บทที่ 133 ฝ่าบาทเผชิญวิกฤติ

องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที!

คืนนั้น กิเลนอัคคีที่อยู่ในมิติสวรรค์ลืมตาขึ้นมา ดวงตาสีแดงราวกับปีศาจส่องแสงเจิดจ้า!

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนอนอยู่บนเตียงไม้ที่แกะสลักอย่างหรูหรา มือสองข้างของเขาประสานกันอยู่บนอก ท่าทางของเขาสง่างามเหมือนชายหนุ่มผู้สูงศักดิ์ในปราสาทโบราณ เพียงแต่เขาไม่ได้หลับ ดวงตาหงส์เรียวแคบคู่นั้นแผ่บรรยากาศเย็นชาอันบางเบาอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน

ฟุ่บ!

กระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนทิ้งตัวลงมาเหนือศีรษะของเขา ดวงตาเย็นชาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ลง!

เขาไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กระบี่ทุกเล่มกลับดูคล้ายกับถูกหยุดเอาไว้กลางอากาศ!

จากนั้น หางตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กระตุกขึ้นราวกับมีปฏิกิริยาตอบสนอง พร้อมกันนั้น กระบี่สองคมหน้าตาทนทานพวกนั้นก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ก่อนจะกลายเป็นผุยผง!

กลุ่มคนชุดดำถึงกับผงะไป พวกเขามองหน้ากัน แล้วพลิกตัวลงหมอบราบไปกับพื้น จากนั้นจึงผุดลุกขึ้นเพื่อเริ่มการโจมตีระลอกสอง!

แต่พวกเขากลับเห็นว่าเมื่อชายคนนั้นพลิกฝ่ามือ กระบี่ทุกเล่มก็ราวกับถูกใครบางคนควบคุมเอาไว้ มันหมุนกลับมาพุ่งเข้าใส่พวกเขาแทน!

บรรดาคนชุดดำรีบยกมือขึ้นป้องกันตัว พวกเขาค่อยๆ ก้าวถอยหลังกันไปทีละคนสองคน แต่แล้วพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงรสชาติหวานปะแล่มๆ ในลำคอของตนได้ ในเวลาเดียวกัน อวัยวะภายในของพวกเขาก็เจ็บแปลบขึ้นมา

คนคนนี้ เขา…นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะฟื้นพลังปราณกลับมาได้แล้ว!

กลุ่มคนชุดดำสบตากันอย่างมีเลศนัยอีกครั้ง และคิดที่จะนำข่าวนี้กลับไป

“คิดหนีรึ” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเด็ดขาดและเย็นชามาก เขาเลือกโจมตีเข้าที่จุดตายโดยไม่ลังเล พร้อมกับบีบคอของหนึ่งในนั้นเอาไว้ แล้วค่อยๆ ยกร่างของอีกฝ่ายขึ้นด้วยการกระบวนท่าซึ่งอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร แต่กระนั้นการเคลื่อนไหวของเขากลับเต็มไปด้วยความงดงามอันยากจะอธิบายได้

ได้ยินก็แต่เพียงเสียงคอหักดังเป๊าะ!

จากนั้นไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็โยนร่างไร้เรี่ยวแรงของคนชุดดำออกไปจากมือ เขาสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคนได้โดยที่ตาไม่กะพริบเลยแม้แต่นิดเดียว!

“ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย เจ้า…” ผู้เป็นหัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำเห็นว่าทันทีที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้น คลื่นพลังปราณก็พลันล้นทะลักออกมา เขาทั้งตกใจและโมโหอยู่ในที แต่เขาก็รู้สึกหวาดระแวงกับพลังทำลายล้างอันกล้าแกร่งในตอนที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยกมือขึ้น จนเผลอก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

“ชื่อของข้าใช่สิ่งที่เจ้าสามารถเรียกได้ตามใจชอบหรือ” ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชา ครั้งนี้เขาเพียงขยับปลายนิ้วแค่เล็กน้อยเท่านั้น รูปลักษณ์ที่เย็นชาไร้อารมณ์ของเขานั้นยากเกินกว่าที่ใครจะกล้าจ้องมองได้

แต่หลังจากสิ้นเสียง คนชุดดำจำนวนนับไม่ถ้วนที่มาสมทบก็ร้องลั่น พวกเขาล้มลงกับพื้นไปทีละคน

ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีด้วยความหวาดกลัว

ในเวลานี้ต่อให้ฝ่ายคนชุดดำจะได้เปรียบในเรื่องของจำนวน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังที่ท้าทายได้แม้กระทั่งฟ้าดินของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะเผชิญหน้ากับเทพสังหารผู้นี้ด้วยซ้ำ

เพราะไม่มีใครแจ้งพวกเขาสักคนว่าองค์ชายสามคนนั้นได้พลังปราณของตนกลับคืนมาแล้ว!

