ลมหนาวพัดมา แม้ว่าจะไม่มีหิมะตก แต่อากาศก็ยังค่อนข้างแย่

บนหลังคาบ้านหอยสังข์ เอลีน่าที่ขดตัวเป็นก้อนจากความหนาวเย็น มองไปที่มนุษย์กบบนพื้นที่ยังคงอยู่ในท่าหมอบกราบด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ

ก่อนหน้านี้เอ็ดเวิร์ดได้มาหาเธอ และขอให้เธอนำทางมนุษย์กบให้กลายเป็นผู้ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งเกม เพื่อที่พวกเขาจะได้รับมือกับการโจมตีของชุมนุมลับดวงตาได้ดีขึ้น

เอลีน่าเองก็เห็นด้วยกับแผนการของเอ็ดเวิร์ด เพราะนอกจากมนุษย์กบจะแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่กลายเป็นผู้ศรัทธาของเทพเจ้าแห่งเกมแล้ว เด็กสาวเองก็มีความสุขที่เธอสามารถแพร่ขยายศาสนจักรที่เธอศรัทธาออกไปได้อีกหน่อย

ท้ายที่สุดเธอก็เป็นผู้ศรัทธาคนแรกในศาสนจักรของซีเว่ย หลังจากที่เขาย้ายเข้ามาในโลกใบนี้ และยังเป็นนักบุญของศาสนจักรเทพเจ้าแห่งเกมด้วย…แม้ว่าเธอจะยังอยู่ในระหว่างการฝึกฝนก็ตาม

แต่ถึงอย่างนั้น เอลีน่าก็ยังเด็ก ถึงเธอจะได้ออกไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดร่วมกับคนอื่น ๆ ในปาร์ตี้ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และนั่นทำให้เธอได้รู้อะไร ๆ มากขึ้น แต่สุดท้ายเธอก็ยังมีความคิดในแบบเด็ก ๆ อยู่ดี

ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่เอลีน่าจะกล่าวสุนทรพจน์ที่สร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนกับเจ้าหญิงนักรบคนนั้น…

เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง นั่นทำให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน

“ฮาคุน่า มาคร็อกคร็อก! ฮาคุน่า มาคร็อกคร็อก!”

สิ่งที่น่าปวดหัวยิ่งกว่านั้นคือเธอไม่รู้ว่ามนุษย์กบพวกนี้กำลังพูดอะไรอยู่ เธอเพิ่งจะรู้ว่าพวกเขาบูชาเธอด้วยเหตุผลบางอย่าง

หูของเด็กสาวเริ่มปวดจากการได้ยินเสียงดังอย่างไม่หยุดหย่อนของมนุษย์กบ เธอลุกขึ้นยืนบนบ้านหอยสังข์ที่สูงที่สุดในหมู่บ้านทันที

ลมเย็นยะเยือกที่พัดมาทำให้ผมสีเงินของเธอเป็นประกาย และด้วยแสงแดดอ่อน ๆ ที่สะท้อนมาจากด้านหลังทำให้เธอดูศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ

เด็กสาวชูมือขึ้นและตะโกนเสียงดังที่สุดเท่าที่เธอสามารถทำได้

“รัว!!”

เสียงตะโกนนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย เธอแค่หงุดหงิดและต้องการหาที่ระบาย

ถ้ามันมีความหมาย เด็กคนนี้คงจะกำลังพยายามขู่ว่าเธอนั้นน่ากลัวสุด ๆ รีบไปให้พ้นหน้าเธอซะ!’

โดยที่เธอไม่รู้เลยว่ารูปลักษณ์ที่น่ารักและการกระทำแปลก ๆ ของเธอ ควบคู่ไปกับเสียงตะโกนที่เรียบง่าย มันมีพลังในการล้างสมองมากแค่ไหน

พวกมนุษย์กบที่ได้ยินทำท่าเหมือนกับว่าพวกเขากำลังได้รับพรอันศักดิ์สิทธิ์ยังไงยังงั้น

หลังจากมองเธอสักพัก มนุษย์กบต่างก็เลียนแบบการกระทำของเธอและตะโกนว่า

“รัว! รัว! รัว!”

