ตอนที่ 175 – การฝึกตนภายใต้พันจิน
ผลการเรียนของยางยางที่โรงเรียนมัธยมปลายเมืองไห่อย่างมากที่สุดก็แค่กลาง ๆ ค่อนบน
ด้วยผลการเรียนนี้ ในโรงเรียนมัธยมปลายหลักของเมืองชั้นเอกที่นักเรียนเทพเดินอยู่ให้ทั่ว ไม่ถือว่าสะดุดตาเป็นพิเศษเลย
แต่ว่า ชื่อเสียงในโรงเรียนมัธยมของยางยางไม่เคยอาศัยผลการเรียนทว่าอาศัยออร่าอันแสบตายิ่งกว่าอย่างอื่น ตัวอย่างเช่นแชมป์ปีนเขาเร็วประเภทหญิงของ WEG, ตัวอย่างเช่นรองชนะเลิศประเภทหญิงงานยิงธนู MCG, ตัวอย่างเช่นอายุ 16 ปีข้ามมหาสมุทรอินเดีย, ตัวอย่างเช่นอายุ 17 ปีปีนยอดเขาเอเวอเรสต์จากเนินทิศใต้ของเนปาล
สำหรับนักเรียนส่วนใหญ่ เกียรติยศเหล่านี้ไม่ใช่ว่ามีความรู้ก็สามารถทำได้ ยังต้องการความกล้าหาญ
ตอนที่ยางยางอยู่มัธยมปลายเมืองไห่โดดเดี่ยวเดียวดายมาโดยตลอด อย่าว่าแต่เพื่อนผู้ชายเลย แม้แต่เพื่อนผู้หญิงก็มีไม่กี่คน
ต่อคนนอก มีท่าทางกีดกันคนแปลกหน้าไม่ให้เข้าใกล้ตลอดกาล
ตอนนี้ เด็กสาวอย่างนี้จู่ ๆ นั่งลงในห้องเรียน พูดกับชิ่งเฉินเหมือนเป็นเรื่องปกติมากว่า: นายต้องพาฉันกลับบ้าน
นี่มันคำสองแง่สองง่าม* อะไรเนี่ย!
หนานเกิงเฉินอาจจะยังแค่ฟังเอาสนุก แต่ทว่าสำหรับหูเสี่ยวหนิวกับจางเทียนเจินซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนที่คุ้นเคยกับยางยางทั้งสองคนก็เป็นความรู้สึกอีกแบบหนึ่งแล้ว
“เมื่อกี้ยางยางพูดไรนะ” จางเทียนเจินเอ่ยอย่างงุนงง
หูเสี่ยวหนิว “เขาพูดว่า ให้ชิ่งเฉินพาเขากลับบ้าน”
“เมื่อกี้ยางยางพูดไรนะ”
หูเสี่ยวหนิว “……”
“ต้องฟังผิดแน่เลย” จางเทียนเจินเอ่ยอย่างหนักแน่น
พูดประโยคนี้จบแล้ว ทั้งสองจมอยู่ในความเงียบไปพร้อมกัน
พวกเขาย้อนนึกถึงสิ่งที่ยางยางเคยพูดกับพวกเขา: อย่ายั่วโมโหชิ่งเฉิน
ตอนนี้ดูพฤติกรรมของยางยางอีกที หูเสี่ยวหนิวและจางเทียนเจินครุ่นคิดขึ้นมาทันที
ทั้งสองคนล้วนตระหนักว่า ความเข้าใจที่ยางยางมีต่อชิ่งเฉินเหนือกว่าที่พวกเขาจินตนาการไว้ไปไกลลิบ
และความสัมพันธ์ของยางยางกับชิ่งเฉินก็เป็นเช่นเดียวกัน
ก๊วนกินแตงสามคนมองดูเงียบ ๆ ภายใต้แสงสายันต์ เด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินออกจากห้องเรียน จากนั้นผ่านหน้าต่างที่แสงสีทองวูบวาบในทางเดิน สุดท้ายหายลับไป
