ตอนที่ 95 ไปล่าหมูป่า

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 95 ไปล่าหมูป่า

เนื้อกวางแผ่นมีเท่าไร ข้ารับซื้อทั้งหมด ! สิ่งที่ร้านในตัวอำเภอขาดแคลนที่สุดคืออาหารรสเลิศที่ชวนให้ผู้คนตาเป็นประกายเช่นนี้และเขาก็หามันเจอแล้ว !

นางเฝิงหัวเราะเสียงเบาแล้วกล่าวว่า คุณชายไม่ถามเลยหรือว่าราคาเท่าไหร่ ?

หนิงตงเซิ่งเอ่ยอย่างไม่ลังเลว่า ราคาสามารถเจรจากันได้ ! เดิมทีเนื้อกวางมีราคาแพงอยู่แล้ว ยิ่งนำมาทำเป็นของแปลกใหม่ที่ไม่มีสิ่งใดเสมอเหมือนเช่นนี้ ราคาของมันต้องไม่ใช่ถูก ๆ อย่างแน่นอน ในตัวอำเภอมีเศรษฐีผู้มั่งคั่งมากมาย จะขาดก็แต่ของที่ทำให้พวกเขาเกิดความสนใจนั่นเอง

หนิงตงเซิ่งกล้ารับประกันได้เลยว่าด้วยรสชาติของเนื้อกวางแผ่น ต่อให้ราคาของมันสูงเพียงใดก็ต้องมีผู้คนถือเงินมาขอซื้ออย่างแน่นอน ! หากเขาโฆษณาอีกเล็กน้อย รับประกันเลยว่ามันจะกลายเป็นของขวัญสุดพิเศษที่คนร่ำคนรวยแห่มาซื้อติดไม้ติดมือไปฝากคนใหญ่คนโตแน่นอน !

ปัจจุบันราคาเนื้อกวางอยู่ที่ชั่งละ 100 อีแปะ หากนำมาทำเนื้อแผ่นตากแห้งก็ได้น้ำหนักประมาณ 1 ชั่งต่อเนื้อกวางสด 3 ชั่ง ไหนจะต้นทุนด้านเครื่องปรุงต่างต่างนานาอีก หากต้นทุนไม่ถึง 400 อีแปะก็คงแปลก…

แน่นอนว่าหนิงตงเซิ่งย่อมให้ราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว ข้าให้ราคาชั่งละ 600 อีแปะ ท่านมีความเห็นเช่นไรบ้าง ?

นางเฝิงตาเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อยเพราะในตอนแรกเสี่ยวเว่ยตั้งราคาไว้ที่ชั่งละ 500 อีแปะ แต่ราคาที่คุณชายหนิงให้คือมากถึง 600 อีแปะ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีผู้ใดไม่ตกลงบ้าง !

เนื้อกวางแผ่นจำนวน 30 ชั่งที่นางเฝิงนำติดมาด้วยสามารถขายได้ 18 ตำลึง รวมกับเงินที่ได้จากการขายลูกท้ออบแห้ง…เมื่อกลับถึงบ้านตระกูลหลินนางก็นำเงิน 53 ตำลึงวางไว้บนโต๊ะจนทำให้นางหวงและบุตรสาวคนโตถึงขั้นตกตะลึงตาค้าง

เงินค่าเนื้อกวางแผ่นรวมกับเงินส่วนแบ่งค่าลูกท้ออบแห้งแค่วันเดียวครอบครัวของพวกนางก็หาเงินได้มากถึงสามสิบกว่าตำลึงแล้ว นี่เป็นสิ่งที่พวกนางไม่กล้าแม้แต่จะคิดฝันหากเป็นเมื่อก่อน ! นางหวงตาแดงก่ำขณะรับเงินมา ในตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่ ครอบครัวของนางยังไม่เคยมีรายได้เข้ามามากมายเช่นนี้ !

นางจึงเอาพวกเงินอีแปะที่ไม่ครบตำลึงยื่นให้หลินเว่ยเว่ย เอาไปสิ ไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับเหมือนสตรีบ้านอื่นบ้าง อย่าเอาแต่แต่งตัวเป็นบุรุษเที่ยวเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วเลย

หลินเว่ยเว่ยรับพวงเงินอีแปะมาท่ามกลางสายตาอิจฉาของพี่สาว นางยัดเงินใส่กระเป๋าอกเสื้ออย่างไม่ใส่ใจพลางลูบศีรษะของเจ้าหนูน้อยแล้วถามอย่างเอาใจว่า น้องสี่ อยากกินอันใด ข้าจะซื้อให้เจ้าเอง !

ไม่ต้องซื้อหรอก ! เนื้อแผ่นที่พี่รองทำอร่อยกว่าทุกอย่างเลย ! เจ้าหนูน้อยเข้ามาออดอ้อนพี่รอง

หลินเว่ยเว่ยลูบจมูกของเขาด้วยความเอ็นดู เจ้าปากหวานเหมือนกันนะเนี่ย รู้หรือไม่ว่าเนื้อกวางแผ่นชั่งหนึ่งซื้อเนื้อได้ตั้งเท่าไร ? ได้ตั้ง 10 ชั่งเชียวนะ ! มันเพียงพอสำหรับซื้อเนื้อหมูติดมันได้ตั้ง 10 ชั่ง พอให้ครอบครัวของเรากินอิ่มได้ตั้งหลายวัน !

