บทที่ 139 เรื่มประลองอย่างเงียบเชียบ

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

เชียนอวิ๋นเดิมทีก็ไม่อยากให้อีอีดื่มเลือดงู ดังนั้นเมื่อเห็นว่างูเลื้อยหนีไปแล้วจึงถอนหายใจโล่งอก แต่ก็เริ่มกลัวขึ้นมา นางรู้ดีว่าอีอีเกลียดคนที่เข้ามาขัดเรื่องที่นางหมายอยากทำมากที่สุด

แม้นางจะดูเปราะบางอยู่ตลอดเวลา แต่ในฐานะอาจารย์วิญญาณผู้ทรงพลังที่สุดคนต่อไปของชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณแล้ว นางไม่เคยเป็นคนใจดีที่ทำตามคำใครมาก่อน

อีกทั้งอารมณ์นางยังหุนหันไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่ออาการป่วยกำเริบ กล่าวได้ว่านางกลายเป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่งเลยก็ว่าได้

วิธีที่อาจารย์วิญญาณใช้สังหารคนนั้นน่ากลัวกว่าที่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายใช้นัก

เชียนอวิ๋นอดรู้สึกสงสารคนที่หยุดมือหมิงอีอีไว้ไม่ได้

พริบตานั้นเอง นัยน์ตาเย็นชาหากแต่ดูบ้าเลือดของหมิงอีอีจ้องเขม็งไปยังคนผู้หนึ่งที่ปรากฏกายขึ้นมาอย่างฉับพลัน ก่อนเอ่ยขึ้นเสียงเย็น “เจ้า สะกดรอยตามข้ามา”

คนผู้นั้นก็คือชิงอวี่ที่อยู่ในชุดขาว ดูท่าทางไร้พิษภัยใสซื่อเป็นยิ่งนัก

ชิงอวี่ดูจะไม่ใส่ใจสายตาดุร้ายที่อีกฝ่ายส่งมาแม้แต่น้อย เพียงหัวเราะเบา ๆ “ไม่ใช่ ข้าเพียงมาช่วยชีวิตเจ้าต่างหาก”

“ช่วยชีวิตข้า?” หมิงอีอียิ่งเผยสีหน้าอันตรายขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ

ชิงอวี่ส่ายหัวถอนหายใจเสียงดัง น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดายเต็มแก่ “ข้าไม่อยากเห็นเจ้าทำลายตนเอง เจ้าเป็นอาจารย์วิญญาณฝีมือโดดเด่น ไม่รู้หรือว่าหากวันนี้ดื่มเลือดงูไป ต่อไปจะเสพติดเลือดมันจนไม่อาจหยุดได้อีก กลายเป็นปีศาจที่กระหายเลือดมันอยู่เรื่อยไป?”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” หมิงอีอีเอ่ยเสียงเย็นราวกับรู้ผลลัพธ์อยู่แล้ว

ชิงอวี่ยกมุมปากขึ้น “ก็ไม่ใช่เรื่องของข้าหรอก แต่ข้าคิดว่าหากท่านพี่ของเจ้าที่รักน้องสาวยิ่งกว่าอะไรมาพบว่าน้องสาวที่รักยิ่งชีพถูกขับไล่ออกจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ อีกทั้งยังไร้ทางเลือก ต้องดื่มเลือดจากงูทรายสีเลือดเพื่อระงับพิษเยือกแข็งในร่าง จากนั้นก็กลายเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงเข้าละก็ เกรงว่าเขาจะเสียสติจนไม่อาจคุมตนเองได้ และออกล่าสังหารผู้คนเข้าน่ะสิ!”

หมิงอีอีหรี่ตาลง “เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน…..”

“ข้าย่อมรู้ เพราะข้าสามารถช่วยเจ้าจากโชคชะตานี้ได้” ชิงอวี่เอ่ย คลี่ยิ้มใสซื่อ จากนั้นค่อย ๆ เดินเข้าใกล้หมิงอีอี ชุดคลุมขาวและใบหน้างดงามของนางยิ่งทำให้นางมีกลิ่นอายคล้ายกับเซียนจนผู้คนไม่อาจมองเมินได้

เชียนอวิ๋นยืนปกป้องอยู่หน้าหมิงอีอีเมื่อเห็นว่าเด็กสาวค่อย ๆ ก้าวเท้าเข้ามาทีละเก้า หมิงอีอีด้านหลังพยายามยกมือขึ้นผลักเชียนอวิ๋นออกไป “เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกันแน่?”

