ตอนที่ 133 ศาสตราจารย์ฟางมีสิทธิพิเศษ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 133 ศาสตราจารย์ฟางมีสิทธิพิเศษ

หลี่หมิงเฉิงไม่มีที่พักในเมือง หลังกินข้าวเสร็จ หลินม่ายจึงไปซื้อม้านั่งยาวสองตัว และแผ่นไม้หนึ่งแผ่นที่ตลาดมืด ตกกลางคืนก็ทำเป็นเตียงนอนไว้ในร้าน

เมื่อมีพนักงานเพิ่มขึ้น ความหลากหลายของสินค้าย่อมมากขึ้นตามไปด้วย

ตอนเช้าไม่เพียงขายซาลาเปา เกี๊ยวต้มและข้าวหมากเท่านั้น ยังมีเกี๊ยวทางเหนือและขนมจีบเพิ่มขึ้นมาใหม่ด้วย

ไส้ของซาลาเปาและเกี๊ยวทางเหนือเองก็ไม่ได้มีแบบเดียวอีกต่อไป มีทั้งไส้หมูหอมใหญ่ ไส้หมูผักกาดดอง ไส้หมูกุยช่าย… รวมทั้งหมดมีห้ารสชาติ

ซาลาเปาเองก็ไม่ได้ขายแค่ซาลาเปาลูกใหญ่เท่านั้น ยังขายเสี่ยวหลงเปา(1) และก้วนทังเปา(2)ด้วย

ตอนเที่ยงพื้นฐานไม่เปลี่ยนแปลง แต่เกี๊ยวทางเหนือนั้นจะขายตั้งแต่ตอนเช้าจนถึงตอนเที่ยง

เมืองเจียงเฉิงมีคนส่วนหนึ่งที่ไม่ชินกับการกินซาลาเปาเป็นอาหารเที่ยง แต่กลับกินเกี๊ยวเป็นอาหารเที่ยงได้ไม่มีปัญหา

ส่วนการขายเซาเข่าในตอนกลางคืน หลินม่ายได้เพิ่มของหวานเช่น ถั่วแดงกวน ถั่วเขียวกวน และกุ้ยฮวาหู(3)ด้วย

หากไม่ดื่มเหล้า ก็จะพลาดของหวานเหล่านี้ไม่ได้เลย

เธอคิดไว้ว่าประเภทของเซาเข่าเองก็ต้องเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ว่าเรื่องนั้นเธอต้องไปคุยกับพนักงานชื่อจ้าวฮั่นเซิงที่ทำงานในแผนกสัตว์ปีกที่โรงงานเนื้อสัตว์คนนั้นก่อน ถึงจะสามารถกำหนดได้แน่ชัดว่าจะเพิ่มสินค้าอะไรขึ้นมา

หลี่หมิงเฉิงขยันขันแข็งมาก หลินม่ายคิดจะให้เขาพักผ่อนหนึ่งวัน วันต่อไปค่อยเข้าทำงานอย่างเป็นทางการ แต่เมื่อเขากินอาหารเที่ยงเสร็จก็หางานทำด้วยตัวเอง ตอนกลางคืนก็มาเรียนการทำเซาเข่ากับหลินม่าย

เขาเข้าสังคมได้ไม่เก่งนัก แถมยังเป็นคนซื่อโดนหลอกง่าย

แต่ด้านการทำงานถือว่าเป็นคนมือดีคนหนึ่ง เพียงแค่คืนเดียว เขาก็เรียนการย่างผักชนิดต่างๆ ได้แล้ว แต่การย่างเนื้อเสียบไม้ยังคงต้องฝึกฝนอีกสองสามคืน

พวกเนื้อหมูและวัตถุดิบในร้านทั้งหมดล้วนจัดส่งมาถึงที่ ไม่ต้องให้หลินม่ายโร่ไปตลาดมืดทุกวันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

หลินม่ายนอนหลับจนถึงหกโมงครึ่งถึงตื่นนอน แล้วไปขายอาหารเช้าด้วยกันกับวังเสี่ยวลี่และเด็กสาวอีกคนที่เป็นพนักงานใหม่