แต่ในเมื่อพวกเขาเตรียมใจมาเพื่อลอบสังหารองค์ชายสาม พวกเขาจึงไม่อาจล้มเลิกแผนการได้ง่ายๆ

กลุ่มคนชุดดำดูเหมือนจะยังไม่ถอดใจกับการลอบสังหารเขา คลื่นมนุษย์หลั่งไหลพุ่งตรงเข้าไปหา!

เด็กหนุ่มรูปงามอ้าปากค้าง พร้อมกับหรี่ตามองดูมือสังหารที่พุ่งเข้ามาต่อเนื่อง แต่ก็ไม่อาจทำภารกิจของตนให้สำเร็จได้

ริมฝีปากบางที่เดิมทีเคยเป็นเส้นโค้ง ก็ค่อยๆ หุบลง

ไม่ใช่!

มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!

คนพวกนี้ไม่ใช่องครักษ์ของตระกูลหานที่มาเพื่อช่วยเขา!

ทีแรกเขาถึงกับคิดว่าคนพวกนี้เป็นคนของเขา เพราะทุกคนล้วนแต่แต่งกายด้วยเครื่องแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลหาน

แต่เมื่อกระบี่เล่มนั้นตกลงมาข้างตัว เด็กหนุ่มรูปงามก็ถึงกับสบถขึ้นมาในใจว่า มารดามันสิ!

เขาเพียงแค่บอกให้คนพวกนั้นมาสั่งสอนท่านพี่

แน่นอนว่าไม่ได้อนุญาตให้คนพวกนั้นฆ่าเขา!

ยิ่งกว่านั้น หากคนพวกนี้เป็นองครักษ์ของตระกูลหานจริง ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะจำเขาไม่ได้!

“อ๊าก!” เด็กหนุ่มรูปงามสะบัดหน้า แล้วพ่นถุงเท้าเหม็นฉึ่งออกจากปากได้อย่างยากลำบาก “ท่านพี่ พวกเขาไม่ใช่คนของตระกูลหาน!”

เขาเพิ่งจะพูดได้ไม่ทันขาดคำ เสียงกีบม้ากระทบพื้นสับสนอลหม่านก็ลอยแว่วเข้ามา เสียงที่ดังก้องไปทั่วทั้งตรอกยาวที่ร้างผู้คนนั้นชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง

ตอนนั้นนั่นเอง เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังจะเดินกลับก็หมุนตัวแล้วแนบหลังของตนพิงเข้ากับผนัง พร้อมกับเงี่ยหูฟังเสียงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

“แม่นาง” หูสองข้างของหยวนหมิงชี้ชัน ท่าทางของเขาเปลี่ยนไปในทันที

เฮ่อเหลียนเวยเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกระโดดขึ้นไปบนหลังคา แล้วทอดสายตามองออกไป นางเห็นเพียงกลุ่มควันและฝุ่นที่ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ พร้อมกับกองกำลังนับพันที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปยังโรงเตี๊ยม

กองกำลังเหล่านั้นน่าจะเป็นกองกำลังที่ประจำการอยู่บริเวณใกล้ๆ นี้ ไม่อย่างนั้นการจะระดมพลในเวลาสั้นๆ เพียงแค่นี้ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

แต่การที่มีกำลังทหารจำนวนมากถึงเพียงนั้นอยู่ในละแวกนี้ มิหนำซ้ำยังมีการเรียกให้มารวมตัวกันในเวลากลางคืนเช่นนี้ก็ตีความได้เพียงอย่างเดียวว่า พวกเขาต้องการที่จะลอบสังหารใครบางคน!

ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยหรี่ลง พร้อมกับร้องขึ้นมาในใจว่า ‘แย่แล้ว!’

“แม่นาง ทำไมเจ้าต้องวิ่งเร็วถึงเพียงนี้ด้วย” หยวนหมิงมองทหารม้าจำนวนมากที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ “แม่นาง เจ้าคิดจะทำอะไร” แน่นอนว่านางรู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตราย แต่กระนั้นนางก็ยังวิ่งกลับไป

เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบอย่างแผ่วเบาโดยไม่ได้หันไปมองว่า “องค์ชายสามพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมนั่นเพราะรอข้า”

“แต่นั่นมันทหารม้ากองใหญ่เชียวนะ” น้ำเสียงชั่วร้ายของหยวนหมิงเอ่ยต่อ “ด้วยความสามารถตอนนี้ของเจ้า เจ้ารับมือกับพวกเขาไม่ไหวแน่”

ริมฝีปากของเฮ่อเหลียนเวยเวยโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม “นั่นก็ไม่แน่หรอก”

