บทที่ 152 สามีภรรยาร่วมมือ เปลี่ยนโครงเรื่อง

เข้าสู่โลกนิยายเพื่อไปเป็นแม่เลี้ยงจอมโหดของสามวายร้าย

บทที่ 152 สามีภรรยาร่วมมือ เปลี่ยนโครงเรื่อง

ตำบลเล็ก ๆ ใกล้กับเมืองหลวง แม้จะเป็นเวลากลางคืนก็ยังมีเสียงร้องเรียกของพ่อค้าเร่ข้างนอก ทำให้ดูคึกคักอย่างมาก

เผยยวนปิดประตูเบา ๆ และวางกาน้ำชาไว้ข้าง ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่สามารถปกปิดได้เลย แม้แต่คนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็อดไม่ได้ที่จะมองเขา

“คนดี ๆ หน้าตาหล่อเหลาเพียงนี้ แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนจะเป็นคนเสียสติ”

เผยยวนได้ยินประโยคนี้เต็มสองหู แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

จี้จือฮวนรู้สึกดีขึ้นมากหลังจากดื่มชาขิงน้ำตาลทรายแดงไป จึงได้ลุกขึ้นมาเปิดประตู

รอยยิ้มของเผยยวนยังไม่ทันหุบลง ก็เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “หิวแล้วใช่หรือไม่? ด้านนอกมีเกี๊ยวป๊อกป๊อกขาย ให้ข้าออกไปซื้อมาให้เจ้าดีหรือไม่?”

จี้จือฮวนส่ายหน้า ก่อนจะมองหน้าเขาแล้วเอ่ยขึ้นมา “กลับห้องไปพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ข้าไม่อยากพาเจ้าที่มีสภาพซีดเซียวเข้าเมืองหลวง”

เผยยวนนอนไม่หลับ ให้เขากลับห้องไม่สู้เฝ้าอยู่ตรงนี้จะดีกว่า

“ไม่เชื่อฟังหรือ?” จี้จือฮวนเอ่ยด้วยเสียงที่เย็นชา

เผยยวนไหนเลยจะกล้า เขาหยิบกาน้ำชาขึ้นมาทันทีและเอ่ยกับนาง “เช่นนั้นเจ้ามีอะไรก็เรียกข้านะ เมื่อใดก็ได้ เรียกปุ๊บมาปั๊บ”

จี้จือฮวนพยักหน้าน้อย ๆ “ยังไม่เข้าไปอีก?”

เผยยวนเดินไปแล้วแต่ก็ยังหันกลับมามองอีกครั้ง จนกระทั่งในที่สุดก็กลับเข้าห้องไป

จี้จือฮวนจึงได้ปิดประตูลง

เผยยวนได้ยินเสียงปิดประตูจากทางฝั่งโน้น จึงได้ชะโงกหน้าออกมา สุดท้ายก็ถูกจี้จือฮวนจับได้คาหนังคาเขา

“หน้าไหว้หลังหลอก เผยยวน หักห้าคะแนน”

“โอ๊ะ อย่านะ!” เผยยวนร้อนใจจนเกือบจะก้าวออกมาจากประตูห้อง สุดท้ายก็ได้แต่ยืนพิงอยู่ที่ประตูอยู่อย่างนั้น ร่างกายสูงใหญ่มองจี้จือฮวนด้วยหน้าตาที่น่าสงสาร “หักหนึ่งคะแนนได้หรือไม่?”

จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น เผยยวนตอนนี้เหลือแค่กระดิกหางเท่านั้น

“ต้องดูความประพฤติของเจ้าก่อน” จี้จือฮวนน้ำเสียงอ่อนลงเล็กน้อย พลางมีท่าทางประดักประเดิด ก่อนจะปิดประตูลง

เผยยวนจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ดูท่าต่อไปคงต้องทำตัวดี ๆ เสียแล้ว!

ความจริงแล้วจี้จือฮวนก็นอนไม่ค่อยหลับเช่นกัน เพราะไม่ใช่เตียงที่คุ้นเคยของตัวเอง นางจึงพลิกตัวไปมาบนนั้นอยู่สองสามครั้ง จนในที่สุดก็รู้สึกง่วงงุนขึ้นมาเล็กน้อย

ห้องข้าง ๆ เหมือนจะมีแขกมาเข้าพัก น่าจะมีคนอยู่ไม่ต่ำกว่าเจ็ดหรือแปดคน สำเนียงก็ไม่ใช่คนต้าจิ้น คล้ายกับภาษาชูวัชสมัยใหม่มากกว่า และภาษานี้แต่เดิมก็พัฒนามาจากภาษาของชาวถู่เจีย