ฉากทั้งหมดกลายเป็นเรื่องน่าขบขันอย่างมาก ดูเหมือนมันจะไม่ใช่การอธิฐานต่อเทพเจ้าแล้ว แต่เป็นพิธีกรรมแปลก ๆ แทน

แม้แต่ปาร์ตี้ที่กำลังเฝ้ามองฉากนี้จากด้านข้างก็ยังพูดไม่ออก ทำไมมนุษย์กบเหล่านี้ถึงบ้าบอมากกว่าผู้เล่นที่สมองจำศีล…

เอลีน่า “…”

เมื่อเห็นมนุษย์กบที่ดูกระดี๊กระด๊ากว่าเดิม แสงในดวงตาเธอก็หม่นลงด้วยความสิ้นหวัง

ในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ ซีเว่ยที่ดูผู้เล่นมาพอแล้วก็ได้หันร่างทรงกลมของเขาไปรอบ ๆ และตัดสินใจที่จะทำงานของเขาต่อ เขาจะตัดความสัมพันธ์ของเทพกระดูกเน่ากับวิหารใต้พิภพโดยใช้อาวุธที่ทำจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของเขา

ซีเว่ยสร้างเลื่อยไฟฟ้าที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวเองและวางมันลงบนร่างของเทพกระดูกเน่าจนเกิดประกายไฟ…

ความจริงคือไม่ว่าเครื่องมือตัดจะหน้าตาเป็นยังไง เอฟเฟกต์ของมันก็เหมือนกัน นั่นหมายความว่าเลื่อยไฟฟ้าที่ทำจากพลังงานศักดิ์สิทธิ์จะไม่สามารถตัดได้เร็วกว่ากรรไกรตัดเล็บ เนื่องจากพลังของมันไม่ต่างกัน

เหตุผลเดียวที่ซีเว่ยใช้เลื่อยไฟฟ้าก็เพราะเขาคิดว่าอาวุธนี้เจ๋งและใช้ง่ายกว่า ทำไมเขาต้องสร้างกรรไกรตัดเล็บ เขาจะเอามันไปตัดตรงไหนได้บ้าง?

หลังจากที่เขาเลื่อยไปสักพัก หนวดของเขาก็หลุดเข้าไปในส่วนของร่างกายซึ่งน่าจะเป็นหัวของเทพกระดูกเน่า

“ไม่ถูกสิ!”

เขาโยนเลื่อยไฟฟ้าไปด้านข้างอย่างไม่สนใจ แล้วคิดทวนทุกอย่างอีกครั้ง

สิ่งที่ทำให้ซีเว่ยหยุดไม่ใช่เทพกระดูกเน่า แต่เป็นสถานการณ์ของเอลีน่ากับปาร์ตี้ต่างหาก

ก่อนที่จะอธิบายว่าอะไรผิด เราต้องรู้ลำดับชั้นของศาสนาในโลกนี้ก่อน

แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่บนยอดปิรามิดนั้นก็คือเทพเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเทพหลักหรือเทพผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

และชนชั้นที่ต่ำกว่านั้นหนึ่งระดับคือนักบุญและผู้ถูกเลือก บุคคลเหล่านี้สามารถจัดได้ว่าเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในศาสนจักร และถือว่าเป็นผู้รับใช้หรือแม้แต่อวตารของเทพ

จากนั้นก็เป็นประมุขของศาสนา ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดที่สมาชิกของศาสนจักรจะได้รับ ตราบใดที่ใครบางคนสามารถได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์ของเทพที่พวกเขาเคารพบูชา พวกเขาก็จะกลายเป็นชนชั้นระดับ 3 ได้

