สวีหยางอี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เขาเห็นตัวหนังสือจากคัมภีร์ลอยออกมาก่อนจะเห็นมันลอยเข้าไปในหน้าคัมภีร์แสงสีทองกับตาตัวเอง และเห็นมันค่อยๆ ถูกจัดเรียงลงบนหน้ากระดาษ
แต่หลังจากมันถูกจัดเรียงเข้าไป ชื่อของมันกลับไม่เหมือนเดิม!
“หง่างเหง่ง…” อยู่ๆ เสียงระฆังก็ดังลอยมาจากที่ใดสักแห่ง
แว่วเสียงเปี่ยมด้วยท่วงทำนอง และในเวลาเดียวกันท้องฟ้าก็มืดลงฉับพลัน
ในเสี้ยวพริบตานั้น มีลำแสงสีเพลิงส่องสว่างออกมาจากดอกบัวดอกหนึ่ง จากนั้นก็มีน้ำมันไหลออกมา
ไม่ใช่แค่ดอกเดียว… แต่เป็นกับดอกบัวทุกดอกในบึงแห่งนี้!
“ฟู่ๆ…” เปลวเพลิงสีแดงฉานลุกโชนขึ้นบนท้องฟ้า เกิดเป็นเงาของเปลวไฟสะท้อนลงบนผิวน้ำทั่วบึง
สวีหยางอี้ไม่รู้สึกตกใจ เขามองคัมภีร์บนฟ้าอยู่นิ่งๆ
ปรากฏการณ์แบบนี้หมายความว่าคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรเล่มนี้เป็นคัมภีร์ที่ไม่สมบูรณ์งั้นเหรอ?
หรือว่า… ฉบับที่แท้จริงของมันคือราชาโอสถนิรันดร์?
หรือว่า… นี่อาจเป็นวิชายุทธเวทที่หายสาบสูญมาเป็นเวลาช้านาน?
คัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรเป็นวิชายุทธเวทขั้นจินตัน ถ้าอย่างนั้น… คัมภีร์ราชาโอสถนิรันดร์ฉบับสมบูรณ์จะเป็นคัมภีร์ขั้นอะไรกัน?
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก ในช่วงเวลาตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนมาจนถึงพิธีจบการศึกษา เท่าที่เขารู้ก็คือ ปัจจุบันไม่มีผู้สืบทอดศาสตร์การหลอมยาโบราณหลงเหลืออยู่แล้ว หรือว่าคัมภีร์วิชาเวทเล่มนี้… จะเป็นเวทหลอมยา หรือไม่ก็เวทเสริมพลังหรือเปล่า
ความสงสัยมากมายผุดขึ้นมาในหัวเขา หากออกไปได้ตอนนี้ เขาสามารถไปรับข้อเสนอมากมายตอนอยู่ในสนามประลองหนึ่งในใต้หล้าได้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า กล่องหยกปริศนาที่ถูกกระตุ้นขึ้นนี้ กลับทำให้เขาแทบไม่สนใจข้อเสนอพวกนั้นเลย
ขณะที่เขากำลังอ่านตัวหนังสือพวกนั้นดูอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็เกิดฟองอากาศจำนวนมากผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ!
“แย่แล้ว!” เขากัดฟันพลางหมอบตัวลงนอนบนใบบัว
เกิดเหตุบนผิวน้ำอึกทึกขนาดนี้ คงทำให้ปีศาจดึกดำบรรพ์ที่น่ากลัวตัวนั้นตื่นแล้วเป็นแน่!
“ซ่า!!!” หางปลาผงาดขึ้นเหนือผิวน้ำบดบังแสงอาทิตย์ หางปลายาวนับพันเมตรพลิกตัวขึ้นท่ามกลางบึงบัว เกล็ดปลาสีเขียวเลื่อมสะท้อนสีเหลือบรุ้งออกมาอย่างน่าพิศวงยามเมื่อต้องกับแสงสีเพลิง
เกรงว่าแบบนี้คงไม่ใช่สิ่งมีชีวิตบนโลกอย่างแน่นอน ต่อให้เป็นปีศาจตามตำนานเรื่องเล่าก็คงไม่มีตัวไหนมีขนาดใหญ่ขนาดนี้!