ธุรกิจในร้านเฟื่องฟูอย่างมาก ลูกค้าจำนวนไม่น้อยที่อยากจะซื้อเกี๊ยวต้มเห็นว่าไม่มีที่นั่งว่าง ก็ได้แต่ยอมแพ้ที่จะซื้อเกี๊ยวต้ม แล้วซื้อซาลาเปาสองลูกเป็นอาหารหนึ่งมื้อแทน

หลินม่ายคิดในใจ หากว่ามีถ้วยกระดาษก็คงดี

แต่ถ้าไม่มีถ้วยกระดาษก็สามารถใส่กล่องอาหารห่อกลับไปได้

ลูกค้าที่ต้องการห่อกลับ สามารถจ่ายเงินมัดจำแล้วยืมกล่องข้าวไปได้หนึ่งใบ จากนั้นเมื่อเอากล่องข้าวมาคืนก็ค่อยรับค่ามัดจำคืน

ไม่ทันไรก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งเสียแล้ว

หลินม่ายที่กำลังตักไข่ต้มให้กับลูกค้าคนหนึ่ง ได้ยินเสียงโต้วโต้วร้องเรียกคุณอาขึ้นอย่างร่าเริง

เธอเงยหน้าขึ้นมอง ฟางจั๋วหรานมานั่นเอง

ฟางจั๋วหรานเข้ามาในร้านก็พบว่ามีพนักงานเพิ่มขึ้น เขาถามด้วยรอยยิ้ม “รับลูกน้องเพิ่มแล้วเหรอ?”

หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้า เอ่ยถาม “เช้านี้อยากกินอะไรดีคะ?”

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดเล็กน้อย “เกี๊ยวต้มหนึ่งถ้วย เพิ่มซาลาเปาหมูสองลูก”

ภายในร้านลูกค้าแน่นขนัด หลินม่ายวางถ้วยเกี๊ยวต้มร้อนกรุ่นและซาลาเปาหมูสองลูกลงบนถาด แล้วพาฟางจั๋วหรานขึ้นไปกินอาหารที่ห้องชั้นบน

โต้วโต้วจูงมือใหญ่ของฟางจั๋วหราน ขึ้นไปชั้นบนด้วยกันกับเขา

หลี่หมิงเฉิงยกซาลาเปาที่เพิ่งนึ่งเสร็จสามสี่เข่งออกมาจากในห้องครัวเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึงอย่างมาก

เขาแอบถามโจวฉายอวิ๋น “ผู้ชายคนนั้นคือใครเหรอครับ? ทำไมม่ายจื่อถึงพาเขาขึ้นไปกินข้างบนล่ะ?”

โจวฉายอวิ๋นเอ่ยอย่างลึกลับ “เขาคือรองศาสตราจารย์แผนกศัลยกรรมฟางจั๋วหรานของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ที่อยู่ใกล้ๆ นี้ และเป็นคนสำคัญของม่ายจื่อด้วย เขาเลยมีสิทธิพิเศษขึ้นไปกินข้างบนได้น่ะ”

หลี่หมิงเฉิงได้ยินอย่างนั้น ก็นิ่งเงียบครุ่นอะไรบางอย่าง

ฟางจั๋วหรานกินอาหารเช้าเสร็จก็จากไป

ขณะกำลังจะเดินออกไปก็เห็นว่าหลี่หมิงเฉิงกำลังลอบมองตน จึงหันกลับไปมองเขาเล็กน้อย

ชายหนุ่มเองก็พอมีสัมผัสพิเศษ เขารู้สึกได้ว่าพนักงานที่เข้ามาใหม่ของร้านหลินม่ายผู้นี้จะมีเจตนาเป็นปรปักษ์กับเขา

เมื่อฟางจั๋วหรานเดินออกไป หลินม่ายเองก็ไม่ได้สาละวนกับงานในร้านต่อ

เธอขี่รถสามล้อไปที่ตลาดสดก่อน เพื่อรับเครื่องในหมูและปอดหมูที่สั่งจองล่วงหน้าจากหม่าเจียเฉียงส่งกลับไปที่ร้าน

แล้วจึงไปที่โรงงานอลูมิเนียมสองสามแห่ง คิดที่จะสั่งทำกล่องอาหารที่มีคำว่า“เปาห่าวชือ”จำนวนหนึ่ง

