ตอนที่ 149 คล้ายสาดเกลือโปรยปรายไล่เสนียด

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ผู้มาก็เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดอีกเหมือนกัน รัศมีพลังไม่ต่ำทราม คุณลักษณะของมนุษย์อสูรหลอมรวมเป็นหนึ่ง พรสวรรค์สูงล้ำ

“อย่าบอกนะว่าข้าหลงเข้ามาในสวนสัตว์? ” ก้าวถอยหลังไปสองก้าวอย่างระแวดระวัง ซุนไป๋ไม่กล้าประเมินสัตว์โลกผู้น่ารักทั้งสองนี้ต่ำไป

“ไอ้แก่ ไม่ทันไรก็พูดจาม้าๆ รนหาที่ตาย! ”

สิ่งปลูกสร้างบนดินพลันสลายกลายเป็นผง

ประมุขโหวมือถือพลั่วเล่มโตพุ่งปราดมาจากทางซ้าย

สามกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด ล้วนเป็นยอดฝีมือที่ผนึกแกนวิญญาณออกมาแล้วทั้งสิ้น

ซุนไป๋ถูกรายล้อม กลั่นดวงธาตุขั้นแปด ตอนนี้ใช่ว่าจะมีเปรียบแล้ว

ซุนไป๋พลันต้องกัดฟันกรอด แค้นใจที่ประมุขจวงพูดไม่เป็นความจริง

สามกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดถูกกระตุ้นตอแยจนต้องออกหน้า ต่อให้เป็นเขาพิรุณเซียนก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก แล้วไฉนคนประเภทนี้ถึงมาโผล่อยู่ในตระกูลซูได้?

ตลอดทั้งเขาพิรุณเซียน ผู้ที่ทะลวงขั้นเจ็ดหรือกระทั่งขั้นแปดกลั่นดวงธาตุนับรวมกันแล้วยังมีไม่ถึงสิบ!

ซุนไป๋ที่กำลังร่นถอยต่อไปอีกหลายก้าวกลับสัมผัสได้ว่าทางด้านหลัง ถึงกับมีขุมพลังที่ทรงพลังไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าตนเลยแม้แต่น้อยโผล่ขึ้นมา

กลั่นดวงธาตุขั้นแปด!

ซุนไป๋ตาถลน ไม่อาจทำใจเชื่อได้ ฉับพลันรัศมีพลังของมันเป็นต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ปราศจากท่าทีสูงส่งเมื่อก่อนหน้าอีก

ล้อกันเล่น สี่คนประสานพลัง ไหนเลยจะมีที่ทางให้พลิกสถานการณ์ คิดไล่ล่าสังหารกลั่นดวงธาตุที่สามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติ ไหนเลยจะเป็นเรื่องง่าย ต่อให้เป็นเขาพิรุณเซียน ก็ยังไม่กล้าใช้กำลังสยบคน

สี่ประมุขห้อมล้อมซุนไป๋อย่างเหี้ยมหาญ โดยเฉพาะหลังจากที่ถูกประมุขน้อยเฉ่งใส่มาหมาดๆ สีหน้าคนทั้งสี่จึงอัปลักษณ์ยิ่ง ตั้งใจจะระบายโทสะใส่ซุนไป๋ผู้นี้แทน

ตระกูลจวงกระจ้อยร่อย ขุมกำลังยังนับว่าด้อยกว่าบรรพตสละฟ้าอยู่ส่วนหนึ่ง ฉินจิ่วเกอเชื้อเชิญประมุขจวงมาสามรอบห้าเที่ยว ไม่คาดอีกฝ่ายกลับทำตัวหยาบคายเช่นนี้ ส่งคนมากระตุ้นต่อมอย่างไม่กลัวตายซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วจะไม่ให้พวกมันบันดาลโทสะไหวหรือ

อย่างมากพวกมันก็ละทิ้งเมืองเทียนเอิน ไม่สนใจคลุกคลีอีก หรือเขาพิรุณเซียนจะกล้าบุกไปหาเรื่องพวกมันถึงถิ่นได้?

“ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นถึงอาวุโสขั้นหนึ่งเขาพิรุณเซียน พวกท่านทำเช่นนี้มีเจตนาใด? เขาพิรุณเซียนมีทั้งเผ่ามนุษย์หนุนหลังและกลั่นดวงธาตุขั้นแปดขั้นเก้าอีกมาก ยังหวังให้พวกท่านไว้หน้าข้าด้วย”

ซุนไป๋ไม่กล้าใช้คำพูดรุนแรงเกินไปนัก เจ้าสี่คนนี้หน้าตาอัปลักษณ์เกินไป กระทั่งไม่กล้าเงยหน้ามองดูด้วยซ้ำ

ประมุขหลิวแค่นเสียงด้วยโทสะ กระทืบเท้าจนพื้นดินแตกกระจาย “ตาแก่ อย่ามัวแต่พูด มาตัดสินกันด้วยกำปั้นดีกว่า ปู่เจ้าพร้อมแลกหมัดกับเจ้าแล้ว! ”

“ไร้เหตุผลสิ้นดี ถึงกับข่มเหงเขาพิรุณเซียนข้าขนาดนี้ ต่อให้เป็นแหวกชำระกายาแล้วยังไง? ” ซุนไป๋เองก็เดือดขึ้นมาแล้ว มันอุตส่าห์ประกาศฐานะออกไป ในหมู่สามเผ่าพันธุ์ มีใครหน้าไหนกล้าไม่ไว้หน้ามันบ้าง

ฉินจิ่วเกอเอาแตงกวาฝานโปะหน้าไปพลาง นวดแก้มนุ่มเนียนของตัวเองไปพลาง หยีตาแล้วเดินออกมา “ข้าเชิญประมุขจวงมารำลึกถึงความหลังร่วมกัน ตาแก่เขาพิรุณเซียนที่ไม่รู้โผล่มาจากรูไหนอย่างเจ้า อยู่ๆ เสนอหน้ามาทำอะไร? ”

ซุนไป๋โกรธจัดจนหนวดเครากระดิก แทบจะพุ่งเข้ามาบีบคอฉินจิ่วเกอให้ตายคามือไปเลย

หากคนที่พูดวาจาทำนองนี้ออกมาคือประมุขหยาง มันอาจจะพอกล้ำกลืนความอัปยศได้อยู่ ทำเป็นหูทวนลมปล่อยผ่านไป แต่คำพูดเช่นนี้ กลับดังออกจากปากของเด็กพิสุทธิ์ไพศาลผู้หนึ่ง ยากที่มันจะไม่ระเบิดโทสะ

“เหอะ” ฉินจิ่วเกอไม่มีความรู้สึกดีๆ กับเขาพิรุณเซียนมาแต่แรก

ตอนที่ตนได้ผลอู๋เลี่ยงสดมาครอง สี่ขุมอำนาจต่างรวมหัวกลุ้มรุมโจมตีพวกตน หากไม่ใช่เพราะอาวุโสใหญ่สยบพวกมันจนสิ้นท่า น่ากลัวว่าตนคงได้จบชีวิตใต้คมดาบไปแล้ว

“เจ้าไม่รู้จักข้า? ” ที่ว่าคนเราทุกคนต่างมีความขัดแย้งต่อกันนั้นนับว่ามีเหตุผลทีเดียว ฉินจิ่วเกอรู้สึกแปลกใจ เหมือนว่าในวันนั้นตนจะไม่เห็นคนผู้นี้อยู่ด้วย

ซุนไป๋แค่นเสียงออกมา หากก็ถูกประมุขหลิวและประมุขหยางหนีบขนาบไว้ตรงกลาง “เราผู้เฒ่าปิดด่านทำการหยั่งรู้มหาวิถีกลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุดมาสามสิบปี ไม่นานมานี้ถึงค่อยออกด่านมา”

ฉินจิ่วเกอพอได้ฟังก็ได้แต่เงยหน้าถอนใจ ไฉนถึงไม่มีคนในเหตุการณ์วันนั้นมาเชิดชูความยอดเยี่ยมของตนให้โลกรู้กันนะ

