บทที่ 23: การชุนนุมที่วิลล่าบนภูเขา

วันรุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์

หวังเต็งตื่นสายซึ่งนั่นก็เป้นเรื่องที่หายาก เขาเพิ่งลืมตาเมื่อเวลา 8.00 น.

แสงแดดข้างนอกหน้าต่างสาดส่องลงมากระทบใบหน้าของเขา หวังเต็งยกมือขึ้นเพื่อบังแสง และใช้เวลาในการทำความคุ้นเคยกับความสว่าง

“8.45 น.”

หวังเต็งเหลือบมองดูเวลา เขาลุกขึ้นจากเตียง แปรงฟัน และล้างหน้า จากนั้นเขาก็ลงไปข้างล่าง

ป้าเฉินและป้าลี แม่บ้านที่บ้านของเขาเริ่มทำงานแล้ว ป้าเฉินกำลังกวาดพื้นขณะที่ป้าลีกำลังปัดฝุ่น

วิลล่ามีขนาดใหญ่และกว้างขวาง แต่มันก็แลกมากับการทำความสะอาดที่ยาก ซึ่งมันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำความสะอาดวิลล่าทั้งหลังด้วยตัวคนดัยว

“ ลูกตื่นแล้ว มาทานอาหารเช้ากันเถอะ” หลี่ซิ่วเหม่ยพูดเมื่อเห็นเขา

“ แม่ ผมนอนตื่นสาย ทำไมแม่ถึงไม่ปลุกผมกัน?” หวังเต็งถาม

“ เมื่อวานลูกดูเหนื่อยมาก ดังนั้นแม่เลยไม่ได้ปลุกลูก และนี่มันก็วันเสาร์ ดังนั้นการตื่นสายสักหนึ่งหรอทสองชั่วโมงจะเป็นอะไรไป” หลี่ซิ่วเหม่ยตอบ

“ นายน้อยเปลี่ยนไปจริงๆ เขาทำงานหนักขึ้นเรื่อยๆเลยนะเนี่ย” ป้าลียิ้มและพูด

แม้ว่าป้าเฉินและป้าลีจะเป็นสาวใช้ แต่พวกเธอก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวของหวังเต็ง ในอดีต ไม่ว่าหวังเต็งจะขี้เล่นและอวดดีแค่ไหน แต่เขาก็ไม่เคยดูหมิ่นพวกเธอเลย

ซึ่งนี่ก็เป็นผลมาจากการสั่งสอนของหวังเฉินกั๋วและหลี่ซิ่วเหม่ย

เด็กเป็นภาพสะท้อนของพ่อแม่

“ ฉันได้ยินมาว่านายน้อยกำลังฝึกศิลปะการต่อสู้อยู่ ลูกชายของฉันก็เคยทำเช่นนั้นในอดีต แต่เขาไม่มีพรสวรรค์ เขาทำได้เพียงยอมแพ้ในท้ายที่สุด” ป้าเฉินเห็นด้วยและกล่าวต่อ

“ อย่าสรรเสริญเขาสิ ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเขาก็เหลิงอีกหรอก” หลี่ซิ่วเหม่ยยิ้มและตอบ

หวังเต็งรับประทานอาหารเช้าขณะพูดคุยกับสาวใช้ เขายังตอบข้อความของไป่เว่ยและหยูห่าวทุกครั้งที่ทำได้

หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็แจ้งหลี่ซิ่วเหม่ยและขับรถออกไป

ณ สถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ ชั้นสองของอาคารฝึกลูกศิษย์

หวังเต็งทักทายศิษย์ที่คุ้นเคยสองสามคน

“ อาเต็ง วันนี้นายมาสายนะ!” จางเส้าหยางหยุดการฝึกทักษะหมัดและเช็ดเหงื่อออกจากหน้าผากของเขา เขาดูเหมือนคนที่ฝึกมาได้สองสามชั่วโม

แล้ว

“ พอดีฉันนอนเกินไปและแม่ก็ไม่ปลุกฉันน่ะ” หวังเต็งพูดอย่างช่วยไม่ได้

“ ฮ่าฮ่าฮ่า คุณแม่ของทุกคนเหมือนกันหมด ถ้าฉันนอนมากเกินไป แม่ของฉันก็จะไม่ปลุกฉันเหมือนกัน” จางเส้าหยางตอบอย่างยิ้มๆ

หวังเต็งหัวเราะพลางส่ายหัว

“ โอเค ฉันมีเรื่องจะบอกนาย ฉันจะกลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงในเร็วๆนี้แล้ว”จางเส้าหยางกล่าวอย่างมีความสุข

“ โอ้ ยินดีด้วย แล้วนายจะเตรียมเลื่อนระดับเมื่อไหร่ล่ะ?” หวังเต็งตกใจอยู่ครู่หนึ่ง อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่พบว่ามันแปลก

ความสามารถของจางเส้าหยางนั้นใกล้เคียงกับของศิษย์นักสู้ขั้นสูงแล้ว และในอดีต เขาก็เคยคิดเอาไว้แล้วว่าอีกไม่นานจางเส้าหยางก็คงจะพัฒนาจนกลายเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูง

“ ฉันจะวอร์มร่างกายในตอนเช้าก่อนจะไปสอบ หากมันไม่มีอุบัติเหตุอะไร ฉันก็จะได้ไปที่ชั้นสามเพื่อฝึกซ้อมในตอนบ่าย” จางเส้าหยางตอบ

หวังเต็งพยักหน้าขณะที่เขาล้อเล่น “ มีคนที่ทรงพลังกว่าอยู่บนชั้นสามนะ อย่ายอมแพ้ล่ะ”

“ หืม จะเป็นอย่างงั้นแน่หรอ? หลังจากที่ฉันฝึกฝนไปได้สักระยะ เดี๋ยวฉันก็จะตามทันพวกเขาทันได้เองแหละ มาพูดถึงนายแทนดีกว่า อย่าให้ฉันรอนานเกินไปล่ะ รีบขึ้นไปเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงได้แล้ว ฉันคิดว่าฉันจะก้าวหน้าเร็วขึ้นเมื่อฉันได้ดวลกับนาย” จางเส้าหยางกล่าว

“ ก็ได้ ฉันก็ไม่อยากจะอยู่ตามหลังนายหรอก” หวังเต็งยิ้ม

ทั้งสองคุยกันอยู่ครู่หนึ่งและไม่นานก็เริ่มฝึก พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาเลย

ในตอนบ่าย หวังเต็งไปดูการทดสอบของจางเส้าหยาง การทดสอบทั้งหมดของเขาเกินเกณฑ์มาตรฐานแล้ว ดังนั้นเขาจึงประสบความสำเร็จในการเป็นศิษย์นักสู้ขั้นสูงและได้ไปที่ชั้นสาม”

หวังเต็งมีความสุขอย่างแท้จริง

ศิษย์นักสู้ชั้นสูง! ตอนนี้เขาเองก็เข้าใกล้การเป็นนักสู้ที่แท้จริงแล้ว!

แม้ว่าขั้นตอนนี้จะเป็นสิ่งที่ยาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ศิษย์นักสู้ทุกคนล้วนพยายามอย่างหนักเพื่อให้บรรลุ

อย่างไรก็ตาม เมื่อไหร่ฉันจะสามารถเป็นนักสู้ได้กัน?

ฉันหวังว่าฉันจะได้คัมภีร์การฝึกฝนทักษะพลังฟอร์ส!

น่าเสียดายที่มันยากเกินไป!

หวังเต็งครุ่นคิดอย่างเงียบๆ เขายังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี

หวังเต็งใช้เวลาที่เหลือในสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้ เขาเก็บฟองสบู่ค่าคุณสมบัติและฝึกฝนอย่างดุเดือดไปในเวลาเดียวกัน เขาไม่มีแรงแม้แต่จะแกล้งเจ้าอ้วนนั่นหวู่เหลียง

วันอาทิตย์ เวลา 9.00 น.

หวังเต็งยังคงฝึกซ้อมในสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้เมื่อเขาได้รับโทรศัพท์จากซูเจี๋ย

เขาบอกว่าในวันนี้มีการชุมนุม และพวกเขาก็จะสามารถพบเพื่อนได้มากมายทั้งจากครอบครัวเก่าและคนที่รู้จักกันดี ดังนั้นเขาจึงต้องการเชิญหวังเต็ง,ไป่เว่ยและเพื่อนคนอื่นๆของเขามา

ในตอนแรกหวังเต็งต้องการที่จะปฏิเสธข้อเสนอของเขา อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่สามารถต้านทานการจู้จี้ของซูเจี๋ยได้ เขารู้ดีว่าซูเจี๋ยจะต้องก่อกวนเขาต่อไปอย่างแน่นอนหากเขายังคงปฎิเสธ

ด้วยเหตุนี้เอง เขาจึงตอบรับคำเชิญอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี ดังนั้นมันจึงไม่เป็นการดีที่จะทำให้ซูเจี๋ยเสียหน้า

พูดกันตามตรงแล้ว เขาก็ไม่เต็มใจเท่าไหร่ที่จะต้องไปเข้าร่วมการชุมนุม เขาเคยไปงานเลี้ยงแบบนี้มาหลายครั้งแล้วในช่วงชีวิตที่ผ่านมา

ผู้ที่เข้าร่วมนั้นล้วนเป็นลูกเศรษฐีที่ร่ำรวยหรือลูกหลานของข้าราชการทั้งหมด และทุกคนก็มารวมตัวกันเพื่อกิน ดื่ม เล่น และรักษามิตรภาพของพวกเขา

เมื่อพวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถพึ่งพากันได้ และถ้าใครมีปัญหา พวกเขาก็จะสามารถช่วยเหลือกันได้

อย่างไรก็ตาม ในชาติที่แล้ว เมื่อครอบครัวของเขาตกต่ำ คนเหล่านี้กลับหลบหลีกให้ไกลที่สุด และไม่มีใครเต็มใจที่จะช่วยเขาจริงๆ