เจ้าหนูน้อยเห็นพี่รองทำท่าทางวาดรูปความใหญ่ของเนื้อหมู 10 ชั่ง เขาถึงกับอ้าปากค้างแล้วพูดขัดขึ้นว่า เช่นนั้นข้าไม่กินแล้ว เอาไว้ขายแลกเงินไปซื้อเนื้อ ทุกคนจะได้กินด้วยกัน !

นางเฝิงและนางหวงที่กำลังเคี่ยวผลไม้อยู่ก็ได้ยินสองพี่น้องคุยกันจึงหัวเราะออกมา นางเฝิงมองไปยังเนื้อกวางที่เหลือไม่มากจึงกล่าวด้วยความเสียดายว่า เท่าที่ข้าฟังคุณชายหนิงพูดมา เหมือนเขาต้องการทำสัญญาซื้อขายระยะยาวกับพวกเรา เพียงแต่…เราจะไปหากวางจำนวนมากมายเช่นนั้นมาจากที่ใด ?

หากไม่สามารถทำเนื้อกวางแผ่นได้ เราก็ยังสามารถทำหมูแผ่นหรือเนื้อกระต่ายแผ่นได้เช่นกัน… หลินเว่ยเว่ยยิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว

เจ้าหนูน้อยได้ยินเช่นนั้นก็ทำท่าราวกับแมวที่โมโหจนขนตั้ง ข้าไม่อนุญาตให้พี่รองฆ่ากระต่ายของข้า !

หลินเว่ยเว่ยดีดหน้าผากน้องชายอย่างเบามือ ลำพังแค่กระต่ายไม่กี่ตัวของเจ้าเอามารวมกันแล้วยังได้เนื้อกระต่ายแผ่นไม่ถึง 10 ชั่งด้วยซ้ำ ! ต่อให้เจ้ามอบให้ ข้าก็ไม่เอาหรอก !

เจ้าหนูน้อยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงอย่างนั้นปากของเขาก็ยังบ่นพึมพำว่า หากกระต่ายคลอดลูกออกมา ลูกของพวกมันก็จะเติบโตแล้วคลอดลูกกระต่ายอีกเป็นจำนวนมาก ในไม่ช้าฝูงกระต่ายของข้าก็จะมีมากถึงหนึ่งร้อยตัว ! พี่รอง ถึงตอนนั้นถ้าท่านอยากขายกระต่ายหรือนำไปทำเนื้อกระต่ายแผ่นก็ย่อมได้ !

เช่นนั้นตอนที่ข้าเชือดกระต่าย เจ้าก็อย่ามาร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วกัน ! หลินเว่ยเว่ยยังหยอกล้อน้องชายไม่เลิก

เจ้าหนูน้อยได้ยินก็มุ่ยปากแล้วกล่าวว่า ข้าไม่ร้องไห้หรอก ! ถ้ากระต่ายโตขึ้นก็สามารถนำไปขายแลกเงินได้ หรือว่าท่านจะเก็บมันไว้ทั้งหมด ?

นางเฝิงลองคำนวณตามในใจ ถ้าเป็นราคาของเนื้อหมูจะอยู่ที่ประมาณชั่งละห้าสิบถึงหกสิบอีแปะ เนื้อหมู 3 ชั่งสามารถทำหมูแผ่นได้ 1 ชั่ง เท่ากับว่าต้นทุนของหมูแผ่นไม่ถึง 200 อีแปะ แน่นอนว่าราคาของหมูแผ่นคงไม่อาจเทียบเคียงกับเนื้อกวางแผ่นได้ เมื่อหักลบต้นทุนแล้วก็คงเหลือสัก 100 อีแปะ ถ้าวันหนึ่งทำได้ 20 ชั่งก็จะมีรายได้ประมาณ 2 ตําลึงเท่านั้น !

แน่นอนว่าหลินเว่ยเว่ยไม่ได้คิดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าตอนนี้หมูป่าบนภูเขากลายเป็นภัยร้ายสำหรับชาวบ้าน พวกมันมักลงมาจากภูเขาเข้าเหยียบย่ำในแปลงนาของชาวบ้านจนพืชพันธุ์ได้รับความเสียหาย ยิ่งไปกว่านั้นมักทำร้ายชาวบ้านอีกด้วย หากนางสามารถนำพวกมันมาทำเป็นหมูแผ่นได้ก็ถือเป็นการช่วยลดภัยร้ายให้แก่ทุกคน!