หูเสี่ยวหนิวย้อนนึกถึงฉากแรกสุดที่พวกเขาพบกับชิ่งเฉิน อีกฝ่ายก็หยิ่งทะนงและปฏิเสธผู้คนไกลเป็นพันลี้เช่นกัน
เขายังย้อนนึกถึงความสงบนิ่งและเยือกเย็นที่อีกฝ่ายแสดงออกมาตอนที่บิดาอยากขายบ้าน
เพื่อนนักเรียนคนนี้เหมือนจะแตกต่างกับคนอื่นตลอดมา
หูเสี่ยวหนิวลังเลแล้วมองไปทางหนานเกิงเฉิน “มีเพื่อนนักเรียนหญิงไล่จีบเพื่อนนักเรียนชิ่งเฉินไหม”
“ตอนม.สี่ยังมี แต่เขาสนยังไม่สน” หนานเกิงเฉินถอนหายใจเอ่ยว่า “ภายหลังพวกเพื่อนนักเรียนหญิงก็ยอมแพ้เงียบ ๆ กันหมดเลย”
หูเสี่ยวหนิวถอนหายใจเอ่ยว่า “ยางยางก็แบบเขาเลย”
เพียงแต่คนที่ไม่ยอมให้คนแปลกหน้าเข้าหาสองคนนี้ถึงกับสุมอยู่ด้วยกันอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก หรือว่านี่คือลบลบกลายเป็นบวกเหรอ
จนกระทั่งตอนนี้จางเทียนเจินยังไม่ฟื้นตัว “เมื่อกี้ฉันเห็นภาพลวงตาปะ”
“อาจจะ” หูเสี่ยวหนิวตอบ
ระหว่างทาง ยางยางเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับชิ่งเฉิน เอ่ยอย่างอยากรู้ว่า “เพื่อน นายมีนิสัยอย่างนี้มาตลอดเลยเหรอ”
“ถ้าเธอเรียกการมีความคิดเป็นของตัวเองว่านิสัย งั้นฉันก็เป็นอย่างนี้มาตลอด” ชิ่งเฉินคิดแล้วตอบไป “ถ้าฉันรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร คนอื่นก็ส่งผลต่อความคิดของฉันได้ยากมาก”
“ไม่ต้องสนความคิดของคนอื่นเหรอ” ยางยางอยากรู้
ชิ่งเฉินจู่ ๆ นิ่งเงียบไปเนิ่นนาน “ตอนเด็ก ๆ พวกเราฟังคำพูดของผู้ใหญ่เสมอ สวัสดีคุณลุงคุณป้า ช่วงตรุษจีนถึงจะอายอีกแค่ไหนก็ต้องแสดงโชว์ให้ทุกคน โตแล้วพวกเราจะสนใจความเห็นของคนรอบตัว มีคนรู้สึกว่าคุณหยาบคาย มีคนรู้สึกว่าคุณเห็นแก่ตัว คุณถูกพวกเขาจี้ให้เปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่สุดท้ายแล้วคุณค้นพบว่าตัวเองอันที่จริงแล้วไม่มีความสุขเลย”
เขามองเด็กสาว “ชีวิตคนหนึ่งคนไม่เคยเป็นการใช้ชีวิตเพื่อคนอื่น ความรู้สึกผิดและคำนึงถึงผู้อื่นความจริงแล้วเป็นพลังงานด้านลบชนิดหนึ่ง ส่วนความหัวแข็งและอีโก้ความจริงแล้วเป็นคุณความดีที่ถูกดูแคลนชนิดหนึ่ง”
ยางยางมองชิ่งเฉินแปลก ๆ “คนน้อยมากที่จะสามารถมีดุลยพินิจอย่างนี้”
เวลานี้ ชิ่งเฉินจู่ ๆ ถามว่า “เธอก็มาที่โรงเรียนภาษาต่างประเทศเมืองลั่วโดยมีจุดประสงค์ปะ”