แสงสว่างจากดวงอาทิตย์ถูกหางปลาบดบังจนทาบเงาสีดำสนิทลงบนผิวน้ำ ใบบัวและดอกบัวจำนวนมากถูกหางปลาฟาดจนลอยขึ้นกลางอากาศ น้ำพุ่งกระจายสูงเป็นร้อยเมตร!
พญามัจฉาคุนเผิงกระโจนขึ้นเหนือผิวน้ำพลางสยายครีบกลางอากาศ
ขนาดตัวของมันใหญ่มากจนสวีหยางอี้รู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตตัวกระจิดริด ดวงตาเขาเบิกกว้างขึ้นทันที เพราะเขารู้ว่าประเดี๋ยวยามที่หางปลากระแทกผิวน้ำ ดอกบัวทั่วทั้งบึงจะต้องพุ่งกระจายลอยขึ้นเหนือฟ้าอย่างแน่นอน!
ราวกับตัวเขาในตอนนั้นเปรียบเหมือนใบไม้แห้งเหี่ยวท่ามกลางพายุฝน
“ตุบ…” ราวกับเสียงของหนักตกกระทบลงบนพื้นดังขึ้น สวีหยางอี้ลืมตาขึ้นทันที
ภาพที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าทั้งหมดสลายหายไป
“ตุบ… ตุบ…” เสียงหัวใจเต้นขึ้นอย่างรุนแรงราวกับเต้นอยู่ใกล้ๆ หู
“ซ่า ซ่า…” น้ำกระเซ็นตกลงมาคล้ายเม็ดฝน กระทบลงบนดวงตาและทั่วร่างกายเขาจนเปียกชุ่ม
“ปี๊นๆ …” เสียงแตรรถดังลอยมาไม่ไกล ชุดลายพรางที่เขาสวมใส่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่างกายทอนบนเปลือยเปล่า เขารู้สึกเจ็บบาดแผลดั่งไฟเผา ราวกับกระดูกทั่วทั้งร่างกายแตกสลาย ไม่เหลือเรียวแรงแม้แต่น้อย
นี่เป็นภูเขาเล็กๆ ข้างถนนทางหลวง
เป็นภูเขาที่มีต้นไม้ขึ้นอย่างเนืองแน่น ซึ่งตัวเขาในตอนนี้อยู่บนยอดเขาพอดี มองจากตรงนี้สามารถเห็นแสงวิบไหวจากไฟรถยนต์อยู่เต็มท้องถนนทางหลวง อีกทั้งยังมองเห็นแสงไฟจากเมืองที่อยู่ไม่ไกลนัก
ตึกรามบ้านช่องทรงต่ำละลานตา ไร้ซึ่งตึกสูงเสียดฟ้าแม้แต่หลังเดียว ดูจากแสงไฟในเมืองและประเมินจากฐานะที่เขาเป็นคนจากเมืองใหญ่อย่างเมืองเฟิงอี้แล้ว เกรงว่าประชากรที่เมืองแห่งนี้คงมีไม่มาก
“เฮ้อ…” เขาถอนหายใจออกมาอย่างใจหาย หัวใจเต้นระรัว สิ่งที่เกิดขึ้นราวกับปรากฏอยู่เบื้องหน้าเมื่อครู่นี้ เขายังจำภาพหางปลายาวเป็นพันๆ เมตรพลิกตัวขึ้นเหนือผิวน้ำได้อย่างชัดเจน ราวกับเป็นภาพของภัยพิบัติตามธรรมชาติก็ไม่ปาน
สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ราวกับอยู่คนละโลก
ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันแน่?
มันเป็นความฝันหรือภาพหลอนกันแน่?
หากเป็นความฝันจริงๆ แล้วทำไมตัวเขาเองถึงจำได้อย่างชัดเจนขนาดนี้?
แต่ว่าไม่สำคัญแล้ว
หลังจากตรวจสอบร่างกายตัวเองดูสักพัก ก็พบว่าทะเลลมปราณของตัวเองยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม พลังปราณสำรองก็แทบจะไม่เหลือ แต่กระสุนที่ติดค้างอยู่ที่อกหน้าหายไปเรียบร้อยแล้ว เขารู้ดีว่าสภาพตัวเองที่บาดเจ็บหนักขนาดนี้ แถมยังไม่มีพลังปราณเพียงพอต่อการรักษาร่างกายตัวเอง แม้อาจจะไม่ถึงตาย แต่อีกไม่นานคงเจ็บป่วยขนานหนักอย่างแน่นอน
เขากัดฟันนอนหงายตัวรับหยาดฝนที่ร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้ายามราตรี มุมปากพลันผุดยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย
“เหอะๆๆ…” ตอนแรก เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ “ฮ่าๆๆ!”