การเรียนรู้ภาษาต่าง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของงานสายลับ จี้จือฮวนสามารถเข้าใจสิ่งที่พวกเขาพูดได้คร่าว ๆ ทว่าท่าทางกลับค่อย ๆ เคร่งเครียดตามไปด้วย

“องค์ชายใหญ่ ทางด้านอัครมหาเสนาบดีหานก็ไม่มีข่าวมา ไทเฮาจะหายไปเช่นนี้อย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

น้ำเสียงของผู้ชายผู้นั้นฟังดูสุขุมแต่แฝงความโหดเหี้ยมเล็กน้อย “ชาวจงหยวนมีประโยคที่กล่าวว่า อยู่ต้องเห็นคน ตายต้องพบศพ เซี่ยวั่งซูผู้นั้นเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หากว่าไม่พบศพก็มีโอกาสที่นางจะกลับมาเมืองหลวง”

จี้จือฮวนตอนแรกยังนึกสงสัยอยู่ แต่เมื่อได้ยินชื่อเซี่ยวั่งซู ก็มั่นใจทันทีว่าพวกเขาจะมาฆ่าท่านป้านี่เอง

และเป็นตัวการที่ทำร้ายท่านป้าด้วย

นางนึกถึงเนื้อเรื่องในนิยาย องค์ชายใหญ่แห่งถู่เจีย อาฉื่อน่าหลู่ เกิดจากนางสนมของท่านข่านแห่งถู่เจีย แต่กล้าหาญและเก่งกาจในการต่อสู้ ทั้งยังชอบการเข่นฆ่า เขายังได้ฉายาว่าเป็นนักรบผู้กล้าหาญแห่งถู่เจียอีกด้วย

คนที่อยู่ข้างห้องคงจะเป็นคนผู้นี้สินะ

ในนิยายองค์ชายใหญ่ร่วมมือกับองค์ชายรองเซี่ยหยาง พระเอกของเรื่อง ทั้งสองคนต่างก็สนับสนุนซึ่งกันและกันเพื่อขึ้นครองบัลลังก์

เซี่ยหยางคล้ายกับอาฉื่อน่าหลู่ แต่แม่ผู้ให้กำเนิดของเขาไม่ได้ดีเท่าแม่ของอาฉื่อน่าหลู่ เพราะเป็นเพียงสาวใช้คนหนึ่งในวังหลังเท่านั้น หลังจากให้กำเนิดเขานางก็เสียชีวิตลงทันที ต่อมาเซี่ยหยางก็พยายามทำทุกวิถีทางจนได้หานกุ้ยเฟยบุตรสาวของอัครมหาเสนาบดีหานที่ตอนนั้นเป็นที่โปรดปรานและเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงรับเลี้ยงดู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้รับความช่วยเหลือจากอัครมหาเสนาบดีหาน

ทั้งสองคนมีชาติกำเนิดที่เหมือนกัน จึงทำให้พวกเขาเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว

อาฉื่อน่าหลู่นำทรัพยากรแร่เหล็กที่เซี่ยหยางลักลอบขนส่งให้ ไปสร้างเป็นอาวุธที่ทรงพลังและแหลมคมอย่างไร้ที่เปรียบ เขาฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา บนทุ่งกว้าง บุกยึดชนเผ่าน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน และเป็นคนทำให้อาฉื่อน่าถูลี่ลูกของเซี่ยวั่งซูที่เป็นท่านข่านในตอนนั้นต้องลงจากบัลลังก์

และเนื่องจากอาฉื่อน่าหลู่มีกองทัพที่แข็งแกร่ง เซี่ยหยางจึงสามารถขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้ในที่สุด จนกระทั่งขึ้นครองราชย์ถึงได้หันมาเป็นศัตรูกับอาฉื่อน่าหลู่

ทว่าในเวลานั้นอาฉื่อน่าหลู่ก็กลายเป็นนกอินทรีบนทุ่งกว้างไปแล้ว เขาหาใช่คนที่จะสามารถทำลายได้โดยง่ายที่ใดกัน แค่สู้กันก็กินเวลานับสิบปีแล้ว

และเนื้อหาส่วนใหญ่ในช่วงเวลาสิบปีนี้ล้วนบรรยายถึง การหึงหวงกันของพระเอกและนางเอกในวังหลวงอย่างไม่จบไม่สิ้น

นับแต่นั้นมามิตรภาพที่ทั้งสองแคว้นรักษามาอย่างยาวนานก็ขาดสะบั้นลง

องค์หญิงใหญ่เซี่ยวั่งซูที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งชีวิต ยืนหยัดในราชสำนักของถู่เจียมาอย่างยากลำบาก แต่จนตายก็ไม่สามารถกลับไปเมืองหลวงที่ตนเองคิดถึงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันได้