“ทำไมถามอย่างนี้” ยางยางเอียงศีรษะแล้วกล่าว “คุยกับคนฉลาดเหมือนจะต้องระวังอยู่สักหน่อยจริง ๆ นะเนี่ย”
ตอนที่ถึงบ้าน ชิ่งเฉินกล่าวว่า “เจอกันพรุ่งนี้”
ยางยางบิดริมฝีปาก “ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวก็จะได้เจอหน้ากันอีกนะ”
ชิ่งเฉินกลับบ้านเพียงลำพังไปผัดผักหุงข้าว
เดิมทีเขาวางแผนแค่จะหุงข้าวสำหรับหนึ่งคน สุดท้ายคิดแล้วยังหุงเป็นสำหรับสองคน
ผัดผักเสร็จ ชิ่งเฉินปิดเครื่องดูดควันแล้วเริ่มนับในใจเงียบ ๆ 10 9 8 …… 3 2 1
ก๊อก ๆๆ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นนอกประตู
เขาเปิดประตูโดยที่ในใจไม่มีคลื่นลมสักนิด เพียงเห็นเด็กสาวข้างบ้านเปลี่ยนเป็นชุดอยู่บ้านแล้ว ดูลำลองเป็นพิเศษ
ยางยางที่ถือจดหมายหนึ่งฉบับยืนอยู่นอกประตู “คือว่า…..มีจดหมายของนาย”
ชิ่งเฉินพยักหน้ารับมา “จดหมายฉบับนี้เป็นของเมื่อไหร่”
“ของหนึ่งชั่วโมงก่อน” ยางยางกล่าว
เธอยื่นศีรษะไปสำรวจในห้อง กลับค้นพบว่าบนโต๊ะมีข้าววางอยู่สองถ้วย ตะเกียบวางอยู่สองคู่
สีหน้าเธอผ่อนคลายขึ้นมาทันที “ฉันก็ไม่ได้จะกินข้าวนายฟรี ๆ นะ ช่วยนายได้!”
“ช่วยอะไร” ชิ่งเฉินอยากรู้
“เดี๋ยวนายก็รู้แล้ว” ยางยางกล่าวอย่างลึกลับ
ประโยคนี้ทำให้ชิ่งเฉินประหลาดใจอย่างมาก คิดไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าอีกฝ่ายอยากจะทำอะไร
……
……
สามทุ่ม
ชิ่งเฉินเปิดจดหมายที่ยางยางเอามา เนื้อหาในจดหมายครั้งนี้เรียบง่ายมาก คือการบอกว่าเขาควรจะตอบจดหมายอย่างไร
บางทีอีกฝ่ายไม่ได้รับจดหมายตอบของชิ่งเฉินมานาน ดังนั้นในที่สุดคิดได้ว่าต้องแจ้งวิธีตอบจดหมายให้ชิ่งเฉิน
แล้วก็บางทีอีกฝ่ายหยั่งเชิงไม่สำเร็จ จึงตัดสินใจจะหว่านล้อมต่อไป
ล้วนมีความเป็นไปได้ แต่ทางเลือกที่ดีที่สุดของชิ่งเฉินคือไม่ตอบ พูดน้อยผิดน้อย
เขาถอดเสื้อเตรียมฝึกตน แต่ทว่าในขณะนี้เอง พลังงานอันไม่อาจบรรยายขุมหนึ่งจู่โจมเข้ามาอย่างไร้สภาพ บีบเค้นกระดูกและกล้ามเนื้อของเขา
ราวกับว่าใจกลางโลกมีสิ่งของอะไรที่ดึงดูดเขา บังคับให้เขายอมจำนนต่อผืนปฐพี
คือแรงโน้มถ่วง
ชิ่งเฉินตระหนักขึ้นมาในใจ
แรงโน้มถ่วงอันไร้สภาพนั้นเพิ่มขึ้นทีละนิดไม่หยุด จนกระทั่งจุดหนึ่งตอนที่ชิ่งเฉินรู้สึกว่ายากจะทานทนแล้ว ผู้ปล่อยพลังก็หยุดแรงโน้มถ่วงนั้นไว้ที่ระดับนี้พอดิบพอดี
“ฮู่!”