อย่างอื่นไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเขารอดชีวิตมาได้แล้ว
รอดออกมาจากเหตุการณ์สะเทือนขวัญราวกับนรกบนดินนั่น!
ผู้ฝึกตนขั้นจู้จี ขั้นเลี่ยนชี่ และคนธรรมดาหลายพันคนต้องล้มตาย นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในรอบสามสิบปีเลยก็ว่าได้!
แม้เขาจะรอดออกมาได้ แต่เขาก็ทุบตัวเองด้วยความเจ็บใจไปหนึ่งที
ความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าตัวเขายังมีชีวิตอยู่
“ซูด…” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที และรู้สึกว่าร่างกายค่อยๆ กลับมามีเรี่ยวแรงแล้ว อณูพลังปราณเริ่มไหลเวียนเข้าสู่ทะเลลมปราณ เขาหลับตาลง แต่ไม่ได้โคจรกำลังภายในแต่อย่างใด เขากลับเรียบเรียงความคิดทั้งหมดของตัวเองทันที
บรรดาอันดับหนึ่งจากสาขาย่อยแต่ละสาขาล้วนมีฝีมือที่ไม่ธรรมดา อย่างตัวสวีหยางอี้เอง เขาผ่านการต่อสู้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ทั้งถูกทิ้งท่ามกลางดงปีศาจ หรือไม่ก็ติดอยู่บนเกาะที่ไม่มีอยู่ในแผนที่มาไม่รู้กี่ครั้ง การฝึกฝนอันหฤโหดร่วมสิบกว่าปี ทำให้เขารับมือกับสถานการณ์ทุกรูปแบบได้เป็นอย่างดี
ตอนนี้เขาพยายามตั้งสมมุติฐานและหาเหตุผลให้กับเรื่องหนึ่ง
หากคัมภีร์ลับพรหมเทวสูตรเป็นแค่ส่วนหนึ่งของคัมภีร์ “ราชาโอสถนิรันดร์”…
แล้วยังถูกจัดให้เป็นสุดยอดวิชายุทธสูงสุดในโลกผู้ฝึกตน
แล้วคัมภีร์ราชาโอสถนิรันดร์ฉบับสมบูรณ์ มันจะมีที่มาที่ไปอย่างไร? แล้วจะถูกจัดให้อยู่ระดับไหน?
เขาอาศัยช่วงที่ยังจำทุกอย่างได้ดี นึกย้อนกลับไปถึงตัวหนังสือคำว่าราชาโอสถนิรันดร์ทุกตัวอักษร
หากสมมุติฐานเขาเป็นเรื่องจริง… ก็เท่ากับว่าเขากำลังถือกุญแจที่ทรงอำนาจที่สุดของโลกอยู่เลยก็ว่าได้!
อาจจะเป็นไปได้ว่า… นี่อาจเป็นวิชายุทธเวทที่ทรงพลังที่สุดในโลก ณ ตอนนี้!
เป็นพลังเวทที่เหนือกว่าขั้นจินตันขึ้นไปอีก!
โบราณกล่าวไว้ว่า ความสำเร็จมักเกิดจากการใส่ใจรายละเอียด ความร่ำรวยย่อมได้มาจากความเสี่ยง!
เดิมทีการฝึกตนก็เป็นเรื่องที่ท้าทายสวรรค์ หากมัวแต่ระวังหน้าระแวงหลังคงไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันแน่นอน!
ต่อให้มีโอกาสแค่เพียงน้อยนิด เขาก็จะไม่มีทางปล่อยมันหลุดมือไปเป็นอันขาด!