“ตาแก่นี่หน้าตาอัปลักษณ์สุดทนดู ประเคนหมัดให้มันสักคนละตุ้บสองตุ้บ ชดใช้ดอกเบี้ยที่เขาพิรุณเซียนของพวกเจ้าติดค้างปู่น้อยผู้นี้อยู่ก็แล้วกัน”

สี่ประมุขพอได้ฟังคำสั่ง ตาก็ทอประกายอย่างไม่มีเจตนาดี แทบจะลงไม้ลงมือในทันใด

พวกมันเผ่าพิสดารอันป่าเถื่อนไร้กฎหมาย ก็ไม่ต่างจากผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ถูกทั้งสามเผ่ากีดกัน อย่าว่าแต่เขาพิรุณเซียน ต่อให้เป็นขุมกำลังที่ทรงพลังกว่านี้พวกมันก็กล้าที่จะลงมือโดยปราศจากความกริ่งเกรงใดๆ

“ช้าก่อน! ” ถูกชายฉกรรจ์สี่คนรุมล้อม ซุนไป๋ก็เหงื่อแตกความกล้าหดหาย บางทีวันนี้ตนอาจได้กลบฝังอยู่ที่นี่ก็ได้

ดังนั้นจึงลอบส่งสัญญาณไปหาประมุขจวงที่อยู่นอกเมือง เขาพิรุณเซียนและตระกูลจวงเกี่ยวดองกัน พวกที่มียศสูงจึงมียันต์หยกสื่อสารติดตัวกันหมด หากเป็นกลั่นดวงธาตุขั้นแปดสองคนรับมือกับคนทั้งสี่ ยังพอขับเคี่ยวสูสีกัน

ฉินจิ่วเกอมีหรือจะไม่สังเกตเห็นลูกไม้ตื้นๆ ของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ไปขัดขวางอะไร

เพราะมันมั่นใจอยู่เจ็ดแปดส่วนว่ากำลังเสริมที่ซุนไป๋ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือไปหานั้นจะต้องเป็นคนที่มันรู้จักแน่

ขอเพียงพิสูจน์ได้ว่าคนที่ได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปในวันนั้นก็คือตัวมัน เมืองเทียนเอินก็คงเหลือคนเพียงหยิบมือที่ยังกล้าคิดร้ายกับมัน ไม่เชื่อก็ดูสามสุดยอดเมืองเทียนเอินเป็นตัวอย่าง

แถมตอนนี้บรรพตสละฟ้าก็กำลังป่าวประโคมเรื่องการกลับมาของบรรพชนเฒ่าเสียเยว่ และฉินจิ่วเกอก็คือศิษย์สายตรงของมัน

นั่นเป็นถึงผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกฎสรรพสิ่ง ต่อให้ตอนนี้ฉินจิ่วเกอไปเดินเฉิดฉายอยู่ในเมืองเทียนเอิน สี่ขุมอำนาจสูงสุดก็ยังไม่คิดขยับตัวบุ่มบ่าม

ประมุขจวงที่อยู่นอกเมืองพอได้รับสัญญาณจากหยกสื่อสารก็รู้ได้ทันทีว่าเกิดเรื่องร้ายขึ้น

ดูเหมือนว่าลางบอกเหตุของตนจะไม่พลาด ที่ตระกูลซูอันแสนกระจ้อยร่อยสามารถจัดการกับอาวุโสตระกูลมันครั้งแล้วครั้งเล่าก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่ผิดปกติมากแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายมีกลั่นดวงธาตุขั้นแปดอยู่ด้วย ซุนไป๋คิดปลีกตัวออกมาย่อมทำได้ง่ายๆ เหตุใดยังต้องขอความช่วยเหลือจากตนอยู่อีก

มีเพียงคำอธิบายเดียว ตอนนี้ตระกูลซูที่ว่าไม่ได้มีกลั่นดวงธาตุขั้นสูงอยู่แค่หนึ่งคนเท่านั้น!

