ตอนที่ 150 ชมละคร

ตอนที่ 150 ชมละคร

หนานกงหลี “โอ๊ะ นี่ไม่ใช่คุณชายจากจวนเซวียนผิงโหวหรอกหรือ หน้าของเขาบวมเหมือนหัวหมู เหตุใดถึงได้ถูกทุบตีอย่างน่าสงสารเช่นนั้น จิ๊จิ๊…”

แม้ปากจะบอกว่าเห็นอกเห็นใจ แต่สีหน้ากลับไม่ได้เป็นเฉกเช่นคำพูด

เสี่ยวเป่าเอียงศีรษะ “เซวียนผิงโหว?”

ชื่อนี้ฟังดูค่อนข้างคุ้นหูอยู่บ้าง

“ครอบครัวฝั่งมารดาพี่รองของเจ้าอย่างไรเล่า”

เสี่ยวเป่าจำได้ทันทีว่า ลูกพี่ลูกน้องของพี่รองเป็นคนที่เคยรังแกนางมาก่อน

ในตอนนั้นเอง เสียงโต้เถียงระหว่างสองฝ่ายก็ดังขึ้น

“จี้ไหว เจ้าคนสารเลว ไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหน กล้าดีอย่างไรมาแย่งคนที่ข้าชอบ!”

หลี่ฮ่าวฉุน คุณชายตระกูลหลี่จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมปนสาปแช่ง

ส่วนอีกด้านหนึ่ง ชายในอาภรณ์สีครามคลี่พัดในมือพลางมองเขาด้วยรอยยิ้ม

“พูดว่าข้าแย่งไปได้ด้วยหรือ หากเราทั้งคู่ยืนข้างกัน แม้แต่คนสายตาสั้นก็ยังรู้ได้ว่าสมควรจะเลือกผู้ใดมากกว่า”

ทั้งสองช่างแตกต่างกันอย่างไม่สมควรเอามาเปรียบเทียบ ผู้หนึ่งเป็นหนุ่มรูปงาม ส่วนอีกคนราวกับถูกเลี้ยงดูอย่างอุดมสมบูรณ์จนอ้วนท้วน ไม่ต้องถามถึงเรื่องบุคลิกท่าทางที่ไม่เอาไหนและยังดูหื่นกระหาย มองปราดเดียวก็รู้ว่าใช้ไม่ได้

จริงอยู่ว่าแม้คนสายตาสั้นก็ยังรู้ว่าควรจะเลือกผู้ใด

“ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้ยังเทียบกับสิ่งที่คนจวนเซวียนผิงโหวของเจ้าทำไม่ได้เลยสักนิด พี่สาวเจ้านับว่าช่างกล้าเสียจริง ๆ แม้พี่ชายของข้าจะหมั้นหมายไปแล้ว แต่นางก็ยังไม่อาจหยุดความปรารถนาที่อยากจะได้เขามาเป็นสามีอยู่ดี”

ดวงตาของจี้ไหวเย็นเยียบ “คุณหนูของจวนเซวียนผิงโหวจะจุ้นจ้านวุ่นวายเรื่องการแต่งงานของผู้อื่นไปถึงเมื่อใดกัน?”

หลี่ฮ่าวฉุนมีน้ำโหขึ้นมาในทันที “ตระกูลหลี่ของข้าไปชอบตระกูลจี้ของเจ้าก็เพราะไว้หน้าพวกเจ้า อย่าทำตัวไร้ยางอายเกินไปหน่อยเลย!”

จี้ไหวกำหมัด “วันนี้ข้าจะให้ทุกคนได้รู้ว่าใครกันแน่ที่ไร้ยางอาย พวกคนจากจวนเซวียนผิงโหวนี่สุดยอดจริง ๆ รู้ทั้งรู้อยู่แล้วว่าพี่ชายข้าหมั้นหมายกับสตรีอื่น แต่คุณหนูตระกูลหลี่ของเจ้าก็ยังกล้าไปถึงจวน เพื่อขอให้พี่ชายของข้ายกเลิกการหมั้นแล้วแต่งงานกับนาง เหอะ นางคิดว่าตัวนางวิเศษวิโสมาจากที่ใดกัน!”

หลี่ฮ่าวฉุนตะโกนอย่างเดือดดาล “อยู่เฉยทำไมเล่า จัดการมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!”

เพียงชั่วพริบตา คนทั้งสองฝั่งก็เริ่มต่อสู้กันอีกครั้ง

ถึงอย่างนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าจี้ไหวเป็นต่อกว่า ผู้คนที่เขานำมาล้วนแต่พละกำลังมากกว่าคนของหลี่ฮ่าวฉุน จึงพอจะเห็นได้ชัดว่าฝ่ายไหมถูกเล่นงานมากกว่ากัน

“องครักษ์จินอู่*[1]มาแล้ว!”