หลังจากนั้นชื่อเรียกก็จะแตกต่างกันไปตามศาสนจักร แต่ปกติจะถูกเรียกว่านักบวช พวกเขาดูเหมือนจะสูงส่งและมีอำนาจในสายตาของสามัญชน แต่ในความเป็นจริงนั้น พวกเขาก็เหมือนกับผู้ศรัทธาทั่วไปของศาสนจักร พวกเขาคือชนชั้นระดับ 4

แม้ว่าจะมีข้อยกเว้นอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วชนชั้นในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น

ยกตัวอย่างเช่นเออร์กัตที่ถูกผู้เล่นสังหาร เขาเป็นผู้นำของลัทธิกระดูกเน่าและกุมอำนาจทั้งหมดในลัทธิ แต่เนื่องจากเขาไม่มีคุณสมบัติวิเศษใด ๆ เขาจึงยังคงเป็นอัครมุขนายก และไม่สามารถเรียกตัวเองว่าประมุขของศาสนาได้

ในทางทฤษฎี เมื่อผู้ศรัทธาถวายการบูชาแก่บุคคลระดับ 3 ขึ้นไป เทพที่อยู่ระดับบนสุดจะสามารถได้รับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้

นั่นหมายความว่าหากมนุษย์กบคิดว่าเอลีน่าเป็นผู้ส่งสารจากพระเจ้า และให้การสรรเสริญและนมัสการเธอ ซีเว่ยก็น่าจะได้รับพลังศรัทธาตามทฤษฎี…

ซีเว่ยค่อนข้างสับสนกับเรื่องนี้ จริงอยู่ที่ว่าแม้ผู้ศรัทธาในศาสนจักรแห่งหนึ่งจะถูกหลอกให้สวดอ้อนวอนและบูชาเทพเจ้าองค์อื่น แต่ตราบเท่าที่ศรัทธาของพวกเขายังไม่เปลี่ยนไป เทพที่พวกเขาถูกหลอกให้บูชาก็จะไม่ได้รับพลังงานแม้แต่หยดเดียว

แต่นี่เป็นพื้นฐานสำหรับผู้ศรัทธาที่มีเทพประจำตัว

ผู้เล่นไม่รู้ว่ามนุษย์กบพูดว่าอะไร แต่เนื่องจากซีเว่ยเป็นเทพ เขาจึงมีความสามารถในการเข้าใจทุกภาษา ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ามนุษย์กบกำลังบูชาเทพเจ้าที่เรียกว่าเจ้าแห่งน้ำ

แต่ปัญหาคือเจ้าแห่งน้ำเสียชีวิตไปแล้วในสงคราม!

นั่นหมายความว่าคำอธิษฐานของมนุษย์กบไม่ได้เป็นของเทพองค์ใดเลย และในทางทฤษฎี ตราบใดที่พวกเขาบูชาเอลีน่า ซีเว่ยก็จะได้รับพลังงานจากพวกเขา

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซีเว่ยก็พยายามที่จะสัมผัสถึงพลังศรัทธาที่มาจากมนุษย์กบ แต่มันก็ไม่มี

“นี่มันอะไร เจ้าแห่งน้ำกำลังจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเหรอ นั่นเป็นไปไม่ได้ ความศักดิ์สิทธิ์ของเขาถูกทำลายไปแล้วนี่…”

มีมนุษย์กบจำนวนไม่มาก มันเป็นไปไม่ได้ที่เทพองค์ใหม่จะถือกำเนิดขึ้นมาจากหมู่บ้านเล็ก ๆ แบบนี้

แต่ไม่ว่ายังไง เมื่อมันก็เกี่ยวข้องกับเทพที่ตายไปแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก…

ดังนั้นการบุกโจมตีหมู่บ้านมนุษย์กบที่ซีเว่ยเคยมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ก็กลายเป็นเรื่องที่ลึกลับขึ้นมา