บทที่ 161 ขนหน้าแข้ง

บทที่ 161 ขนหน้าแข้ง

ขณะที่กล่าวออกมา เท้าของเสิ่นอี้โจวก็ออกแรงถูกับหลังเท้าของเธอ

เซี่ยชิงหยวนจ้องเขาเขม็ง

เนื่องจากเธอชักเท้ากลับไม่ได้ จึงใช้เท้าอีกข้างเหยียบเท้าของอีกฝ่ายที่อยู่ด้านล่างแทน

แต่เสิ่นอี้โจวไม่ได้แสดงท่าทีเจ็บปวด เซี่ยชิงหยวนจึงอดไม่ได้ที่จะท้อแท้

ในขณะที่หลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินไม่ได้มองมาทางนี้ เธอเห็นขนหน้าแข้งเส้นหนึ่งของเสิ่นอี้โจวจึงดึงมัน

จากนั้นขนขาเส้นหนาก็ติดปลายนิ้วทั้งสองของเธอ

เสิ่นอี้โจวยิ้มอย่างเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงออกมา

เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดมาก่อนว่าเธอจะดึงขนขาของเขาได้ง่ายขนาดนี้

เนื่องจากหญิงสาวทำงานอยู่ทุกวัน ดังนั้นเธอจึงลืมไปแล้วว่าเธอมีร่างกายแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก

เธอยกขนขาเส้นนั้นขึ้นมาแล้วเลื่อนไปจับมือเขา

เสิ่นอี้โจวมองผู้เป็นภรรยาอย่างช่วยไม่ได้ ในขณะที่ลูบบริเวณที่เธอดึงขนออกมา จากนั้นเขาก็เขยิบเข้ามาใกล้อีก

เซี่ยชิงหยวนพูดขึ้นว่า “เสิ่นอี้โจว คุณอายุยังไม่เยอะแท้ ๆ แต่ทำไมผมของคุณเริ่มร่วงซะแล้วล่ะ หลังจากนี้อีกสักสองสามปี คุณจะไม่กลายเป็นชายชราหัวล้านเหรอคะ?”

เธอเคยได้พบกับปู่เฒ่าเสิ่นและเสิ่นสิงเช่นกัน แม้พวกเขาจะอายุเยอะ แต่จำนวนผมยังคงมากอยู่

ฉะนั้น เสิ่นอี้โจวกับเสิ่นอี้หลินจะไม่หัวล้านแน่นอนในอนาคต

สิ่งที่เธอพูดเป็นเพียงการหยอกล้อเท่านั้น

ในขณะนี้เสิ่นอี้หลินผู้กำลังดูทีวีอยู่ ก็หันมาและถามว่า “พี่พูดถึงชายชราไหนเหรอฮะ?”

เสิ่นอี้โจวมองเซี่ยชิงหยวนและยิ้มอย่างมีความหมาย “ไม่มีอะไร พี่สะใภ้ของนายแค่บอกว่าเธอเห็นชายชราคนหนึ่งในวันนี้น่ะ”

เสิ่นอี้หลินหลงเชื่อ จากนั้นหันความสนใจกลับไปทางโทรทัศน์ต่อ

มือของเสิ่นอี้โจวเลื่อนไปจับเข่าของเซี่ยชิงหยวน

สัมผัสที่เนียนนุ่มทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะลูบด้วยปลายนิ้วอีกสองสามครั้ง

มีรอยยิ้มที่มุมปากของเขา “ผมมีขนเยอะมากแค่ไหน คุณไม่รู้เหรอ?”

ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ เสิ่นอี้โจวจะเรียกหาเธอเป็นครั้งคราว

สิ่งนี้ทำให้เธอนึกถึงความบ้าคลั่งของเมื่อคืนนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ชั่วขณะหนึ่ง เซี่ยชิงหยวนบอกไม่ได้ว่าเสิ่นอี้โจวหมายถึงเพียงขนขา เส้นผม หรือมีความหมายแฝงอื่น

เมื่อเธอคิดถึงความหมายอื่น เธอก็แทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้

แก้มของเธอแดงระเรื่ออย่างควบคุมไม่ได้ทันที

เสิ่นอี้โจวกล่าวต่อ “เดิมทีผมคิดว่าวันนี้คุณน่าจะเหนื่อยมาก แต่พอพิจารณาจากการกระทำของคุณตอนนี้แล้ว คุณยังมีพลังอยู่มากทีเดียว”