นางไม่ได้ใสซื่อขนาดจะคิดว่าอีกฝ่ายเพียงแต่ใจดีมีเมตตาอยากช่วยเหลือ แม้นางจะไม่รู้จักอีกฝ่าย แต่มองปราดเดียวก็ดูออกว่านางเป็นพวกเดียวกับตนเอง มีนิสัยเย็นชาลึกเข้ากระดูกดำ หากไม่มีเหตุผลดีพอก็คงไม่คิดช่วยชีวิตนาง

ดวงหน้าเล็กของหมิงอีอีถูกไอเย็นจนเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว แต่นางก็ยังฝืนทนไม่ล้มลงไป หากเด็กสาวคนนี้สามารถช่วยนางได้จริง เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรนางก็ยอมจ่าย

นางจะยัง….. ตายไม่ได้

ชิงอวี่ถึงกับเผยนัยน์ตาประหลาดใจออกมา เด็กคนนี้….. ดวงจิตแข็งนัก มีความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตอยู่เข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ

นัยน์ตาเซียนรักษาโรคของนางมีไว้เพื่อช่วยชีวิตคน ในยามนี้เห็นได้ชัดว่าภายในร่างของเด็กสาวเต็มไปด้วยโรคเก่ามากมายนับไม่ถ้วน หัวใจดวงน้อยที่ควรจะเต้นแรงมีชีวิตชีวา กลับอ่อนแออย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งยังมีชั้นน้ำแข็งบางปกคลุมอยู่ หากไม่ใช่เพราะเจ้าตัวมีจิตใจเข้มแข็ง ตั้งใจจะมีชีวิตอยู่ต่อให้ถึงที่สุดแล้ว เกรงว่าแม้นางน้อยก็คงจะได้กลายเป็นก้อนน้ำแข็งไปแล้ว

ชิงอวี่เองก็ใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้มานานหลายปีแล้ว แต่นางก็ยังไม่เคยเห็นอาการประหลาดเช่นนี้มาก่อน

หัวใจถูกชั้นน้ำแข็งห่อหุ้มไว้เช่นนี้ แต่ยังมีชีวิตอยู่ได้นับว่ามหัศจรรย์มาก

นางคว้ามือบางของอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะใส่ไฟโลหิตสีทองเหลือบแดงเข้าไปในร่างเย็นเฉียบ สลายไอเย็นภายในได้ในพริบตา ชั้นน้ำแข็งหุ้มหัวใจค่อย ๆ ละลายลงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นก็เริ่มเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง

เชียนอวิ๋นและหลานอวี่ยืนเบิกตากว้างอ้าปากค้าง นี่นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ได้เห็นใบหน้าที่มักจะซีดขาวอยู่ตลอดของหมิงอีอีมีรอยสีแดงจางขึ้นที่แก้มทั้งสองข้าง

“อีอี เป็นอย่างไรบ้าง?” เชียนอวิ๋นจับมือหมิงอีอีถามเสียงตื่นเต้น เมื่อจับมือคนแล้ว ใบหน้าก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเก่า “อีอี….. มือเจ้า….. มือเจ้าอุ่น!”

หลานอวี่ได้ยินแล้วก็ลองแตะที่หลังมือของเด็กสาวดู นิ้วมือสัมผัสได้ถึงไออุ่น นัยน์ตาเด็กหนุ่มพลันแดงก่ำขึ้นมา “อีอี เจ้าหายดีแล้วหรือ? ไม่ต้องทรมานกับอาการป่วยแล้วใช่หรือไม่?”

