ตอนที่103 ถั่วเซียงซี (1)

“เจ้าค่ะ แต่คุณหนูเองก็มิต้องกังวลเกินจำเป็น คุณหนูฉีเองก็มีพลังฝีมือติดตัวมิใช่น้อย คงไม่น่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนางได้โดยง่าย”

อิ๋งเอ๋อร์กล่าวปลอบสองสามคำ และเดินทางกลับไปพักผ่อนในห้องพัก

เซียถงยืนอยู่ใต้ต้นไม้เคียงประดับคู่กลีบบุปผาโปรยปรายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวกลับ ตั้งใจจะออกจากสถานศึกษาเซิงหลิงมุ่งหน้าสู่ภูเขาป่าสน เพื่อไปดูว่า จะได้พานพบกับฉีหมิงเยว่บนนั้นหรือไม่ แต่ทันทีที่หมุนตัวกลับ พลันสังเกตเห็นเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์โบกสะบัดอยู่ท่ามกลางบุปผา เงาร่างของชายหนุ่มร่างสูงโปร่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้ด้านข้าง และนั่นก็คือเซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังยืนเชยชมทิวทัศน์อยู่

พอเห็นดังนั้น เซียถงก็นึกถึงแผนการที่คิดขึ้นได้ในระหว่างลอบเข้าวังหลวงเมื่อคืนพอดิบพอดี นางตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย กล่าวขึ้นว่า

“พี่ใหญ่ ข้ามีเรื่องต้องการจะถามท่านข้อหนึ่ง”

ได้ยินเสียงร่ำเรียกของเซียถง เซี่ยหลู่เฟิงที่กำลังเชยชมวิสัยทัศน์ก็เหลียวศีรษะหันมอง เห็นว่าเป็นเซียถงที่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือก็ปั้นหน้าแปลกใจ เอ่ยถามขึ้นว่า

“มีเรื่องอันใดรึ?”

“ข้าอยากให้ท่านช่วยสืบเสาะว่าใครเป็นคนลอบเอาเชื้อราม่วงมาใส่ไว้ในกล่องบรรจุเห็ดหลินจือมรกตในตอนนั้น”

เซียถงเคลื่อนตัวเขยื้อนเข้าชิดใกล้ เอ่ยเสียงกระซิบแผ่ว

เซี่ยหลู่เฟิงที่ได้ฟังดังนั้น ก็กล่าวน้ำเสียงเคร่งขรึมตอบกลับไปว่า

“ข้าแอบดำเนินการสืบสวนเรื่องนี้มาเป็นเวลานานแล้ว แต่ขันทีที่เป็นคนส่งมอบกล่องใบนั้นให้เจ้า กลับเสียชีวิตลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ กระบวนการสืบสวนจึงไม่คืบหน้า”

เซียถงเผยร่องรอยความผิดหวังออกมาจากดวงตาทันที อย่างที่คิดไว้เชียว เพิ่งมาเคลื่อนไหวในเวลาปานนี้กลับสายเกินไป

“แต่…”

ทันใดนั้น เซี่ยหลู่เฟิงก็ปริปากเอ่ยขึ้นอีกครา แต่คราวนี้สายตาคู่หล่อเหลากลับสั่นไสว มองมาที่เซียถงดูลังเลว่าจะกล่าวดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็พูดออกมา

“แต่ข้าบังเอิญได้ยินพวกสาวรับใช้ในวังแอบซุบซิบกันมา ฟังว่าในวันนั้น มีสาวรับใช้นางหนึ่งแอบเห็นเย่หลีเทียนเดินเข้าไปในโถงพระคลัง แต่ต่อมา พอข้าจะเดินทางจะไปซักถามสาวรับใช้ในวังกลุ่มนั้นเป็นส่วนตัว ทว่าพวกนางกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย”

เย่หลีเทียน ได้ยินชื่อนี้ถูกเรียกขานออกมาแบบนี้ เซียถงกลับไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย แววความเหี้ยมดุปะทุคลั่งสาดสะท้อนผ่านสายตาคู่นั้นของนาง

“ถงถง อย่าเคลื่อนไหวโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง เพราะหากเรื่องนี้ข้องเกี่ยวกับเย่หลีเทียนจริงๆ นี่นับว่าปัญหาใหญ่”

เซี่ยหลู่เฟิงขมวดคิ้วแน่น กล่าวตักเตือนด้วยความกังวล

มีเย่หลีเทียนอยู่เพียงคำเดียวในจักรวรรดิตงหลี่ กล่าวได้ว่า น่ากลัวเสียยิ่งกว่ามีมหาโจรนับพันหมื่นบุกมา อาศัยความแข็งแกร่งของสองพี่น้องอย่างเซียถงกับเซี่ยหลู่เฟิง ทั้งคู่หาใช่คู่มือของชายคนนั้นได้ในตอนนี้

เซียถงพยักหน้ารับทราบ ต่อให้มีหลักฐานมัดตัวว่า เย่หลีเทียนเป็นคนลอบใส่เชื้อราม่วงจริงๆ แต่นางก็ไม่สามารถยั่วยุอีกฝ่ายได้เลยในขณะนี้ ในตอนนี้นางยังไม่กล้าแกร่งพอที่จะไปมีคุณสมบัติต่อกร หนทางที่ดีที่สุดในปัจจุบันคือ การอยู่ให้ห่างกับเย่หลีเทียนให้ได้มากที่สุด

“จะว่าไปแล้ว…สาวน้อยที่ว่าฉีหมิงเยว่หายไปไหน? มิใช่ว่าโดยปกติแล้ว นางมักจะตัวติดกันกับเจ้า?”