ขณะพูดคำเหล่านี้ เขากลับเอ่ยอย่างเนิบช้าราวกับว่ากำลังพูดเรื่องทั่วไป

เซี่ยชิงหยวนซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามมองเห็นดวงตาซึ่งเร่าร้อนของเขา

ทันใดนั้น หญิงสาวก็ไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายและเรียวขาของเธอก็สั่น

หลินตงซิ่วซึ่งกำลังดูโทรทัศน์กับเสิ่นอี้หลินหันมาและพูดว่า “ไม่แปลกหรอก ชิงหยวนแข็งแรงกว่าเมื่อก่อนมาก เธอถีบจักรยานสามล้อไปส่งอี้หลินกับแม่ที่ตลาดทุกวันโดยไม่หอบด้วยซ้ำ”

เซี่ยชิงหยวน “…”

เธอยังคงจับขนขานั้นไว้ในมือ และทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่ามันหนักราวหนึ่งพันจิน

ทันทีที่ปล่อยมือ มันก็ร่วงลงไปในน้ำและลอยอยู่บนนั้น

รอยยิ้มบนใบหน้าของเสิ่นอี้โจวชัดขึ้น ขณะมองเธอ “ใช่ ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”

เขาพูดต่อ “คืนนี้ผมคงต้องขอคำแนะนำจากเธอหลายอย่างเลย”

หลินตงซิ่วยังคงคุยโวเกี่ยวกับลูกสะใภ้ของเธอต่อไป “แน่นอน ชิงหยวนมีความรู้มากด้วย”

ตอนที่เซี่ยชิงหยวนสอนหนังสือให้แก่เสิ่นอี้หลินและคนอื่น ๆ หลินตงซิ่วที่กำลังทำงานก็ฟังไปด้วย เธอรู้สึกว่าการสอนของเซี่ยชิงหยวนดีกว่าครูในประเทศหลายร้อยเท่า

เธอส่งยิ้มให้เซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง “จริงไหมชิงหยวน?”

เซี่ยชิงหยวนเพียงหัวเราะตอบ “หึ ๆ” ให้แก่หลินตงซิ่วสองครั้งเท่านั้น

และตบมือที่เพิ่งสัมผัสเธอไปอย่างสื่อความหมาย

ฉันคิดบัญชีกับคุณแน่!

เซี่ยชิงหยวนอ้อยอิ่งอยู่นานจนอาบน้ำเป็นคนสุดท้าย เมื่อเปิดประตูห้องนอนเข้ามา หญิงสาวก็พบว่าชายหนุ่มนอนหลับไปเสียแล้ว

เขานอนอยู่บนเตียง และโต๊ะข้าง ๆ ก็มีเอกสารกองหนึ่งวางอยู่

แม้ว่าจะหลับไป เขาก็ยังมีเอกสารคาอยู่ในมือ

เซี่ยชิงหยวนเดินไปดึงเอกสารออกจากมือของเขาอย่างเบามือ

เธอก้มมองเสิ่นอี้โจวที่หลับไปแล้วพร้อมกับความเหนื่อยล้าบนใบหน้า ซึ่งไม่สามารถปกปิดได้

เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

ทั้งที่เขาก็หมดแรงเช่นกัน แต่เขากลับยังอยากหยอกล้อเธอเสมอ

ไหนจะเลือดกำเดาไหล กรำศึกอีกทั้งคืน เปิดร้าน ทำงานที่ศาลากลาง และอื่นๆ อีกมากมาย

ในขณะที่เธอกำลังพักผ่อน เขาได้ทำทุกอย่างเพื่อเธอแล้ว

ต่อให้ร่างกายของเขาจะทำจากเหล็กกล้ามันก็ต้องอ่อนล้าบ้าง

เธอประคองเสิ่นอี้โจวให้นอนลงและปล่อยให้เขาพักผ่อนบนหมอน

ขณะที่ห่มผ้าให้เขา เสิ่นอี้โจวก็ค่อย ๆ ตื่นขึ้น

ดวงตาของเขายังคงดูง่วงงุน ทว่ากลับยิ้มเมื่อเขาเห็นเซี่ยชิงหยวน

เขาพูดว่า “คุณเพิ่งเข้ามาในห้องเหรอ?”