ชิงอวี่ยืนกอดอกอยู่ด้านข้างส่งเสียงจุ๊ปากออกมา “ไม่มีทางเสียหรอก นางถูกพิษเยือกแข็งมานานหลายปี จะหายได้รวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

หมิงอีอียังมึนงงอยู่ นางจ้องมือตนเอง ท่ามกลางแสงอาทิตย์สว่างจ้า นางมองเห็นเส้นเลือดที่ฝ่ามือขาวได้ชัดเจนนัก

ก่อนหน้านี้มือนางมีชั้นน้ำแข็งบางปกคลุม แต่ตอนนี้มันกลับไร้สิ่งใดปกคลุม ทั้งยังอบอุ่นอีกต่างหาก

ท่านพี่นางเชิญนักปรุงยามาก็หลายคน แต่พวกเขาไม่อาจช่วยนางได้ ทั้งยังกล่าวว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางคงมีชีวิตได้ไม่เกินอายุ 18 ปี

ผ่านปีนี้ไปแล้ว นางจะมีอายุเพียง 16 เท่านั้น เพิ่งจะเบ่งบานสะพรั่งงดงาม แต่สำหรับนางแล้ว เรื่องเหล่านั้นคงจะมาได้ไม่นานแล้วก็จากไป

ได้เป็นสตรีอัจฉริยะแห่งชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณแล้วอย่างไร หากเลือกได้ นางอยากเป็นขยะไร้ค่าไร้ความสามารถในการบำเพ็ญเสียยังดีกว่า หากมันทำให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปได้….. ทำให้นางได้อยู่เห็นพี่ชายนางต่อไปได้

เป็นอย่างที่คิดเลย หมอพวกนั้นเป็นหมอเถื่อนแน่ ๆ อาการของนางก็รักษาได้นี่?

หมิงอีอีจึงลุกขึ้นยืน นัยน์ตาใสกระจ่างดั่งผิวน้ำยามสารทฤดู เต็มไปด้วยแววอ้อนวอน “หากเจ้ารักษาอาการข้าได้ เช่นนั้นเจ้ามีเงื่อนไขอะไรข้าทำตามได้ทุกอย่าง”

ก่อนหน้านี้นางอาจจะยังลังเลอยู่ แต่ยามได้สัมผัสความอบอุ่นเฉกเช่นที่มนุษย์คนอื่นควรมีเป็นครั้งแรกในชีวิตแล้ว ไม่เกรงกลัวต่อความหนาวเย็นอีกต่อไป นางจึงมั่นใจว่าอาการนางยังรักษาได้

“ไม่ต้องเคร่งเครียดถึงเพียงนั้นหรอก เพราะต่อไปเราก็จะกลายเป็นศิษย์สหายกันแล้ว เป็นปกติต้องช่วยเหลือกัน” ชิงอวี่ยกยิ้ม กล่าวจบก็หันมองเด็กสาวตรงหน้า “ทว่าข้าก็ยังมีบางเรื่องที่ต้องให้ชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณช่วยเหลือ”

หมิงอีอีพยักหน้าเบา “เจ้าว่ามา ข้าจะจัดการให้เจ้า”

“เช่นนั้นนับว่าเราตกลงกันแล้ว” ชิงอวี่เอ่ยพร้อมนัยน์ตาโค้งเป็นรอยยิ้ม คล้ายกับจะดูเจ้าเล่ห์ในที

ชิงเป่ยและเยี่ยนซีอู่ยืนมองอยู่ไกล ๆ เกรงว่าหากเดินไปเป็นกลุ่มจะถูกอีกฝ่ายพบเห็นง่าย ดังนั้นชิงอวี่จึงเดินนำหน้าไปเพียงลำพัง เมื่อเห็นหมิงอีอีที่นัยน์ตาขุ่นมัวแปรเปลี่ยนเป็นซาบซึ้งและยินดี เยี่ยนซีอู่ก็ยกมือลูบคาง ก่อนจะจิ้มแขนชิงเป่ย

“เจ้าจิ้มข้าทำไม?” ชิงเป่ยย่นคิ้วถาม

เยี่ยนซีอู่มีสีหน้าซับซ้อน เอ่ยถามเสียงต่ำ “นี่ ชิงอวี่ช่วยชีวิตคนนับว่าเป็นเรื่องดี แต่เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่านางกลับกำลังใช้แผนร้ายหลอกลวงคนกัน?”