แต่หลังจากวิ่งไปวิ่งมาทั้งช่วงเช้า ผู้จัดการโรงงานอลูมิเนียมบางแห่งไม่แม้แต่จะยอมออกมาพบเธอด้วยซ้ำ

บางแห่งยอมลดตัวมาพบเธอ แต่กลับปฏิเสธคำสั่งซื้อ เพราะจำนวนที่เธอต้องการนั้นน้อยเกินไป

หลินม่ายได้แต่กลับมามือเปล่า

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วแท้ๆ โซ่ของรถสามล้อก็ดันหลุดกะทันหัน

หลินม่ายทำได้เพียงลงจากรถ แล้วนั่งซ่อมรถท่ามกลางแสงแดดแรง ซ่อมอยู่จนทั้งไม้ทั้งมือเลอะคราบน้ำมันก็ยังซ่อมรถไม่เสร็จเสียที

“รถเสียเหรอ?”

เสียงของชายหนุ่มที่ไพเราะและคุ้นเคยดังขึ้นเหนือศีรษะ หลินม่ายเงยหน้า เห็นฟางจั๋วหรานกำลังก้มหน้าลงมองมาที่เธออย่างอ่อนโยน

เธอพยักหน้า

ฟางจั๋วหรานย่อตัวนั่งลง หยิบกิ่งไม้เล็กๆ ท่อนหนึ่งขึ้นจากพื้น แล้วเอาสายโซ่ที่หลุดออกมาใส่อยู่ครู่หนึ่ง ก็กลับมาเข้าฟันเฟืองอีกครั้ง

เขาขยับแป้นเหยียบสองสามครั้ง สายโซ่วิ่งได้ไม่เลว แล้วปัดมือเล็กน้อย “เสร็จแล้ว”

หลินม่ายเองก็ลองทดสอบดู มันซ่อมเสร็จแล้วดังคาด

จึงลุกยืนตามขึ้นมา ดวงตาเป็นประกายมองไปยังฟางจั๋วหรานอย่างเลื่อมใส “ศาสตราจายร์ฟาง ทำไมคุณสุดยอดขนาดนี้กันคะ ทำเป็นเสียทุกอย่างเลย”

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนพูดไปตามหลักการ “ความสามารถเล็กน้อยแค่นี้ไม่เรียกว่าสุดยอดหรอก”

หลินม่ายเก้อเขินแต่ก็หัวเราะไปตามมารยาท

หากนี่นับว่าเป็นความสามารถเล็กน้อย แล้วคนที่ทำไม่เป็นแม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างเธอจะไม่ไร้ประโยชน์สุดๆ ไปเลยหรอกเหรอ?

ฟางจั๋วหรานเห็นเธอเหงื่อไหลเต็มหน้า ก็ขมวดคิ้วเอ่ยถาม “อากาศร้อนๆ ไม่อยู่ในร้าน ออกมาทำอะไรเหรอ?”

หลินม่ายบอกที่มาที่ไปกับเขา

ฟางจั๋วหรานได้ฟังแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร

โจวฉายอวิ๋นได้ทำอาหารเที่ยงของพวกเขาเองเอาไว้แล้ว เมื่อหลินม่ายและฟางจั๋วหรานเข้าร้านมา เธอก็เริ่มมื้ออาหารทันที

ทั้งยังพูดกับฟางจั๋วหรานด้วยรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าคุณจะมากินมื้อเที่ยงด้วย ไม่อย่างนั้นม่ายจื่อคงจะฆ่าไก่ตัวหนึ่งมาเคี่ยวซุปไก่ให้คุณดื่ม”

ฟางจั๋วหรานรู้ดีว่าสายตาของหลี่หมิงเฉิงที่มองมายังตนนั้นไม่เป็นมิตรอย่างมาก

แต่กลับจงใจหันไปพูดกับหลินม่าย “อีกไม่กี่วันผมเข้ากะดึก คุณเคี่ยวซุปไก่ให้ผมดื่มนะ”