ไม่รู้ว่าผู้ใดตะโกนขึ้นมา ทำให้คนที่มามุงดูและคนของคุณชายบางส่วนรีบแยกย้ายกันในทันที

ในที่สุด ทั้งหลี่ฮ่าวฉุนและจี้ไหวก็ถูกจับกุมทั้งหมด

จี้ไหวยังดูนิ่งขรึมและทำความเคารพผู้องครักษ์อย่างใจเย็น

“เอาตัวไป”

จี้ไหวเพียงแค่เดินออกไปอย่างไร้ซึ่งการขัดขืน อย่างไรบิดาก็พาเขาออกไปได้อยู่ดี

ทว่าหลี่ฮ่าวฉุนกลับโกรธเป็นอย่างมาก “ปล่อยข้านะ เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเป็นใคร จับข้าได้อย่างไร ปล่อยข้า!”

“คุณชายหลี่ ไม่ว่าท่านจะเป็นใครก็ต้องไปกับเราเดี๋ยวนี้”

ไม่ว่าเขาจะโวยวายอย่างไร ก็ถูกลากออกไปทันทีหลังกล่าวจบ

หนานกงหลีและเจี่ยเจินดูสนใจอยากจะติดตามชมละครต่อ

“ท่านอ๋อง องค์หญิง ฝ่าบาททรงรออยู่นะพ่ะย่ะค่ะ”

เจี่ยเจิน “อะไรก็มาหยุดข้าจากละครสนุก ๆ เช่นนี้ไม่ได้! ไปเร็วเข้า”

ดวงตาของหนานกงหลีก็ทอประกายเช่นกัน “เร็วเข้า ตามไปดูกันเถอะ!”

เสี่ยวเป่าเองก็ดวงตาเปล่งประกายไม่ต่างกัน

คนขับรถม้า “…”

ทำเช่นนี้จะดีจริง ๆ หรือ?

“เอ่อ…แม้ว่าสองคนนั้นจะถูกจับกุมไปแล้ว แต่พวกเขาน่าจะไม่ได้ถูกสอบสวนในทันที ต้องรอดูจนกว่าจะถูกระบุตัวตน…”

หนานกงหลีเดาะลิ้นอย่างเสียดาย “จริงอย่างที่เจ้าว่า ถ้าอย่างนั้นก็กลับวังเถอะ เราอาจจะเจอคนที่พอจะบอกเรื่องนี้กับเราได้ อย่าลืมบอกข้าถ้าการพิจารคดีเริ่มขึ้นแล้ว”

คนขับรถม้า “…พ่ะย่ะค่ะ”

ยามนี้สายแล้ว คาดว่าจะต้องไปถึงพระราชวังช้ากว่าที่นัดหมายเอาไว้

แต่หนานกงสือเยวียนไม่ได้มีคำถามอะไร เขาเพียงให้เจี่ยเจินจับชีพจร

“กู่ภายในพระวรกายปั่นป่วนเล็กน้อย เมื่อถึงยามพระจันทร์เต็มดวงจะยิ่งสร้างปัญหาให้ฝ่าบาทอีก ดังนั้นพระองค์ควรจะต้องหาวิธีระงับมัน”

ระหว่างที่กล่าวนั้น เขาก็มองไปทางเสี่ยวเป่า “ไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องใช้เลือดของเสี่ยวเป่า”

สีหน้าของหนานกงสือเยวียนแปรเปลี่ยนไปในบัดดล เขาปฏิเสธออกมาโดยไม่ต้องคิด “ไม่!”

เสี่ยวเป่ากลับกระตือรือร้น ยกมือป้อม ๆ ของนางขึ้นมา “เสี่ยวเป่าทำได้!”

“เจ้าจะทำได้อย่างไร รู้หรือไม่ว่าการเอาเลือดออกมามันเจ็บเพียงใด?”

หนานกงหลีเองก็ทุกข์ใจไม่แพ้กัน เขาไม่อยากให้เสี่ยวเป่ามีเลือดออก “มีวิธีอื่นอีกหรือไม่ อย่าบอกนะว่าไม่ เจ้าเป็นหมอปีศาจที่ไม่ว่าอะไรก็เป็นไปได้ไม่ใช่หรือ”

แววตาของเจี่ยเจินมีความลำบากใจ “ข้าเป็นหมอไม่ใช่ปรมาจารย์ด้านกู่”

“มันไม่ได้เหมือนกันหรอกหรือ มีคำกล่าวว่าโอสถกับพิษก็ล้วนร่วมตระกูลกันไม่ใช่หรือ”

“พิษทั่วไปกับกู่นั้นต่างกัน หากท่านไม่เข้าใจก็อ่านตำราให้มากกว่านี้ อย่ามาทำอวดรู้ เพราะมันใช้ไม่ได้!”

“เจ้าเป็นเช่นนี้อีกแล้ว เพียงแค่อธิบายก็ยังต้องหันมากัดข้า!”