ดูท่าปมในนิยายเรื่องนี้ก็คือการที่อัครมหาเสนาบดีหานที่อยู่เบื้องหลังเซี่ยหยาง ได้ร่วมมือกับอาฉื่อน่าหลู่สังหารตัวแทนสันติภาพระหว่างสองแคว้นอย่างเซี่ยวั่งซูนี่เอง

และแผนการนี้ก็เป็นจี้หมิงซูที่เป็นคนคอยบอกเซี่ยหยาง

ด้วยเหตุนี้เซี่ยหยางจึงมองว่าจี้หมิงซูเป็นสหายคนสนิท ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงค่อย ๆ พัฒนาขึ้น

จี้จือฮวนลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหยิบอาวุธของตนเองออกมาจากในกระเป๋าปฏิบัติการในช่องว่างมิติ นางจะสังหารอาฉื่อน่าหลู่ที่นี่ ดูสิว่าหากเซี่ยหยางผู้นั้นไม่มีทหารม้าแห่งทุ่งกว้างคอยช่วยเหลือแล้วจะทำเช่นไรต่อ!

นางเปิดประตูห้องออกและตรงไปยังห้องข้าง ๆ ตอนที่ออกมานางเหลือบมองไปทางห้องของเผยยวนเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว

ภายในห้อง คนกลุ่มหนึ่งกำลังเตรียมที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ชายที่เป็นผู้นำมีดวงตารียาว แต่ใบหน้ากลับหยาบกระด้างนั่งอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่ากำลังอารมณ์เสียเพราะวันนี้ก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเซี่ยวั่งซูแม้แต่น้อย

ในตอนนั้นเองก็มีลูกดอกพุ่งเข้ามาจากทางหน้าต่างและปักลงบนเสา

ทุกคนต่างก็ตกใจกันเป็นอย่างมาก หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีการโจมตีอีก จึงได้ดึงลูกดอกออกมา ด้านบนมีจดหมายปักอยู่

“องค์ชาย”

อาฉื่อน่าหลู่รับมาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในจดหมายดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา “ไป!”

คนทั้งกลุ่มจึงออกจากโรงเตี๊ยมไปในทันที และรีบออกไปที่นอกตำบล หลังจากเข้าไปในป่าทึบพวกเขาก็ได้ยินเพียงเสียงนกร้อง และเสียงฟิ้ว ๆ ของลมที่พัดยอดไม้จนสั่นไหว

“ในจดหมายเขียนว่าองค์หญิงใหญ่อยู่ในมือของเขา ให้พวกเรามาหาที่ป่าแห่งนี้ ดังนั้นแยกย้ายกันหา” อาฉื่อน่าหลู่ออกคำสั่ง

ลูกน้องต่างก็รีบแยกย้ายไปตามหาทันที

แต่พวกเขากลับไม่มีใครสังเกตเห็นว่าในค่ำคืนที่มืดมิด มีดวงตาสองคู่ที่เฝ้ามองพวกเขาอยู่ในความมืด

และรอที่จะสังหารพวกเขาในคืนนี้

เผยยวนยังคงสวมเสื้อคลุมสบาย ๆ ตัวเดิม ขายาว ๆ ของเขางออยู่บนต้นไม้ พลางส่งสัญญาณมือให้กับจี้จือฮวน บอกนางว่าเขาจะลงไปจัดการอาฉื่อน่าหลู่เอง

จี้จือฮวนส่ายหน้า คนผู้นี้เป็นของนาง

เผยยวนไม่มีทางเลือก เขากำลังคิดที่จะบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่ก็ยังทำตามที่จี้จือฮวนสั่ง ก่อนจะพูดกับนางโดยไม่ออกเสียง “ระวังตัวด้วย ข้าจะรีบกลับมา”

เขาสามารถจัดการเจ้าพวกอ่อนด้อยเหล่านั้นได้ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หวังเพียงว่าพวกเขาจะยังไม่ไปไหนไกล เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเวลาค้นหาอีก

เผยยวนเอ่ยจบ ร่างทั้งร่างก็ราวกับเสือที่ว่องไวในยามค่ำคืน เขากระโดดทีเดียวก็หายเข้าไปในป่าลึกแล้ว

จี้จือฮวนสวมแว่นที่ใช้มองตอนกลางคืน ที่หยิบออกมาจากช่องว่างมิติ เวลานี้จึงมองเห็นอาฉื่อน่าหลู่ที่อยู่ด้านล่างได้อย่างชัดเจน นางรูดซิปชุดที่ใช้สำหรับปฏิบัติภารกิจขึ้น ไม่ได้สวมชุดเช่นนี้มานานไม่รู้ว่าการเคลื่อนไหวจะยังว่องไวเหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไม่

มุมปากของนางยกขึ้น ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย พลางผูกเชือกในมือเข้ากับต้นไม้ แล้วพุ่งลงไปหาอาฉื่อน่าหลู่