บทที่ 124 ขี้ขลาด

บทที่ 124 ขี้ขลาด

สักพัก ไวน์ในแก้วก็เริ่มหมด ซูโย่วอี๋เห็นว่าบริกรไม่อยู่ จึงได้ถือไวน์แดงเดินไปยังลู่เฉิน

เพื่อหวังช่วยเติมไวน์แดงให้กับทุกคน

ซูโย่วอี๋เพิ่งหยิบแก้วของลู่เฉินขึ้นมา แต่เขากลับยืนขึ้นมา “กลับไปกินข้าวเถอะ เรื่องพวกนี้พวกเราทำเอง”

ซูโย่วอี๋คิดว่าเป็นเพราะเขาเกรงใจ “ไม่เป็นไรค่ะ”

ก่อนหน้านี้ พวกเรื่องเติมชารินน้ำ เธอทำมาก็ไม่น้อย

แต่ในตอนนี้ดวงตาของลู่เฉินมืดมน ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ “ไม่ต้อง คุณกลับไปนั่งเถอะ”

ราวกับกำลังเกลี้ยกล่อมเด็กตัวเล็ก ๆ

ซูโย่วอี๋หน้าแดงทันที ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้กลับไปนึกถึงเรื่องที่อยู่บนรถด้วยกันแล้วเขาบอกชอบเธออีกแล้ว

ตาของสุ่ยเวยเปล่งประกาย ก่อนที่เธอจะรับขวดไวน์มา “ฉันทำเอง ซูโย่วอี๋ คุณกลับไปกินข้าวเถอะ”

ซูโย่วอี๋ทำได้เพียงกลับไปยังที่นั่งของเธอและจดจ่อกับการกินต่อไป ด้วยเหตุนี้ทำให้เธอไม่กล้าเข้าไปรินเหล้าหรืออะไรพวกนั้นอีกแล้ว

ไม่รู้ว่าซูหยินคิดเรื่องอะไรอยู่ เธอมองลู่เฉินแล้วก็ยิ้ม “ประธานลู่นี่ช่างอ่อนโยนกับผู้หญิงจังนะคะ แค่ให้ซูโย่วอี๋ของฉันรินไวน์ให้ ถึงกับทนไม่ได้เลย?”

ได้ยินคำพูดนั้น ซูโย่วอี๋ตกใจขึ้นมา พระเจ้า หยินหยินพูดอะไรออกไปเนี่ย

เธอแอบดึงชายเสื้อของซูหยินอย่างเงียบ ๆ เพื่อเตือนให้รู้ว่า เธอไม่ควรพูดอะไรไร้สาระ

ซึ่งซูหยินมีท่าทีผ่อนคลาย “ว่าไปแล้ว ประธานลู่ก็ยังโสด คงจะไม่ได้สนใจซูโย่วอี๋ของฉันหรอกใช่ไหมคะ?”

นั่นทำให้ซูโย่วอี๋ไม่กล้ามองหน้าลู่เฉินอีกแล้ว

แม้ว่าตอนอยู่ในรถลู่เฉินเคยพูดไว้แล้วว่าเขารู้สึกชอบเธอนิดหน่อย

แม้แต่คำตอบที่ว่าชอบนิดหน่อยนี้ก็เป็นซูโย่วอี๋เองที่ถามขึ้น เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของลู่เฉินนั้นไม่ค่อยคงที่

แต่เมื่อซูหยินถามคำถามนี้ต่อหน้ากู่อวี๋เฉิงและสุ่ยเวย ก็ราวกับว่าต้องการบังคับให้ลู่เฉินยอมรับเรื่องนี้อย่างไรอย่างนั้น

ทว่าระหว่างพวกเขากลับไม่มีคำพูดอะไรออกมาเลย

ซูโย่วอี๋จึงทำได้เพียงกลั้นใจพูดขึ้น “ประธานลู่ หยินหยินเมาแล้ว คุณอย่า…”

ลู่เฉินมองไปที่เธอ สายตาเปล่งประกาย “ไม่รู้ว่าบทพูดของเธอให้วันนี้มีส่วนไหนที่เป็นเรื่องจริงบ้าง?”

หืม?

ทำไมอยู่ดี ๆ ก็ถามเรื่องนี้?

แต่ซูหยินกลับเข้าใจ เสียงอันนุ่มนวลของเธอเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เต็มสิบ แม้ว่าฉันจะเกลียดพวกหญิงร้ายชายเลว แต่ทุกคำพูดล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่ได้แต่งเติมเลยสักนิด”

ลู่เฉินหยิบแก้วไวน์ขึ้นมาดื่ม “เข้าใจแล้ว”

ซูโย่วอี๋ยังคงมองทั้งสองอย่างมึนงง ยังดีที่คำพูดหลัง ๆ ของซูหยินไม่ได้มีอะไรที่ทำให้ต้องตกใจ การกินข้าวในมื้อนี้ก็ผ่านไปอย่างเรียบร้อยดี

เมื่อทุกคนกินกันจนเสร็จ ซูโย่วอี๋ก็ออกไปเพื่อจ่ายเงิน

พนักงานคิดเงินส่งใบเสร็จให้เธออย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ ทั้งหมด 6,300 หยวน รบกวนตรวจสอบบิลก่อนนะคะ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรเชิญสแกนด้านนี้เลยค่ะ”

6,300?