วันต่อมา หลังจากรดน้ำในแปลงนาเสร็จแล้ว นางก็แบกกระบุงเดินขึ้นเขา ดูเหมือนว่าการที่หลินเว่ยเว่ยวิ่งขึ้นลงเขาทุกวันจะทำให้นางรู้จักพื้นที่ต่าง ๆ บนภูเขาละแวกใกล้เคียงเป็นอย่างดี ทำให้ในไม่ช้านางได้พบกับฝูงหมูป่ามากกว่าสามสิบตัวอยู่กลางหุบเขา

แน่นอนว่านางไม่ใจกล้าถึงขั้นเข้าไปท้าทายหมูป่าทั้งฝูงคนเดียว เพราะแม้แต่ฝูงมดยังสามารถกัดช้างให้ตายได้ แล้วหมูป่าที่มีพละกำลังมากมายมหาศาลจะทำไม่ได้เชียวหรือ ?

ดังนั้นนางจึงจัดการขุดหลุมกับดักขนาดมหึมาไว้กลางหุบเขา จากนั้นก็ปักไม้ไผ่ปลายแหลมไว้ที่ด้านล่างแล้วหาหญ้าและฟางมาคลุมไว้อย่างมิดชิด จากนั้นนางก็นำผลไม้ป่ามาจุ่มลงในน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณแล้ววางไว้บนหลุมพรางก่อนเดินจากไป

รอกระทั่งนางเก็บลูกท้อป่าและเด็ดผักป่าเสร็จแล้ว ตอนที่นางกลับมายังหลุมกับดักอีกคราก็พบว่ามีหมูป่าโตเต็มวัย 2 ตัวตกลงไปในหลุม พวกมันอาละวาดจนไม้ไผ่หักพัง

เห็นได้ชัดว่าเจ้าหมูป่าสองตัวนี้เป็นตัวใหญ่ที่สุดและมีนิสัยดุร้ายที่สุดในฝูง เช่นนั้นมันคงวิ่งมาแย่งกินผลไม้ป่าไม่ทันตัวอื่นและเรื่องจริงได้พิสูจน์แล้วว่าบางครั้งการมีพละกำลังแข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป เพราะไม่อย่างนั้นพวกมันก็คงไม่ต้องมาเป็น…หมูแผ่นของหลินเว่ยเว่ย !

หมูป่าตัวอื่นสังเกตเห็นถึงอันตราย พวกมันจึงวิ่งหนีไป หมูป่าโตเต็มวัย 2 ตัวที่ตกไปในหลุมจ้องมองมาที่นางด้วยความโกรธแค้น ทำให้นางไม่สามารถทำอันใดกับพวกมันได้ แม้ว่านางจะมีพละกำลังมากมาย แต่ร่างกายก็ไม่ได้ทำมาจากเหล็กเสียหน่อย หมูป่ามีเขี้ยวแหลมคมและใหญ่เพียงนั้น ถ้าปักโดนตัวนางขึ้นมาก็รับรองเลยว่าความเจ็บปวดจะเพียงพอสำหรับทำให้นางต้องนอนซมกินยาไปอีกหลายวันแน่นอน

หลินเว่ยเว่ยเป็นคนฉลาดมีไหวพริบ ในไม่ช้านางก็คิดวิธีออกอย่างรวดเร็ว นางหยิบผลไม้ป่าออกมาหนึ่งกำมือแล้วใช้น้ำพุวิญญาณล้างจนสะอาดและกัดกินไปหนึ่งลูก

เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้จริงด้วย ในไม่ช้าหมูป่า 2 ตัวก็หันมาจับจ้องผลไม้ป่าที่อยู่ในมือของนาง

นางลองโยนผลไม้ป่าลูกหนึ่งลงไปในหลุมกับดัก ทันใดนั้นดวงตาของหมูป่าสองตัวก็หันไปจับจ้องที่ผลไม้ป่าลูกนั้นเป็นตาเดียว พวกมันจ้องกันอย่างห้ำหั่นคล้ายว่ามีผู้ใดมากดหยุดเวลาเอาไว้

ไม่นานหมูป่าทั้งสองตัวก็กระโจนเข้าหากันอย่างบ้าคลั่ง พวกมันแสดงสัญชาตญาณนักล่าออกมาราวกับว่าหากไม่สามารถล้มอีกฝ่ายได้ก็จะไม่ยอมเลิกรา พวกมันต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย ในไม่ช้าหมูป่าที่ทั้งเหนื่อยและได้รับบาดเจ็บก็ล้มลงตรงก้นหลุม ไม่ไกลจากที่พวกมันล้มลงไปก็ยังมีผลไม้ป่าสีแดงวางอยู่ดังเดิม…

หลินเว่ยเว่ยจึงแบกกลับไปทีละตัว นางเลี่ยงใช้เส้นทางเข้าหมู่บ้านโดยเลือกที่จะเดินอ้อมไปยังป่าด้านหลังแทน

นางหวงได้ยินเสียงเคาะประตูดังมาจากหลังบ้าน นางจึงค่อย ๆ เปิดประตูอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นนางก็ได้เห็นหมูป่าตัวใหญ่ที่มีสภาพโชกเลือด นางจึงอยากเป็นลมเสียตรงนั้นให้ได้

ตอนต่อไป