เสียงของเขาแหบแห้งราวกับว่าเขาเพิ่งตื่นนอน

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อื้ม”

เหมือนกำลังเกลี้ยกล่อมเด็ก เธอลูบหน้าผากของเขา “คุณนอนเถอะ”

เสิ่นอี้โจวก็พูดว่า “อืม” แล้วก็หลับไป

เมื่อเห็นว่าเขาหลับไปแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ถอนหายใจออกมา

วันนี้เธอจะปล่อยเขาไปก่อนแล้วกัน

เมื่อสองวันก่อน เซี่ยชิงหยวนกับหลินตงซิ่วไปจับหอยขมในแม่น้ำ และตอนนี้พวกหอยก็คายทรายและโคลนออกมาใกล้หมดแล้ว

เธอต้องการทำเมนูที่แตกต่างกันในครั้งนี้

เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองหน่อไม้เปรี้ยวที่แช่ไว้ก่อนหน้านี้

ทันทีที่เปิดฝาออก กลิ่นเปรี้ยวและเผ็ดก็โชยเข้าจมูกเธอ เซี่ยชิงหยวนลอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว

เธอนำตะเกียบที่สะอาดมาคู่หนึ่งแล้วจุ่มเข้าไปในนั้น

หน่อไม้สีขาวแต่เดิมในตอนนี้ได้ดูดซึมส่วนผสมจนกลายเป็นสีเข้มไปแล้ว และตัวหน่อไม้ก็หดเล็กลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนทำอาหาร

เซี่ยชิงหยวนใส่หน่อไม้เปรี้ยวในชาม ใช้มือฉีกแล้วใส่ปากชิม

หน่อไม้ได้รับการหมักเรียบร้อย มันมีรสชาติเปรี้ยวเผ็ด และความหวานปะแล่ม เธอชอบรสชาตินี้ที่สุด

นำหน่อไม้นี้มาปรุงคู่กับหอยขม รสชาติน่าจะดีมาก

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็เก็บหอยขมที่ล้างแล้วกับหน่อไม้เปรี้ยว เพื่อเตรียมเอาไปที่ร้าน

หลังจากสอนหนังสือให้เด็ก ๆ เสร็จ เธอจึงเริ่มไปทำงาน

เมื่ออาเซียงกับเซี่ยชิงหยวนกำลังคุยกันอยู่ที่ประตูร้าน ผู้หญิงที่แต่งตัวทันสมัยคนหนึ่งก็เดินผ่านมา

เมื่อเห็นสายตาของเซี่ยชิงหยวนที่ติดตามผู้หญิงคนนั้นไป อาเซียงก็ถามว่า “พี่เซี่ย พี่ชอบชุดของเธอเหรอคะ?”

เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ก็ไม่เชิง พี่แค่คิดว่าชุดของผู้หญิงคนนั้นดูทันสมัยดี”

จากนั้นเธอมองอาเซียง “แล้วเธอคิดยังไงกับชุดของผู้หญิงคนนั้นบ้าง?”

อาเซียงครุ่นคิด “อืม…ถ้าผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนจากใส่กางเกงยีนส์ขากว้างเป็นกางเกงขารัดรูปสีอ่อน ผลลัพธ์ที่ได้อาจดีขึ้น หรือเปลี่ยนสีเสื้อผ้าเป็นสีขาวก็พอได้ เสื้อผ้าสีเข้มเกินไปไม่เหมาะกับผู้หญิงคนนั้นเลย”

ผู้หญิงที่เพิ่งเดินผ่านมาสวมเสื้อเบลาส์สีแดงแขนค้างคาวกับกางเกงยีนส์ขากว้างสีเข้ม

อันที่จริง การจับคู่เสื้อผ้าแบบนี้ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร แต่ผู้หญิงคนนั้นผิวสีเข้มไปหน่อยก็เลยดูไม่ค่อยเข้ากัน

สำหรับการประเมินของอาเซียง ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเป็นประกายด้วยความชื่นชม

เธอพูดว่า “อาเซียง เธอชอบเสื้อผ้าไหม?”

เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่เข้าใจ เซี่ยชิงหยวนจึงเปลี่ยนคำพูดว่า “พี่หมายถึงเสื้อผ้าทุกชนิดเลยน่ะ”

อาเซียงพยักหน้า “ฉันชอบค่ะ ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันชอบวาดเสื้อผ้าให้ตุ๊กตา”

หัวใจของเซี่ยชิงหยวนเต้นไม่เป็นจังหวะ “อาเซียง มาขายเสื้อผ้าให้พี่ในอนาคตนะ!”