ประมุขจวงกัดฟันเหินกายเข้าเมืองล่วนโต้วพลางคิดในใจ อย่างไรต้นเหตุของเรื่องก็ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง อย่างมากมันก็แค่ออกหน้าคลี่คลายเองก็คงลุล่วงไปได้ด้วยดี

ขณะที่ประมุขจวงกำลังประวิงเวลามายังตระกูลซู ฉินจิ่วเกอก็ละทิ้งความมีจรรยาธรรมทั้งปวงในยุทธภพไป ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาววาววับ “ช่างปะไร ก่อนอื่นก็คิดบัญชีเลยละกัน จัดการ! ”

“เจ้าหนู ข่มเหงกันเกินไปแล้ว เขาพิรุณเซียนของเราไปยุ่งเกี่ยวกับเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่! ”

ถ่วงศัตรูลงก้นแม่น้ำ จะภูติผีปีศาจแบบไหนก็ขจัดล้างได้หมด

พูดแบบเข้าใจง่าย พวกมากย่อมได้เปรียบ พวกน้อยย่อมถูกเล่นงานจนคางหักฟันร่วง คาดว่าในใจของสี่ประมุขขุนเขาคงไม่เหลือความละอายอยู่อีก สี่คนรุมโจมตี เล่นงานซุนไป๋เสียจนดาวขึ้นหัว

“ฝากไว้ก่อนเถอะ เขาพิรุณเซียนของเราย่อมไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่! ”

ซุนไป๋มือป้องศีรษะ สภาพน่าสังเวชสุดทนดู นับแต่ที่มันสำเร็จมหาวิถีดวงธาตุทองคำ มีครั้งไหนบ้างที่ต้องหมดสารรูปเช่นนี้

สี่ประมุขไม่ได้คิดที่จะฆ่าแกงอีกฝ่าย แค่จะทุบตีจนอีกฝ่ายหน้าดำหน้าเขียวเอาให้แม้แต่บุพการียังจำไม่ได้เท่านั้น ตราบใดที่เขาพิรุณเซียนไม่ได้สติฟั่นเฟือน พวกมันย่อมไม่กล้าแตกหักกับบรรพตสละฟ้าแน่

ทุกคนในที่นี้ต่างก็มาจากเขาบรรพตเหมือนๆ กัน สมควรที่จะรักใคร่ปรองดองกัน แม้จะไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ยิ่งกว่าคนในครอบครัวเดียวกัน

เพี๊ยะ ผลัวะ พลั่ก!

จากที่เคยเป็นสีขาว คิ้วและหนวดเคราของซุนไป๋ในเวลานี้กลับกลายเป็นสีแดงไปแล้ว เลือดกำเดาไหลจ๊อก

“อ้ากก เจ้าหนู เจ้าไม่ตายดีแน่ คอยดูเถอะ เขาพิรุณเซียนต้องจับเจ้ามาถลกหนังเลาะเส้นเอ็นทั้งเป็นแน่” แม้ไม่กล้าพูดว่าสามารถฆ่าสี่กลั่นดวงธาตุพวกนี้ได้ แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นมดปลวกพิสุทธิ์ไพศาลนี่ละก็ ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก

รังแกคนอ่อนแอ หวาดกลัวคนเข้มแข็ง นี่คือสัจธรรมของมนุษย์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

ฉินจิ่วเกอยกมือทาบอก “ตายแล้ว กลัวจังเลย สี่ประมุขขุนเขา อย่าได้ออมแรงเด็ดขาด เอาให้ร้องขอชีวิตไปเลย”

สมาชิกตระกูลซูต่างก็ถอยมาตั้งหลักอยู่วงนอกนานแล้ว ไม่กล้าโผล่หัวออกไปร่วมวง ยอดฝีมือที่ก่อนหน้ายังทำตัวสูงส่งไม่เห็นหัวใคร ตอนนี้กลับถูกทุบตีจนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต่อให้ขวัญกล้ากว่านี้ก็ยังไม่กล้าทำ

ประมุขหยางเห็นสีหน้าบูดบึ้งของฉินจิ่วเกอ ก็เลยเอ่ยประจบ “ประมุขน้อย ข้ามีไอเดียสุดบรรเจิดมานำเสนอ หลังจากจัดการเจ้าแก่หนังเหี่ยวนี่เรียบร้อยแล้ว ก็เอามันไปขังไว้ในส้วมสักแปดวันสิบวันจนกว่าท่านจะสาแก่ใจดีหรือไม่”