ในเวลานั้นเขาถึงเข้าใจดี

คนทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นเพื่อนกิน พวกเขาดูเหมือนพี่น้องกันเพียงผิวเผิน พวกเขาสามารถช่วยคุณได้เมื่อคุณมีปัญหาเล็กน้อยหรือไม่สำคัญ อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คุณก็จะไม่สามารถพึ่งพาพวกเขาได้เลย

“ ลืมมันไปเถอะ ฉันจะไปที่นั่นเพื่อทานอาหารและเครื่องดื่มดีๆก็แล้วกัน” หวังเต็งปลอบใจตัวเอง

เขาวางดาบและมีดที่เขาถืออยู่กลับเข้าไปในห้องเก็บอาวุธ จากนั้นเขาก็กลับไปที่บ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาเตรียมที่จะไปพบกับซูเจี๋ยและเพื่อนๆของเขาก่อน

“ แม่ ผมจะไม่กลับบ้านมาทานอาหารเย็นนะ ผมจะต้องไปรวมตัวกันในแวดวงของเรากับซูเจี๋ยและเพื่อนคนอื่นๆ” หวังเต็งบอกหลี่ซิ่วเหม่ย

“ ไปได้เลย มันเป็นการดีที่จะออกไปหาเพื่อนบ้าง ลูกฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกวัน แม่เองก็กังวลว่าลูกจะติดศิลปะการต่อสู้จนหาแฟนไม่ได้ในอนาคต…”

ทันทีที่เขาได้ยินหลี่ซิ่วเหม่ยพูดถึงแฟนสาวของเขา หวังเต็งก็รู้สึกว่าหัวของเขากำลังหมุน

เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกของผู้เป็นแม่ เขาก็รู้สึกว่าเธออาจจะกำลังวางแผนอะไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งหนีไปทันทีด้วยความตกใจ

“ นี่มันน่ากลัวมากจริงๆ!”

เมื่อหวังเต็งขับรถของเขาออกมาแล้ว เขาก็ยังคงมีความกลัวอยู่

20 นาทีต่อมา เขาได้พบกับซูเจี๋ยและเพื่อนๆของเขาที่สถานีเก็บค่าผ่านทางที่มุ่งหน้าไปยังภูเขาเป่าอัน

การชุมนุมนี้จัดขึ้นภายในวิลล่าบนภูเขาเป่าอัน

ว่ากันว่าครอบครัวของเจ้าบ้านนั้นมีอิทธิพลมาก และวิลล่าบนภูเขาแห่งนี้ก็เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขา

ทั้งสี่คนขับรถสองคันเข้ามา ไป่เว่ยกำลังนั่งอยู่ในรถของหวังเต็งขณะที่เธออธิบายสถานการณ์สั้นๆให้เขาฟัง

อย่างไรก็ตาม เธอเองก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก

ซูเจี๋ยขับรถไปข้างหน้าเพื่อนำทาง

หยูห่าวกำลังนั่งอยู่ในรถของเขา เขารู้สึกขมขื่นเล็กน้อย ตอนแรกเขาต้องการที่จะนั่งกับไป่เว่ยเพื่อที่พวกเขาจะได้สนทนากันตลอดการเดินทาง แต่ก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปากพูด ไป่เว่ยก็วิ่งไปที่รถของหวังเต็งซะแล้ว

รถสปอร์ตของหวังเต็งสามารถรองรับได้เพียงแค่สองคนเท่านั้น ในท้ายที่สุด หยูห่าวจึงต้องโยนความคิดของเขาออกไป

ภูเขาเป่าอันอยู่ที่ชานเมืองตงไห่ ถ้าพวกเขาใช้ทางหลวง พวกเขาก็จะไปถึงที่นั่นในครึ่งชั่วโมง

มันมีป้ายบอกทางเป็นระยะๆ พวกเขาตามพวกมันไปและออกจากทางหลวงแล้วขับขึ้นเนินไปตามถนนซีเมนต์

หลังจากหลายปีของการพัฒนา มันก็มีวิลล่าบนภูเขาและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านความบันเทิงมากมายที่สร้างขึ้นบนภูเขาเป่าอัน มันมีการสร้างถนนกว้างเพื่อให้สะดวกต่อการเดินทางมากขึ้น

การก่อสร้างถนนเกิดขึ้นได้เพราะภูเขาเป่าอันนั้นไม่ได้สูงมากนัก เพราะถ้ามันสูงเกินไป ถนนก็จะไม่สามารถไปถึงยอดได้

ป่าเขียวชอุ่มเรียงรายริมถนนและทาสีทิวทัศน์ที่สวยงาม เมื่อผสมกับเสียงนกร้องจิ๊บๆที่ดังเป็นครั้งคราวและเสียงของสายน้ำที่ไหลเข้าสู่หูของพวกเขา มันก็ทำให้คนที่ได้เห็นรู้สึกชุ่มชื้น,สดชื่นและทำให้อารมณ์ของผู้คนสว่างขึ้น