เสี่ยวเป่าเข้ามาห้ามทัพระหว่างทั้งสองอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวเป่าไม่กลัวเจ็บ”

หนานกงสือเยวียนลูบหัวเล็ก ๆ ของเด็กน้อย “เจ้าน่ะหรือไม่กลัวเจ็บ”

เสี่ยวเป่าคิดว่า เพราะนางเคยไปหาท่านพ่อตอนที่ได้รับบาดเจ็บ ท่านพ่อจึงดูไม่เชื่อถือหลังจากที่นางเอ่ยออกมาเช่นนั้น

เจี่ยเจินกลอกตาอย่างไม่พอใจ “ข้าเข้าใจว่าท่านทั้งสองรักเด็กคนนี้มาก ข้าเองก็เป็นอาจารย์ของนางจะกล้าทำร้ายนางได้อย่างไร เลือดเพียงสองสามหยดก็เพียงพอแล้ว”

หนานกงหลีขัดขึ้น “แค่ทิ่มที่ปลายนิ้วก็เจ็บเหมือนกัน”

เจี่ยเจินมองด้วยสายตาทิ่มแทง

เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “เสี่ยวเป่าสามารถช่วยระงับพิษที่อยู่ในพระวรกายของฝ่าบาทได้ แม้ข้าจะยังไม่รู้เหตุผลก็ตาม แต่การใช้เลือดของนางนับเป็นทางที่ดีที่สุดแล้วในตอนนี้ ทว่าข้าก็ยังพอมีทางอื่นอยู่”

ทุกคนจ้องเขาเป็นตาเดียว “ทางไหนเล่า”

เจี่ยเจินประสานมือเข้าหากัน “ทำให้หมดสติไปชั่วคราว จากนั้นก็ล่ามด้วยตรวนที่แข็งแรงที่สุด ขังเอาไว้อย่างแน่นหนา พวกท่านเลือกทางนี้ได้”

ทุกคน “…”

หนานกงหลีชำเลืองมองฮ่องเต้ผู้เป็นพี่ชาย ไยหัวใจของข้ามันบีบรัดขึ้นมาหน่อย ๆ นะ

หนานกงสือเยวียนมองอย่างใจเย็น

เขาย่นคออย่างรู้สึกผิดแล้วเอ่ยขึ้น “เช่นนั้น…ก็ให้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัย”

ใครจะไปรับมือกับเขาได้ มีแต่จะถูกจัดการเองมากกว่า

เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นมาอีกครั้ง “เอาเข็มมาแทงเถอะเพคะ!”

“ตอนปักกระเป๋า เสี่ยวเป่าก็ถูกเข็มตำหลายครั้งแล้ว!”

ใบหน้าของหนานกงสือเยวียนมืดครึ้ม น้ำเสียงของเขาเย็นชายิ่ง “เพียงแค่ครั้งนี้เท่านั้น”

เจี่ยเจินกลอกตา “เมื่อใดที่เอากู่ออกมาได้ ข้าจะไม่แตะต้องนางอีก ต่อให้ฝ่าบาทจะเป็นผู้ร้องขอก็ตาม!”

ในที่สุด ท่ามกลางความตึงเครียด มือเล็ก ๆ นุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าก็ถูกกุมเอาไว้

เจี่นเจินเอาเข็มเงินออกมาเตรียมจะเจาะเลือดที่นิ้วในคราวเดียว

หนานกงหลี “เบา ๆ…เบา ๆ นะ”

แม้หนานกงสือเยวียนจะยังเงียบอยู่ แต่เขาขบกรามแน่น สายตาจ้องตรงมาอย่างเย็นยะเยือก

เจี่ยเจิน “…พวกท่านเอาแต่เป็นเช่นนี้ แล้วเมื่อใดข้าจะได้เจาะ”

เสี่ยวเป่ารีบพูดขึ้น “ท่านอาจารย์เร็วเข้า เช่นนี้มันน่ากลัวมากกว่าเดิมนะเจ้าคะ”

รีบแทงเข็มเร็ว ๆ จะดีกว่า

เจี่ยเจินเหลือบมองชายทั้งสองด้วยความไม่พอใจ สิ่งที่หมอเกลียดที่สุดคือ ถูกผู้อื่นมาขัดขวางการทำงานเช่นนี้

เขาจับนิ้วของเสี่ยวเป่าแล้วแทงเข็มลงไป พลันเลือดสีแดงสดก็ไหลซึมออกมา

“เร็วเข้า รีบเอาใส่ถ้วย!”

“สามหยด สามหยดแล้ว รีบห้ามเลือดให้เสี่ยวเป่าเร็วเข้า!”

หนานกงสือเยวียนออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เอายาหยกหิมะมาทา”

เจี่ยเจิน “…”

จะบ้าหรือไร ถึงขั้นต้องใช้ยาหยกหิมะมูลค่าพันตำลึงทองมารักษารูเข็มแทงเล็ก ๆ นี่

เสี่ยวเป่าไม่ได้ตกใจอะไร เพราะทุกครั้งที่นางมีบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วเข้าไปให้ท่านพ่อปลอบใจ ท่านพ่อก็มักจะเอายาหยกหิมะนี้มาทาแผลให้เสมอ

[1] องครักษ์จินอู่ (金吾卫) คือ กองกำลังพิทักษ์นคร