ขณะที่ความคิดเหล่านี้เพิ่งจะผุดขึ้นมานั้น แสงสีทองก็สว่างขึ้นภายในห้วงวิญญาณของเขาอย่างไม่มีสัญญาณบอกกล่าว
ตัวหนังสือสีทองค่อยๆ ผุดขึ้นมาในห้วงสมองเขาทีละตัว ประกอบเป็นคำว่าราชาโอสถนิรันดร์!
ดวงตาของสวีหยางอี้แน่นิ่งลงหลายนาที
ไม่นึกว่าคำว่าราชาโอสถนิรันดร์จะถูกสลักลงในห้วงสมองตัวเอง!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก รวบรวมสมาธิไปที่จุดตันเถียนพลางนั่งขัดสมาธิลง
“ตุบ…” เสียงของบางอย่างจากบนตัวเขาตกลงพื้น เมื่อเขาก้มมองก็พบว่ามันเป็นกล่องจิ๋วปริศนาที่เคยอยู่ในร่างกายเขาก่อนหน้านี้
เขามองมันด้วยสายตาหลากอารมณ์ เพราะมันเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทะเลลมปราณตัวเขาแผ่ขยายอย่างไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้อาจยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อย่างน้อยมันก็มอบพลังมหาศาลให้กับเขา แต่ว่าพลังที่มากล้น ผนวกกับระดับตบะที่สูงส่งเช่นนั้น ก็นับเป็นเรื่องน่ากลัว หากนำไปใช้ในทางที่ผิด!
ทว่ามันมันช่วยชีวิตเขาไว้ได้ในช่วงเวลาคับขัน
ตอนนั้นที่จูหงเสวี่ยตะโกนว่าอาวุธราชันย์ มันหมายความว่าอะไรนะ?
ของพรรค์นั้น… เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีกันแน่? เป็นของวิเศษหรือยาพิษ?
“แม้ฉันจะไม่รู้ว่านายเป็นอะไรกันแน่…” เขาคลี่ยิ้มพลางหยิบกล่องใบหนึ่งใส่กระเป๋า “แต่ว่าที่นี่ไม่ใช่โรงเรียนของนาย และฉันก็มีวิธีที่จะล่วงรู้ที่มาที่ไปของนายเป็นหมื่นวิธี”
เขาทอดสายตามองออกไป เห็นดวงไฟวิบไหวเป็นแถบ
แม้ม่านฝนอาจบดบังท้องฟ้า แต่ก็ไม่อาจบดบังแสงไฟจากเมืองได้
เสียงหักนิ้วตัวเองดังขึ้น เปลวไฟลุกโชติขึ้นในดวงตาเขา
ในโลกแห่งมนุษย์ภูมิใบนี้ ในที่สุดเขาก็เจอบทบาทที่แท้จริงของตัวเขาแล้ว!
ในฐานะนักล่าปีศาจ!
ในฐานะผู้แก้แค้น!
ในฐานะผู้ฝึกตน!
ในฐานะมนุษย์นามว่าสวีหยางอี้คนนี้
เขาไม่คิดจะทำสิ่งอื่นใด เพียงแต่นั่งขัดสมาธิหลับตาลงอย่างเงียบๆ สัมผัสความเย็นจากหยาดฝนที่กระทบลงบนผิว จนกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม เขาจึงยืนขึ้น
สำหรับขั้นเลี่ยนชี่ระดับต้น นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะปลีกวิเวกฝึกบำเพ็ญ แต่เมื่อถึงขั้นเลี่ยนชี่ระดับปลายเมื่อไหร่ เมื่อนั้นถึงจะเป็นเวลาที่หลุดพ้นจากชีวิตคนธรรมดาอย่างแท้จริง
“ฉันมาแล้ว…” เขากวาดสายตามองม่านฝนในยามราตรี มีเงามืดทะมึนจากต้นไม้รายล้อม “ระวังตัวให้ดีล่ะ เจ้าพวกปีศาจ”
ภายในทะเลลมปราณ พลังปราณอันเบาบางกำลังขดเคี้ยวม้วนตัว แม้จะฟื้นฟูพลังปราณได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่การโคจรพลังปราณท่ามกลางสายฝนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เขามองไปที่ตัวเมือง พลางนึกขึ้นใจใน “ได้เวลาพักแล้ว…”