เซี่ยหลู่เฟิงเหลือบสายตามองไปทางด้านหลังเซียถง ทว่ากลับไม่เห็นสาวน้อยผู้น่ารักนางนั้น

“ข้าเองก็มิทราบ ไม่เห็นนางตั้งแต่เช้าแล้ว ยังสงสัยอยู่ว่านางไปไหนกันแน่?”

เซียถงอุทานเป็นคำถามสวนกลับไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก กะจิตกะใจของนางตอนนี้ยังคงเพ่งพินิจอยู่แต่กับเย่หลีเทียน

“เจ้าไม่เห็นนางตั้งแต่เช้าแล้ว?”

สีหน้าการแสดงออกของเซี่ยหลู่เฟิงพลันแปรเปลี่ยนไปกะทันหัน เขาเอื้อมมือขึ้น เข้าคว้าท่อนแขนของเซียถงโดยพลัน เอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลอย่างยิ่ง

“เกิดอะไรขึ้นรึเปล่า?”

เซียถงได้สติลืมตาตื่น จับจ้องไปทางเซี่ยหลู่เฟิงอย่างสับสน แต่แล้วนางก็พึงนึกถึงบางอย่างได้ขึ้นมา แล้วไป๋หลี่เย่ล่ะ? โดยปกติแล้วเซี่ยหลู่เฟิงจะตามติดไป๋หลี่เย่ตัวเป็นเงาเลยมิใช่รึ? แต่ไฉนวันนี้ นางถึงเห็นแค่เซี่ยหลู่เฟิงเพียงลำพัง แล้วไป๋หลี่เย่ล่ะ?

ทันทีทันใด ลางสังหรณ์ใจถึงเรื่องร้ายแรงก็ผุดขึ้นอีกครั้งภายในใจดวงนี้

“ข้าเองก็ไม่เห็นองค์รัชทยาทมาตั้งแต่เช้าแล้วเช่นกัน”

คำพูดประโยคนี้ของเซี่ยหลู่เฟิง เป็นเครื่องยืนยันได้อย่างดีเยี่ยมสำหรับลางสังหรณ์ใจของเซียถง

“หรือว่า…องค์รัชทายาทกับฉีหมิงเยว่?!”

ในคราวนี้ ทั้งพี่ชายและน้องสาวต่างร้องอุทานเสียงลือลั่นโดยพร้อมเพรียง ต่างฝ่ายต่างส่อเห็นแววความไม่สบายใจของกันและกันอย่างชัดเจน

เพราะในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ ไป๋หลี่เย่พยายามเข้าใกล้และพูดคุยกับฉีหมิงเยว่มากกว่าสามสี่รอบแล้ว แต่ก็เป็นเซียถงที่คอยขัดขวางไม่ให้พวกเขาอยู่ด้วยกัน ตัดขาดการสื่อสารระหว่างทั้งคู่โดยสิ้นเชิง แต่วันนี้สองคนนั้นกลับไม่อยู่ในสถานศึกษาพร้อมกัน….

“ข้าพอจะรู้ว่าองค์รัชทายาทอยู่ไหน!”

เซี่ยหลู่เฟิงทิ้งทวนวาจาไว้หนึ่งประโยค จากนั้นก็หมุนตัวกลับรีบวิ่งไปทางประตูสถานศึกษาออกไป เซียถงเห็นเป็นเช่นนั้นก็เร่งไล่ติดตาม

ภายในห้องรับประทานอาหารส่วนตัวของภัตตาคารที่หรูหราที่สุดแห่งเมืองเฟิงหลี่ ฉีหมิงเยว่สวมชุดแพรพรรณสีเหลืองห่าน ชายกระโปรงเป็นทรงจีบมีลูกไม้ บริเวณใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าฝ้ายชั้นบาง ผิวพรรณใบหน้าละเอียดอ่อนเพราะได้รับการประทินแต่งขึ้นด้วยความพิถีพิถัน ทุกอากัปกิริยาเคลื่อนไหวช่างทรงเสน่ห์

นางยืนอยู่หน้าโต๊ะไม้จันทน์หอมแกะสลักลวดลายประณีต เรียวแขนเสมือนหยกบริสุทธิ์ กำลังชงชาดอกไม้ทุกกระบวนการช่างสง่างดงาม สอดแทรกความนุ่มนวลให้ชวนหลงใหล