อาหารแค่ไม่กี่อย่างตั้ง 6,300 หยวนเลยเหรอ?

ซูโย่วอี๋รับใบเสร็จมาอย่างตกใจ ดูไปแล้วอาหารที่สุ่ยเวยสั่งเธอก็พอจำได้อยู่ รวมกันแล้วก็น่าจะประมาณสามพันกว่าหยวน

หรือนี่รวมกับอาหารสามอย่างที่ลู่เฉินสั่งตอนหลังอีก

กินเก่งกันจริง ๆ!

ซูโย่วอี๋ตรวจสอบอย่างละเอียด และพบว่าในใบเสร็จไม่มีราคาของไวน์แดงจึงได้ถามขึ้น “สวัสดีค่ะ อันนี้ลืมคิดค่าไวน์แดงหรือเปล่าคะ?”

พนักงานดูมึนงง “พวกคุณดื่มไวน์ด้วยเหรอคะ? ขอโทษทีค่ะในนี้ไม่มีลงบันทึกไว้ รบกวนสอบถามหน่อยค่ะคุณดื่มอะไรไปคะ?”

“เหมือนจะเป็นไวน์โรมานี่?”

“ของปีไหนคะ?”

เรื่องนี้ซูโย่วอี๋ไม่รู้จริง ๆ

พนักงานคิดเงินหยิบวิทยุสื่อสารถามไปยังบริกรในห้องอาหาร

หลังจากแน่ใจแล้วพนักงานคิดเงินก็คำนวณใบเสร็จมาใหม่ “คุณคะ รบกวนตรวจสอบค่ะ”

ซูโย่วอี๋รับใบเสร็จมาก็ตกตะลึง เมื่อกี้ 6,300 รวมกับค่าไวน์แดงกลายเป็น 21,700 หยวน!

ไวน์แดงอะไรทำไมแพงขนาดนี้

ซูโย่วอี๋หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อโทรหาซูหยิน แต่จู่ ๆ กลับมีคนเอาโทรศัพท์ของเธอไปต่อหน้าต่อตา เมื่อมองกลับไปถ้าไม่ใช่ลู่เฉินแล้วจะเป็นใครไปได้?

เขาหยิบบัตรขึ้นมา “รูดบัตรผมเลย”

พนักงานคิดเงินเป็นผู้หญิง เมื่อเห็นท่าทางของลู่เฉินก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ค่ะ”

“คุณผู้ชายคะ ทั้งหมด 21,700 หยวน เชิญรับบัตรคืนค่ะ”

ซูโย่วอี๋ไม่สามารถโกรธได้เพราะเธอไม่มีเงิน และเสียงอู้อี้ของเธอพูดขึ้น “ตกลงกันแล้วนี่คะว่าฉันเลี้ยง…”

สายตาคู่นั้นของลู่เฉินจับจ้องไปยังเธอ “คุณเลี้ยง ผมจ่าย”

แต่หากมองดูดี ๆ จะพบว่าดวงตาของเขาอ่อนโยนเล็กน้อย และน้ำเสียงในการพูดก็ไม่ได้เคร่งขรึมเหมือนตอนปกติ

“คุณเมาหรือเปล่าเนี่ย?”

วันนี้ซูโย่วอี๋แต่งหน้ามาเบา ๆ รวมกับที่ดื่มเหล้าเข้าไป หน้าเล็ก ๆ ของเธอเลยเป็นสีแดงระเรื่อ งดงามราวกับดอกท้อในเดือนมีนาคม ดูดีมาก ๆ

เสื้อสีชมพูรากบัวที่โค้งเว้าให้เห็นหุ่นผอมบางและสัดส่วนของเธอ กระโปรงยาวหางปลาที่กวัดแกว่งเล็กน้อย รองเท้าแตะมุกสีขาวเผยให้เห็นเล็บเท้าสีชมพู

ลูกกระเดือกของลู่เฉินขยับ เขาจับมือของซูโย่วอี๋และเดินเข้าไปที่มุมหนึ่ง

“คุณจะไปไหน?”

แรงของลู่เฉินนั้นเยอะมาก ซูโย่วอี๋ไม่สามารถรั้งตัวเองไว้ได้ ทำได้เพียงเดินตามเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่า

ยังไม่ทันได้ทำอะไร ลู่เฉินผลักเธอติดกับกำแพง

ซูโย่วอี๋รู้สึกตกใจในทันที และพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกัก “คะ…คุณจะทำอะไร?”

ดวงตาสีดำสนิทราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนของลู่เฉินทำให้เธอไม่สามารถละออกไปได้ และสายตานั้น มันก็เต็มไปด้วยความต้องการ

เขาก้มศีรษะลงมาช้า ๆ จนหน้าผากของทั้งสองคนแตะกัน และสัมผัสได้ถึงความร้อนผ่าว

ซูโย่วอี๋ไม่กล้ามองขึ้นไปหาเขา ทำได้เพียงมองลงข้างล่าง สายตาของเธออยู่ตรงกับริมฝีปากเรียวบางของลู่เฉินพอดี

ลมหายใจที่ติดขัด

ซูโย่วอี๋รู้สึกร้อนจนเหงื่อท่วม

ลู่เฉินขยับนิดหน่อย ซูโย่วอี๋ก็ตกใจจนรีบหลับตาลง

ลู่เฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มเบา ๆ และพูดขึ้นว่า “ขี้ขลาด”

ซูโย่วอี๋อายจนหน้าแดงไปถึงหู แต่ท่าทางแบบนี้ ใคร ๆ ก็คงคิดถึงเรื่องดีไม่ได้หรอก?

“ซูโย่วอี๋” ลมหายใจของลู่เฉินอบอุ่นและหอมหวานไปด้วยกลิ่นไวน์แดง “ผมจูบคุณได้ไหม?”

ในห้องที่เงียบสงัดไร้เสียงใด ๆ

มีเพียงเสียงเต้นของหัวใจเท่านั้นที่ได้ยินอย่างชัดเจน

ยังไม่ทันที่จะได้ตอบอะไร ลู่เฉินเชยคางซูโย่วอี๋ขึ้นและประทับรอยจูบลงไป

ริมฝีปากทั้งสองชนกัน ลมหายใจของลู่เฉินหอบถี่มากขึ้น

เขาค่อย ๆ ขยับปากของตัวเองอย่างอ่อนโยนราวกับกำลังปกป้องสมบัติล้ำค่าเอาไว้

ความรู้สึกแบบนี้ราวกับมีคนนำขนนกมาปัดกวาดไปมาอยู่ในหัวใจ

สมองของซูโย่วอี๋หยุดทำงานในทันทีที่ลู่เฉินจูบเธอ เธอลืมที่จะต้องต่อต้านและถูกชักนำไปอย่างมึนงง

ไม่ใช่ว่าจะไม่ชอบ

เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าลู่เฉินจะหยุดลง ร่างสูงกว่าร้อยแปดสิบเซนติเมตรวางศีรษะลงบนซอกคอของเธอ “คุณไม่ควรซื่อบื้อแบบนี้นะ”

เธอรู้สึกเจ็บใจ

ในงานแถลงข่าว ชายหนุ่มได้ยินสิ่งที่ซูหยินพูดถึงเรื่องราวระหว่างเธอกับเฉินเฉิน

ลู่เฉินคนนี้จะต้องตกอยู่ในความรู้สึกยังไง

แม้ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ แต่ภายในใจแสนเจ็บปวด

เขาแอบอิจฉาผู้ชายเลว ๆ คนนั้น แต่กลับยิ่งเจ็บใจเพราะความไร้เดียงสาของเธอ

ความใกล้ชิดของลู่เฉินทำให้ซูโย่วอี๋ทำตัวไม่ถูก “ประธานลู่ คุณเมามากแล้ว”

ตอนนี้เอง เธอก็ได้ยินเสียงซูหยินดังมาจากด้านนอก “แปลกจัง โย่วอี๋ไปไหนแล้ว โทรไปก็ไม่รับสาย”

ทันใดนั้นซูโย่วอี๋ก็ผลักลู่เฉินออกอย่างร้อนรน เพื่อส่งสัญญาณให้เขาออกไปได้แล้ว

ซึ่งลู่เฉินก็ผละออกไปตามที่เธอต้องการ แต่ซูโย่วอี๋กลับไม่กล้าออกไป

ชายหญิงอยู่ด้วยกันสองต่อสอง เธอจะอธิบายยังไงได้?

ส่วนสุ่ยเวยก็ไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ พนักงานคิดเงินบอกว่าซูโย่วอี๋จ่ายเงินเสร็จก็ออกไปกับผู้ชายคนหนึ่ง

“สงสัยจะกลับไปกับประธานลู่แล้ว งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”

สุ่ยเวยที่ขับรถมาเองจึงกลับไปอย่างรวดเร็ว เพราะตอนนี้มันก็ดึกมากแล้วและเธอก็ทำงานมาทั้งวัน

ด้านกู่อวี๋เฉิงมองซูหยิน “ผมไปส่งไหม?”

ซูหยินสวมหน้ากากอนามัยแล้วพูดว่า “ฉันไม่กล้ารบกวนหรอกค่ะ ขับรถระวังด้วยนะคะคุณอวี๋ที่รัก”

ทั้งสองรอจนด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว ซูโย่วอี๋และลู่เฉินจึงได้เดินออกมา

พนักงานคิดเงินเห็นพวกเขาก็รู้สึกประหลาดใจ “พวกคุณยังไม่กลับเหรอคะ? เมื่อกี้นี้เหมือนว่าเพื่อนของพวกคุณกำลังตามหาอยู่”