หลินม่ายยิ้มพลางพยักหน้า

คนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องรับแขกเล็กๆ ที่ห้อง

เดิมทีหลินม่ายอยากจะนั่งบนโซฟาไม้ตัวเดี่ยว แต่โต้วโต้วรั้นอยากจะลากเธอกับฟางจั๋วหรานมานั่งด้วยกันที่โซฟาไม้ตัวยาว

โจวฉายอวิ๋นเองก็โน้มน้าวเธอ “โต้วโต้วให้พวกคุณนั่งด้วยกัน คุณก็เอาตามที่หล่อนว่าเถอะ”

สุดท้าย โจวฉายอวิ๋นแล้วหลี่หมิงเฉิงต่างก็นั่งบนโซฟาเดี่ยวคนละตัว หลินม่าย ฟางจั๋วหรานและโต้วโต้วนั่งบนโซฟาตัวยาว

โต้วโต้วนั่งอยู่ตรงกลางระหว่างหลินม่ายกับฟางจั๋วหราน มองซ้ายทีขวาทีอย่างดีใจ แกว่งขาสั้นเล็กๆ ไปมาอย่างมีความสุข “พวกเราเหมือนพ่อแม่ลูกกันเลย!”

หลินม่ายคีบไข่คนชิ้นหนึ่งลงในชามใบเล็กของเธอ “กินข้าวก็ยังอุดปากหนูไม่ได้อีกนะ”

จากนั้นจึงแนะนำตัวฟางจั๋วหรานและหลี่หมิงเฉิงให้กันและกัน

เมื่อนั้นฟางจั๋วหรานถึงเพิ่งรู้ว่าหลี่หมิงเฉิงกับหลินม่ายเป็นเหมยเขียวม้าไผ่ ในใจเกิดหึงหวงขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา

หลังกินอาการเที่ยงเสร็จ ฟางจั๋วหรานก็ต้องกลับโรงพยาบาล

แม้จะบอกว่าตอนเที่ยงหมอเองก็มีเวลาพักอยู่สองชั่วโมง แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ด้วยกลัวว่าหากอาการของผู้ป่วยคนไหนเกิดความเปลี่ยนแปลง ก็ต้องไปถึงให้ทันเวลา

ดังนั้นแม้ว่าจะพักเที่ยง ฟางจั๋วหรานก็ยังพักอยู่ในห้องพักแพทย์ เพื่อให้พยาบาลตามตัวเขาได้สะดวกตลอดเวลา

ก่อนจะไป ฟางจั๋วหรานบอกว่าหลังเลิกงานแล้วจะมากินมื้อเย็นที่ร้าน

หลินม่ายค่อนข้างผิดคาด “ข้าวเย็นก็ยังจะขึ้นมากินตรงนี้อีกเหรอ”

ก่อนหน้านี้น้อยมากที่เขาจะมากินมื้อเย็นที่นี่

ฟางจั๋วหรานพูดอย่างสบายๆ “มื้อเย็นสำหรับหนึ่งคนทำยากนะ ต่อไปมื้อเย็นผมก็จะมากินที่นี่นี่ล่ะ”

โจวฉายอวิ๋นตอบตกลงแทนหลินม่าย “ได้สิๆ ไม่มีปัญหา ตอนเย็นอยากกินอะไร ฉันจะให้หลินม่ายทำให้คุณเอง”

“ตามนั้นเลย”

หลี่หมิงเฉิงมองฟางจั๋วหรานจนลับสายตา

แม้ว่าฟางจั๋วหรานจะไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เขารู้สึกได้ ว่าที่ฟางจั๋วหรานอยากจะกินมื้อเย็นที่ร้านก็เพื่อยั่วยุเขา

………………………………………………………………………………………………………………………….

(1) เสี่ยวหลงเปา คือซาลาเปาในเข่งขนาดเล็ก

(2) ก้วนทังเปา คือซาลาเปาไส้น้ำซุป

(3) กุ้ยฮวาหู มีลักษณะเป็นน้ำซุปเหนียวข้นจากผงรากบัวและมีกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา มักใส่บัวลอย ข้าวหมากและพุทรารับประทานด้วยกัน

สารจากผู้แปล

เรือชนกันแล้วม่ายจื่อ รีบเคลียร์ทางเร็ว

ไหหม่า(海馬)