยเพื่อส่งมอบ
แม่นมหลี่หน้าตาขึงขัง ดีที่องครักษ์ลับอยู่ตรงนี้ นางจึงไม่กล้าพูดจาไม่น่าฟังเท่าไร นางกล่าวว่า
“คุณหนูสี่พูดอะไรกัน ท่านเป็นลูกเป็นหลาน ผู้อาวุโสไม่สบาย ท่านก็ต้องไปเยี่ยมเยียนตามสมควรอยู่แล้ว อีกอย่างที่ร่างกายของฮูหยินเฒ่า ไม่สบายเช่นนี้ สาเหตุก็เป็นเพราะท่านนั่นแหละ!”
“ฮะ? เหตุใดจึงเกี่ยวกับข้าอีก?”
เย่จายซิงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ
แม่นมหลี่กล่าวด้วยเสียงสูงว่า:
“เมื่อวานฝ่าบาทเรียกตัวเจ้าเข้าวัง พอเจ้ากลับมาแล้วก็ไม่ไปรายงานสถานการณ์ให้ฮูหยินเฒ่าทางนั้นได้รับรู้ เมื่อสักครู่ได้ทราบข่าวมาจากตระกูลเซี่ยว่ามือของเจ้าพระยาเซี่ย เป็นเพราะเจ้าจึงถูกตัดด้วน ฮูหยินเฒ่าโมโหจนหายใจไม่ออก จู่ๆ ก็เป็นลมไป เจ้ายังไม่รีบไปอธิบายกับฮูหยินเฒ่าอีกหรือ!”
เย่จายซิงยิ้มอย่างเย็นชา นางคิดว่าร่างกายฮูหยินเฒ่าที่ว่าไม่สบายเป็นเรื่องโกหก เพื่อจะขีดเส้นแบ่งความสัมพันธ์ให้ชัดเจนเป็นเรื่องจริง
ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง ท่านพ่อพระยาเซี่ยเป็นเจ้าสำนักศูนย์สำนักอาจารย์กลั่นยา พวกฮูหยินเฒ่า จะกล้าล่วงเกินเขาได้อย่างไร แน่นอนว่าจะต้องเอาความผิดทุกสิ่งทุกอย่างโยนไว้บนตัวนาง เป็นการเลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นโดนลูกหลงไปด้วย
นางเดาว่าคนของตระกูลเซี่ยก็น่าจะอยู่ด้วย ไปก็ไป ใครจะกล้าแตะต้องนางได้
แม่นมหลี่ พาเย่จายซิงมายังห้องรับแขกในห้องโถงใหญ่ พอเข้าไปก็เห็นฮูหยินเฒ่าเอนอยู่บนเก้าอี้ บนหัวมียาแปะเต็มไปหมด ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก
อีกด้านหนึ่งเป็นผู้เฒ่าท่านหนึ่งนั่งอยู่ ท่าทางเคร่งขรึม คิดว่าน่าจะเป็นท่านพ่อพระยาเซี่ยเป็นแน่
“เจ้าเองเหรอที่ทำร้ายให้ลูกข้ามือขวาขาด?”
พอท่านพ่อพระยาเห็นนางก็ตบโต๊ะขึ้นมาทันที แล้วกล่าวด้วยเสียงเย็นชา
“คำพูดของท่านพ่อพระยาผิดแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ตัดมือของเจ้าพระยาก็คือฝ่าบาท คนที่ออกคำสั่งก็คืออ๋องเซ่อเจิ้ง ข้าว่าเพราะว่าท่านไม่กล้าล่วงเกินพวกเขาก็เลยมาหาเรื่องข้า หากท่านต้องการจะตามหาความจริงละก็สามารถค่อยๆ ถามกับองครักษ์ของข้าได้”
พูดจบนางก็ชี้ไปยังเหยียนเฟิงที่อยู่ด้านหลัง
สีหน้าของท่านพ่อพระยาเซี่ยจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวม่วง ราวกับตับหมูที่ค้างคืนเช่นนั้นก็ไม่ปาน
สีหน้าของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นของตระกูลเย่ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าพอเย่จายซิงมาก็ฉีกหน้าในทันที อีกทั้งยังพูดจาไม่น่าฟังเช่นนั้นด้วย
“น้องสี่ เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้า ได้ยินมาว่าเนื่องจากฝ่าบาททรงทราบว่าเจ้าชอบเจ้าพระยาเซี่ยจึงพระราชทานอภิเษกสมรสให้พวกเจ้า แต่เจ้ากลับเปลี่ยนใจไปรักคนอื่น ใฝ่สูงจะไปคว้าอ๋องเซ่อเจิ้ง แล้วก็ให้อ๋องเซ่อเจิ้งทำลายมือของเจ้าพระยาเซี่ยซะ วันนี้ยังไงเจ้าก็ต้องขอโทษขมาอย่างเป็นทางการด้วยความจริงใจต่อเจ้าพระยาเซี่ยเสียให้จงได้”
คุณหนูใหญ่เย่เย่เจียหรงกล่าวด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม ทว่าน้ำเสียงของนางอ่อนโยน ให้ความรู้สึกต่อผู้ฟังราวกับว่าคิดแทนเย่จายซิงอยู่ก็ไม่ปาน
“พี่ใหญ่ถ้าชอบขอโทษก็ค่อยๆ ขอโทษไป หากไม่มีธุระอะไรแล้วข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ! เจ้าสารเลว เจ้าจะให้ข้าโมโหตายหรือไง?”
ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดของฮูหยินเฒ่าได้กลับมาเหมือนเดิมลุกขึ้นยืนแล้วตะโกนออกมา ทั่วทั้งหน้าเต็มไปด้วยความโมโห
ดวงตาของท่านพ่อพระยาดูมืดมน สะบัดมือปัดถ้วยน้ำชาตกไปแตกกับพื้น ทันใดนั้นในห้องโถงใหญ่ก็สงบขึ้นมา
เขากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า:
“ฮูหยินเฒ่า มือของซือห้าวเสียไปแล้ว หากจะเค้นให้ถึงรากก็เป็นเพราะตระกูลเย่ของพวกเจ้าสั่งสอนลูกหลานไม่ดี พวกเจ้าจะต้องมีคำอธิบายให้ข้า มิเช่นนั้น……”
สีหน้าของฮูหยินเฒ่าซีดเผือด นี่ท่านพ่อพระยาเซี่ยกำลังข่มขู่ตระกูลเย่ของพวกเขาอยู่
ทันใดนั้นเย่จายซิงก็กล่าวอย่างติดตลกออกมาด้วยเสียงสูงว่า:
“ในเมื่อเจ้าพระยาเซี่ยต้องการคำอธิบาย งั้นท่านย่าก็ให้ท่านพี่รองแต่งกับเจ้าพระยาเซี่ยไปสิ ท่านพี่รองทั้งอ่อนโยน มีเมตตา ใจกว้าง เพื่อความสัมพันธ์อันดีของสองตระกูล ท่านพี่รองจะต้องออกหน้าด้วยความเต็มใจอย่างแน่นอน และเห็นด้วยอย่างยินดียิ่ง ใช่มั้ยล่ะพี่รอง?”