ซุนไป๋หน้าเขียว แม้แต่เส้นผมบนหัวยังเปลี่ยนเป็นสีเขียว “แผนการอุบาทว์ พวกเจ้ามันไม่ใช่มนุษย์! ”

“มารดาเจ้าเถอะ! ” ความจริงพิสูจน์แล้วว่าระดับไอคิวของประมุขหลิวจะพุ่งสูงเป็นพิเศษยามได้ประเคนหมัดวาดเท้า

พอสบโอกาส หมัดก็ร่วงกระหน่ำดั่งห่าฝน

ฉินจิ่วเกอกล่าวอย่างเห็นใจ “เหล่าหยางเอ๋ย ข้าอดที่จะมอบคำพูดสองประโยคนี้ให้กับเจ้าไม่ได้จริงๆ ที่เจ้าว่าจะเอายอดฝีมือกลั่นดวงธาตุผู้เกรียงไกรไปขังไว้ในส้วมสิบวันครึ่งเดือน ยังไม่สู้ฆ่ามันเลยจะดีกว่า แผนการของเจ้าชั่วร้ายเกินไป ข้ารับไม่ได้”

“มีเหตุผล! ” ซุนไป๋ที่กำลังเลือดตกยางออกตอบรับพร้อมประมุขหยาง

ฉินจิ่วเกอโบกมืออย่างใจกว้าง แล้วพูดในทำนองแม้ต่างวิธีการแต่ผลที่ได้ไม่ต่างกันว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว เอามันไปขังไว้ในหลุมถ่ายสักสามวันก็พอ มากไปก็ไม่ดี”

“ประมุขน้อยช่างปราดเปรื่อง ใช้ความดีกล่อมเกลาผู้คน! ”

“พวกเจ้าแน่จริงก็ฆ่าข้าเลยสิ” ไม่อาจทานรับความอัปยศไปมากกว่านี้ ซุนไป๋ผู้มีศักดิ์ศรีจึงทนต่อไปไม่ไหว “หากข้ารอดไปได้ ข้าจะต้องจับทารกน้อยเจ้ามาถลกหนังทั้งเป็นแน่คอยดู”

พรึ่บ!

ประมุขจวงเคลื่อนร่างวูบวาบมาได้ทันเวลา แต่พริบตาที่เห็นฉินจิ่วเกอ มันก็ต้องตะลึงจังงังไปโดยปริยาย ความรู้สึกนั้น เป็นความรู้สึกทำนองเดียวดายปีนป่ายขุนเขาตะวันตก สายลมโชยใบไม้แห้ง หวนคำนึงถึงวันวานกระไรเทือกนั้น

ฉินจิ่วเกอพลิกแผ่นดินหาทุกย่านน้ำพันขุนเขา จนในที่สุดก็ได้เจอจวงปี้ ปรากฏประกายไฟลุกโชนโชติช่วงไม่มีวันมอดดับขึ้น

“ข้าไม่รู้จักเจ้า ไปให้พ้นเลย” ฉินจิ่วเกอสะบัดชายเสื้อตระเตรียมจะจากไป

ประมุขจวงเผยสีหน้าขื่นขม รีบร้อนเข้ามารั้งชายเสื้อฉินจิ่วเกอไว้ “หยา นี่น้องฉินไม่ใช่หรือนี่ เจ้ามาถึงเมืองเทียนเอินแล้วไยไม่มาทักทายข้าบ้าง แถมยังทำลับๆ ล่อๆ ไม่ยุติธรรมเลย”

จวงปี้คาดไม่ถึงเลยว่าตัวเองจะได้เจอฉินจิ่วเกอ พอมาคิดดูก็ลงล็อค ต้นตอความชั่วร้ายอันเข้มข้นรุนแรงนั้น มีแต่จอมวายร้ายที่กำราบเฒ่าเรืองปัญญาลงได้จึงจะมีคุณสมบัติ