ในตอนนี้เอง อยู่ๆ ต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังก็เคลื่อนตัวแยกออกเป็นสองฝั่ง ครั้นเขาหันหลังกลับไปมองก็พบว่ามีชายในชุดนักเรียนม.ปลายปรากฏอยู่ตรงกลาง
จะบอกว่าเป็นผู้ชายก็พูดได้ไม่เต็มปาก
หน้าตาอีกฝ่ายถือว่าไม่เลวเลย แต่หูของเขาเป็นทรงสามเหลี่ยมปลายแหลม ดวงตาสีเขียว รูม่านตาเป็นเส้นขีด
มือของเขาปกคลุมไปด้วยขนหนาสีดำ และเนื่องจากเขาทำท่ากึ่งอ้าปาก จึงเผยให้เห็นฟันเขี้ยวแหลมคมเป็นแถบ
เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายก็คิดไม่ถึงว่าจะมีมนุษย์อยู่ที่นี่ มันตะลึงอยู่พักหนึ่งก่อนส่งเสียงหอนของหมาป่าออกมา จากนั้นก็ใช้มือจิกพื้นพร้อมโก่งตัวราวกับจะพุ่งเข้ามา
สวีหยางอี้ไม่ขยับแม้แต่น้อย
เพราะท่าทางของอีกฝ่าย… ดูอ่อนแอจนน่าสังเวช
ต่อให้ตอนนี้เขามีพลังปราณแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ หากมันคิดจู่โจมขึ้นมาจริงๆ ตัวเขาก็สามารถจัดการไอ้ตัวที่อยู่ข้างหน้าได้ในเวลาไม่ถึงสามวินาที
วินาทีต่อมา ขณะที่เด็กชายเตรียมตัวพุ่งเข้าใส่ อยู่ๆ ก็หมอบตัวลงต่ำเหมือนกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เสียงหอนก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนเป็นเสียงอิดออดในลำคอ หางที่ตั้งขึ้นก็เริ่มส่ายระรัว
ขอให้ไว้ชีวิตงั้นเหรอ?
นี่เป็นท่าทางของมันที่แสดงออกมา
เหงื่อกาฬแตกพลั่กทั่วทั้งร่าง
ราวกับมันกำลังคิดว่า ในที่ที่ห่างไกลขนาดนี้ทำไมถึงมีผู้ฝึกตนชาวมนุษย์โผล่มาได้!?
เป็นยอดฝีมือจากอวี้หลินเว่ย? เจ้าหน้าที่พิเศษจาก CSIB? หรือเป็นพนักงานดูแลระดับสูงจากตู้มหาสมบัติ?! หรือเป็นพวกศาสตราจารย์ด้านปีศาจจากเทียนเต้า?
มันทำท่าเหมือนหัวใจแทบหลุดมาจากอก!
“ถือว่านายฉลาดไม่เบา” สวีหยางอี้มองเด็กชายที่กำลังหมอบตัวส่ายหางอยู่ไม่หยุด เขายิ้มเอ่ย “ฉันไม่ค่อยเป็นมิตรกับพวกปีศาจเท่าไร โดยเฉพาะตอนนี้”
เขาคลี่ยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน แต่เด็กชายที่หมอบอยู่บนพื้นกลับตัวสั่นเทา ก้มหันเสียจนหน้าจุ่มลงไปในแอ่งโคลน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่น้อย
“เจ้าปีศาจ รับอาวุธวิเศษฉันไปกินซะ!” ยังไม่ทันสิ้นสุดเสียงพูด เสียงตะโกนของเด็กหญิงก็ดังลอยมาจากพุ่มไม้
สวีหยางอี้หรี่ตาลง อาวุธวิเศษงั้นเหรอ?
คำนี้กระตุ้นความสนใจเขาไม่น้อย ยังไม่ถึงขั้นจู้จีแท้ๆ ทำไมถึงใช้อาวุธวิเศษได้?
พลังปราณของเธอเหมือนกับเจ้าหมาป่าอ่อนแอตัวนี้ไม่มีผิด
กระบี่ไม้ผุๆ พังๆ ที่ติดยันต์ทำลายปีศาจราคาสามร้อยหยวนของตู้มหาสมบัติพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างงกๆ เงิ่นๆ ราวกับยายแก่ พร้อมกับพลังปราณที่แผ่วเบาราวกับลมพัด