ไป๋หลี่เย่ยั่งอยู่เคียงข้าง เชยชมทุกการเคลื่อนไหวของนางด้วยสายตาอันแสนหลงใหล ใคร่ปรารถนา

ฉีหมิงเยว่ยกกาน้ำชาหยกเขียวขึ้น และค่อยๆ รินน้ำชาสีใสบรรจงลงในถ้วยชาบนโต๊ะไม้จันทน์หอม เรียวนิ้วยาวทั้งสองคีบกลีบดอกไม้วางประดับไว้บนสุดเหนือผิวน้ำชาร้อน เพิ่มทวีกลิ่นสุคนธรสให้หอมกรุ่น

ขณะที่กำลังบรรจงคีบเกี่ยวกลีบดอกไม้เหล่านั้นลงบนถ้วย พลันปรากฏใบหน้าอันเหี่ยวย่นของย่าเฟิงและภาพฉากทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนภายในใจ

เมื่อคืนนี้ ณ ภูเขาหลังสถานศึกษาเซิงหลิง

“องค์หญิง ทันทีที่องค์รัชทยาทคล้ายความระวังลง จงใส่ถั่วเซียงซีเม็ดนี้ลงไปในอาหาร หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็จะตกอยู่ในภวังค์ความลุ่มหลงท่านจนหัวปักหัวปำ เท่านี้ปลาก็กินเบ็ดเราแล้ว!”

ย่าเฟิงหยิบถั่วเม็ดเท่าหัวนิ้วก้อยสีแดงยัดไว้ในมือของฉีหมิงเยว่โดยตรง

ฉีหมิงเยว่เหม่อมองถั่วเซียงซีเม็ดสีแดงบนฝ่ามือพร้อมส่ายหัวปฏิเสธทันที นางไม่ต้องการใช้วิธีเช่นนี้เพื่อกอบกู้จักรวรรดิของนางจริงๆ!

ถั่วเซียงซีเป็นหนึ่งในสมบัติหายากของราชวงศ์หรูหราน หากชายหญิงคู่ใดป้อนเข้าปากแก่กัน จะก่อเกิดไฟแห่งราคะและตัณหาอย่างรุนแรง โดยที่ภายในใจของผู้รับประทานไป จะมีแต่ภาพของผู้ที่ให้รับประทานถั่วเม็ดดังกล่าวฝังลึกอยู่ในใจ

หากไป๋หลี่เย่รับประทานถั่วเม็ดนี้เข้าไป ฉีหมิงเยว่จำต้องสละความบริสุทธิ์ของนางแก่อีกฝ่ายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่นี่ก็เป็นยวิธีเดียวเช่นกันที่จะทำให้นางได้รับตำแหน่งพระชายาเอกขององค์รัชทายาทได้ง่ายที่สุด เพื่อดำเนินแผนการกอบกู้จักรวรรดิหรูหรานต่อไป

แต่แน่นอน…ฉีหมิงเยว่ไม่เต็มใจยอมรับแผนการเฉกเช่นนี้เลยแม้สักนิด

นางส่งสายตาจับจ้องไปยังย่าเฟิง ดวงตาพราวประกายดั่งดวงราคาคู่นั้น ยามนี้กลับเอ่อล้นเปี่ยมไปด้วยน้ำตา

“องค์หญิง ไม่ว่าจะเป็นองค์รัชทายาทแห่งตงหลี่ หน่านเฟิง ซีฉิน หรือเป่ยฮั่น ในบรรดาพวกเขา องค์รัชทายาทของจักรวรรดิตงหลี่นี่แหละที่ปอกลอกง่ายที่สุดแล้ว ข้าใช้เวลานานมากกว่าจะตัดสินใจเลือกเขา แม้สิ่งที่ทำลงไปจะผิดต่อตัวท่าน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการกอบกู้จักรวรรดิหรูหรานของเราแล้ว เรื่องคับข้องใจเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ยังนับว่าเป็นอันใด? หากแผนการครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ท่านคือมหาราชินีผู้มีพระคุณต่อจักรวรรดิหรูหรานของเราสืบไป”

ย่าเฟิงกล่าวปลอบโยนฉีหมิงเยว่อย่างวาจาไพเราะนุ่มนวล และเข้าสวมกอดร่างอันสั่นเทาของฉีหมิงเยว่

ฉีหมิงเยว่ถึงกับพูดไม่ออก ภายในมือยังคงกำถั่วเซียงซีไว้แน่น แต่กระนั้นอาการสั่นยังคงไม่จางหายไป

“องค์หญิง ท่านลืมไปแล้วรึว่า ฝ่าบาทสิ้นพระชนม์ลงในสภาพอย่างไร?”

“ท่านลืมไปแล้วรึว่า ฮองเฮาสิ้นพระชนม์ลงในสภาพใด?”

“หรือท่านลืมไปแล้วว่า องค์ชายน้อยต้องตายอย่างทรมานแค่ไหน!?”