ลวดลายเปลวเพลิงเบ่งบานขึ้นมาบนแก้มของชิ่งเฉิน พันธนาการบนร่างของเขาก็เหมือนกับจะลดน้อยลงไประหว่างการหายใจเข้าหายใจออกนี้
ห้องข้าง ๆ มีคนถอนหายใจเบา ๆ คำหนึ่ง อย่างรวดเร็ว แรงโน้มถ่วงเพิ่มขึ้นจนถึง “จุดวิกฤต” ของเขาอีกครั้ง
“ที่แท้ นี่ก็คือความหมายของ ‘ช่วยสักหน่อย’“
อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองกำลังฝึกตน แล้วก็รู้ว่าตนเองทนทุกข์จากการขาดน้ำหนัก จึงช่วยตนเองสร้างสนามแรงโน้มถ่วงอันพิเศษเฉพาะขึ้นมา
สีหน้าชิ่งเฉินไม่แปรเปลี่ยนไปสักนิด ทว่าเริ่มฝึกตนเสมือนไร้เรื่องราว
เนื้อหาการฝึกตนวันนี้ของเขาไม่แตกกับแต่ก่อนเลย แต่ผลประโยชน์ที่ได้รับกลับโหดเป็นพิเศษ
ระหว่างหายใจ เขาถึงขนาดสามารถสัมผัสได้ถึงเอ็นโดรฟินที่วิชาหายใจนำมาให้ตนเองกำลังสะสมอย่างรวดเร็ว เอ็นโดรฟินอันมหัศจรรย์นั้นปรับอัตราการเต้นของหัวใจ, การจัดหาออกซิเจนในกระแสเลือด, และสภาวะของกล้ามเนื้อของเขาอย่างรวดเร็ว
กระตุ้นให้เขาเข้าใกล้สภาวะเล่นกีฬาที่สมบูรณ์แบบที่สุดของตนเองอย่างไร้ขีดจำกัด
การฝึกตนแบกน้ำหนักแต่ก่อนนี้ไม่เบาไปก็หนักไป
ณ ขณะนี้ การรับรู้ของชิ่งเฉินไม่เหมือนแต่ก่อนอย่างสิ้นเชิง แรงโน้มถ่วงที่อีกฝ่ายมอบให้ตนเองแทบจะเหมาะกับความสามารถทางกายของเขาอย่างสมบูรณ์แบบ
อีกทั้งสิ่งที่ไม่เหมือนกับการแบกน้ำหนักภายนอกคือ ขณะนี้เขากำลังอยู่ใน “ห้องแรงโน้มถ่วง” ที่แท้จริง
ก๊อก ๆๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
ชิ่งเฉินรู้สึกว่าแรงโน้มถ่วงบนร่างถูกปลดออกไปอย่างกะทันหัน รู้สึกเบาสบายอย่างไร้ที่เปรียบไปทั้งตัว
ความรู้สึกเบาสบายอันไม่อาจบรรยายชนิดนี้ผสมผสานกับความรู้สึกผ่อนคลายของเอ็นโดรฟิน ถึงกับทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่กในพริบตา แต่กลับรู้สึกสติแจ่มใจคึกคักอย่างยิ่งยวด
เขามองฝ่ามือและแขนของตัวเอง วิธีฝึกตนชนิดนี้ร่วมกับวิชาหายใจเหมือนจะมีผลอันน่าอัศจรรย์
ชิ่งเฉินเก็บวิชาหายใจ สวมเสื้ออีกครั้งแล้วจึงเดินไปเปิดประตู ยางยางจับจ้องเขา “ฉันยังนึกว่านายจะเปลือยท่อนบนซะอีก”
เด็กสาวก็สวมชุดนอนลายไดโนเสาร์สีฟ้าขนฟู ปกปิดตนเองอย่างมิดชิด
ชิ่งเฉินถามว่า “เธอค้นพบผ่านสนามพลังมาก่อนว่าฉันฝึกตนทุกวันใช่รึเปล่า”
“แน่นอน” ยางยางกล่าว
ชิ่งเฉินขมวดคิ้ว อีกฝ่ายประสาทสัมผัสสนามพลังเฉียบคมขนาดนี้ นั่นไม่ได้หมายความหรือว่าความเป็นส่วนตัวของตนเองถูกเพื่อนบ้านคนนี้ล้วงไปหมดแล้ว?