เสียงควบม้าใกล้เข้ามายิ่งกว่าเดิม ฝุ่นควันโขมง ทหารม้าจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ข้างหน้าพวกนางในชั่วพริบตา

ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่บริเวณหน้าโรงเตี๊ยม สีหน้าของเขายังคงเฉยชาเหมือนอย่างเคย ดวงตาหงส์เรียวแคบหรี่ลงเล็กน้อยขณะยกริมฝีปากบางขึ้น สิ่งที่ฉายออกมาคือรอยยิ้มเยาะเย้ยที่ดูแทบจะไม่เหมือนรอยยิ้ม

นี่คือภาพที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็น ตอนที่นางมาถึง

สถานการณ์ในเวลานี้มันอะไรกัน คนคนนี้ยังสามารถยิ้มออกมาได้อีกหรือ มิหนำซ้ำ สีหน้าที่อยู่บนใบหน้าของเขาก็ไม่ได้แสดงออกถึงความหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าทุกสิ่งรอบตัวไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขาเลย

องค์ชายสามเป็นอย่างที่เขาเล่าลือกัน ไม่มีสิ่งใดสามารถทำลายความสง่างามแต่กำเนิดที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาได้

แม้สถานการณ์ตอนนี้จะไม่เป็นใจให้พวกนางเลยก็ตาม!

เฮ่อเหลียนเวยเวยละสายตาจากร่างของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แล้วหันไปมองด้านหน้า

เสียงควบม้าพลันเงียบลง เพราะในเวลานี้คนพวกนั้นได้มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมแล้ว

เฮ่อเหลียนเวยเวยยกมือขึ้น และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ แต่แล้วนางก็ถูกไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงเข้าไปในอ้อมแขนเสียก่อน สีหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ พร้อมกันนั้นเขาก็ดันนางไปด้านหลังด้วยท่าทางปกป้อง

เฮ่อเหลียนเวยเวยงุนงงไปครู่หนึ่ง ชั่วขณะนั้นความรู้สึกอันคลุมเครือก็พลันก่อตัวขึ้นภายในหัวใจของนาง

“ฆ่า!”

แม่ทัพที่สวมชุดเกราะทั้งตัวตะโกนออกคำสั่ง โรงเตี๊ยมที่เดิมทีนั้นก็ไม่ได้มีขนาดใหญ่อะไรถูกทหารม้าสวมเกราะล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนาในชั่วพริบตา ไม่ต่างอะไรจากการถูกกระแสน้ำพัดเข้าใส่ในทันที

พลทหารเดินเท้านับพันนายเข้าล้อมบริเวณนั้นเอาไว้พร้อมกัน ทุกๆ หนึ่งลี้[1]จะมีทหารตั้งแถวอยู่ถึงสามชั้น

ต่อให้คนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมมีปีก พวกเขาก็ไม่สามารถบินหนีออกไปได้ จิตสังหารปกคลุมไปทั่วผืนฟ้า สถานการณ์แทบจะยกระดับได้ทุกเวลา

เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์ในวันนี้เป็นการปิดล้อมสังหารที่มีการวางแผนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี จุดประสงค์ของศัตรูนั้นชัดเจนอยู่แล้ว พวกเขาไม่ต้องการให้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้กลับไปที่เมืองหลวงในสภาพที่ยังมีชีวิตอย่างแน่นอน!

“หึ…”

ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความตาย เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับได้ยินชายที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาอย่างชัดเจน

เพียงแต่เสียงหัวเราะนั้นกลับอัดแน่นไปด้วยจิตสังหาร

ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตา บรรดาทหารที่เดิมทีเคยล้อมพวกนางเอาไว้ก็พากันล้มลงไปทีละแถว เหมือนต้นไม้ในป่าที่ถูกพายุพัดโหมกระหน่ำ ไม่มีทหารคนใดที่เข้ามาหาพวกนางรอดไปได้แม้แต่คนเดียว

เฮ่อเหลียนเวยเวยอดที่จะขนลุกซู่ไม่ได้

คนเดียวที่สามารถใช้พลังโจมตีอันน่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นได้ มีเพียงแค่องค์ชายสามเท่านั้น

“รายงาน เป็นธาตุทองระดับสิบขอรับ!”

“เริ่มจากโจมตีเด็กสาวที่อยู่ข้างเขาก่อน” ชายชุดดำตะโกนมาแต่ไกล เห็นได้ชัดว่าเขาน่าจะเป็นหัวหน้าของคนพวกนี้ ยังมีคนที่พอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง

เพียงแต่พวกเขาคำนวณผิดไป เพราะเด็กสาวคนที่พวกเขาคิดจะโจมตีนั้นไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอธรรมดา!

—————————————————–

[1] 1 ลี้ = 500 เมตร