ผ่านด่านทั้งสาม นำพาผลอู๋เลี่ยงเดินจากไปอย่างไม่เห็นหัวใครท่ามกลางสายตาคนทั้งโลก

อาวุโสของมัน กดดันสี่ขุมอำนาจสูงสุดจนถอยร่น กระทั่งรับมือกับสามแหวกชำระกายาได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ

เป็นเพราะฉินจิ่วเกอเคยช่วยมันไว้ในนาวาเรืองปัญญา หลังกลับถึงตระกูลอย่างปลอดภัย จวงปี้จึงไม่ได้เข้าร่วมศึกแย่งชิงผลอู๋เลี่ยงในครั้งนั้น และก็เพราะเหตุนี้ ฉินจิ่วเกอถึงมีความประทับใจอันดีต่อประมุขจวง เป็นความประทับใจอันดีงามของทั้งสองฝ่าย

ฉินจิ่วเกอพอเห็นจวงปี้มีมารยาทถึงขนาดนี้ ในใจก็คิดว่าประมุขจวงผู้นี้ช่างน่าคบค้าสมาคมด้วย นอกจากเรื่องชื่ออันสาสมของมันเท่านั้น

ดวงอาทิตย์เป็นทรงกลม ดวงจันทร์เป็นทรงกลม แม้แต่โลกที่เรายืนอยู่ก็ยังเป็นทรงกลม

แล้วคนเราถือสิทธิ์อะไรถึงไม่ทำตัวให้กลิ้งกลมเป็นลูกมะนาวซะหน่อย

สีหน้าเย็นชาของฉินจิ่วเกอพลันหลอมละลายลงทันควัน มันรีบเข้าไปกอดประมุขจวงอย่างตื่นเต้นยินดี “ที่แท้ก็เป็นพี่จวงนี่เอง ดูเหมือนจะมีเนื้อมีหนังขึ้นนะเนี่ย มิน่าข้าถึงจำแทบไม่ได้”

จวงปี้ได้แต่ยิ้มขื่น หากมันรู้แต่แรกว่าคนที่ให้การคุ้มครองตระกูลซูคือฉินจิ่วเกอ มันก็คงเดินทางมาเองแล้ว ไยต้องวุ่นวายส่งตัวอาวุโสตระกูลมาสร้างปัญหาเพิ่มอีก

ในช่วงหมื่นปีที่ผ่านมา มีเพียงมันที่ได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปครอง พรสวรรค์และศักยภาพของเด็กคนนี้ ย่อมคู่ควรให้มันผูกไมตรีด้วย

“ข้ากับเจ้าต่างก็เป็นพี่น้องร่วมสาบาน เรื่องเข้าใจผิดเมื่อครู่ อย่าได้หยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกเลยเถอะ อาวุโสขั้นหนึ่งเขาพิรุณเซียนที่มาถึงก่อนหน้าข้า คือสหายที่ร่วมเดินทางมาเมืองล่วนโต้วด้วยกันกับข้าเองแหละ ไม่ทราบมันไปไหนแล้ว? ”

ท่าทีของจวงปี้ยามพูดคุยกับฉินจิ่วเกอมีแต่ความสุภาพอ่อนโยน นี่เองก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งของการมีบารมี

ฉินจิ่วเกอหัวเราะคิก นิ้วชี้ไปทางวงต่อสู้ที่กำลังชุลมุนกันจนฝุ่นกระจาย “ที่แท้เป็นอาวุโสขั้นหนึ่งจากเขาพิรุณเซียนนี่เอง มิน่าตอนมาถึงบ้านตระกูลซูใหม่ๆ ถึงได้ดูโดดเด่นสง่างามปานนั้น ที่แท้ก็เป็นผู้มียศฐานี่เอง”

“งั้นตัวคนไปไหนแล้ว? ” จวงปี้เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดี มันและฉินจิ่วเกอเคยใช้เวลาร่วมกันมา จึงรู้ไส้รู้พุงเจ้าเด็กตรงหน้านี้ดี คนอย่างมันอย่าได้ไปตอแยด้วยเด็ดขาด