“วางใจ” ยางยางนั่งบนโซฟาอธิบายว่า “ประสาทสัมผัสสนามพลังไม่ได้สร้างภาพที่ชัดเจนขนาดนั้น สาเหตุที่ฉันสามารถตัดสินได้ว่านายกำลังฝึกตนเป็นเพราะว่าความผันผวนของสนามพลังของคนตอนที่ออกกำลังอย่างมีประสิทธิภาพสูงจะมีลักษณะที่ค่อนข้างชัดเจน”
“ยังไงก็ต้องขอบคุณล่ะนะ” ชิ่งเฉินคิดแล้วกล่าวว่า “ถ้าเธอสามารถช่วยฉันอย่างนี้ทุกวัน ฉันสามารถทำอาหารให้เธอทุกวัน”
นี่สำหรับเขาแล้วเป็นประโยชน์ที่จริงแท้แน่นอน
ถ้าเป็นคนทั่วไป อาจจะต้องให้เวลาเดือนสองเดือนจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงประโยชน์ที่การฝึกตนแรงโน้มถ่วงนำมา แต่เขามีวิชาหายใจ ความเปลี่ยนแปลงชนิดนี้ชัดเจนเกินไปแล้ว
ยางยางคิด ๆ ดู “เงื่อนไขทำอาหารนี่สามารถรับได้ แต่นายทำอาหารไม่อร่อยอย่างคนชั้นบนเลยอะ เป็นฉันที่ประเมินนายสูงเกินไป จะว่าไป สิ่งที่ฉันอยากรู้นิดหน่อยคือ เห็นชัด ๆ ว่ากลายเป็นผู้เหนือมนุษย์แล้วจะสามารถยกระดับพลังได้ตามธรรมชาติ ทำไมนายยังต้องใช้วิธีฝึกตนของคนทั่วไปอย่างลำบากลำบนด้วยล่ะ?”
ชิ่งเฉินไม่ได้ตอบคำถามนี้ เพราะนี่เป็นความลับ
………………………………….
* อันนี้คือต้นฉบับใช้คำว่า 虎狼之词 แปลตรงตัวคือ “คำแห่งเสือและหมาป่า” จากที่เรากูเกิ้ลดูมันเป็นแสลงอินเตอร์เน็ตที่หมายถึงคำพูดสองแง่สองง่ามนั่นแหละค่ะ ที่มามาจากซีรีย์พีเรียดจีนยุคฉิน ที่ไทเฮาชอบเอาม่านเตียงมาเปรียบเปรยกับเรื่องการเมือง แล้วยุคฉินเป็นประเทศที่ได้ชื่อว่าประเทศพยัคฆ์สุนัขป่า ก็เลยกลายเป็นมีมในจีนไปเลย ความหมายคือคำพูดที่มันมีความหมายแฝงไม่บริสุทธิ์อะ ถ้าฝรั่งจะมีเช่น กินกาแฟ ดูเน็ตฟลิกซ์ ประมาณนี้ เกาหลีก็เหมือนจะมีว่ากินมาม่ามั้งนะ? ส่วนของไทยเราเองเราดันไม่รู้สักคำเลยค่ะ (เอ๊ะยังไงนะตัวฉัน)
ตอนที่ 176 – สเปเชียลเอฟเฟกต์!