“ชิ” ชิงเป่ยส่งเสียงออกมา จากนั้นยิ้มน้อย ๆ “ไม่ต้องเดาก็เห็นได้ชัดว่านางกำลังวางแผนร้ายใส่คน”

แม้จะไม่รู้ว่าชิงอวี่คิดอะไรจึงไปตีสนิทคนชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณเข้าก็ตามที

เยี่ยนซีโหรวไม่ได้ใส่ใจมากมายรัก แต่นางพลันเงยหน้าขึ้นมอง

นางตาฝาดหรือไม่? เหมือนท้องฟ้าจะทะมึนลงเล็กน้อย

หลังจากนั้น หมิงอีอีและผองเพื่อนจึงเดินทางไปกับกลุ่มชิงอวี่ พวกนางพูดคุยกัน ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มชวนคุยก่อน ไม่นานก็ถกกันเรื่องเด็กหนุ่มที่การตายเป็นปริศนาเมื่อคืนก่อน

“ตอนนั้นข้าตกตะลึงมาก ตอนข้าพบเจ้าไม่ใช่เพิ่งตายแน่ เพราะอากาศหนาวเย็นมาก เลือดที่ไหลนองพื้นจับตัวแข็งไปแล้ว อย่างน้อยก็คงราวครึ่งชั่วยามไปแล้ว อีกทั้งเขาเบิกตากว้าง คนอื่นบอกว่าเป็นเพราะความกลัว แต่ข้ากลับเห็นเป็นความเจ็บปวดเหลือทน ตอนเขาตายคงจะทรมานมาก ข้าจึงสงสัยนักว่าเหตุใดตอนนั้นไม่มีใครล่วงรู้?”

เมื่อหลานอวี่เอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนก่อน หน้าตาก็ดูสับสนนัก

คนจากชนเผ่าบำเพ็ญวิญญาณ สามารถเห็นเหตุการณ์ก่อนคนตายได้ด้วยการอ่านสีหน้าเหยื่อ แต่คนอื่น ๆ ในห้องเดียวกันกลับชี้นิ้วกล่าวหาหลานอวี่ทันที เขาจึงโกรธแล้วปกป้องตนเอง ทำได้เพียงอธิบาย ไม่ได้มองหน้าเหยื่อให้ชัดเจน พอนึกขึ้นมาภายหลังจึงรู้สึกว่าผิดปกติ

หัวข้อดูจะหนักไปหน่อย บรรยากาศดูหนักขึ้นทันที

ชิงอวี่เห็นดังนั้นก็เลิกคิ้วหัวเราะเบา “ย่อมไม่มีใครเห็น อีกอย่าง เกรงว่าคนตายเองยังไม่รู้เลยกระมังว่าตนเองตายอย่างไร”

นางพูดจบ ทุกคนก็หันมาจ้องนางสายตาฉงน

แต่ชิงอวี่ปล่อยให้พวกเขาฉงนต่อไป ก่อนจะเอ่ยเสียงเรื่อย ๆ “แม้พวกเราจะอยู่บนเขา แต่ตอนกลางคืนอากาศหนาวเย็นจับใจเช่นนั้นไม่ไร้สาระไปหน่อยหรือ พวกเจ้าไม่สงสัยกันเลย?”

“เพราะอะไรกัน?”

ชิงอวี่ส่ายหน้าไร้หนทาง หันไปมองชิงเป่ย เด็กหนุ่มนัยน์ตาสงบ ไม่ประหม่าไม่ใจร้อน ดูจะไม่สงสัยที่ชิงอวี่พูดเลยสักนิด เป็นเพราะมีความสามารถพิเศษที่ ไม่ว่าอยากรู้อะไรก็ไม่อาจมีสิ่งใดเล็ดลอดเขาไปได้นั่นเอง

เมื่อเห็นว่าพี่สาวหันมาทางตน ชิงเป่ยก็ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเข้าใจว่า อีกฝ่ายต้องการให้เขาเป็นคนอธิบายนั่นเอง เนื่องจากเขาอธิบายได้ละเอียดกว่า

ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ เอ่ยขึ้น “จริง ๆ แล้วตั้งแต่เราก้าวเท้าเข้ามาในโรงเตี๊ยม การทดสอบก็เริ่มขึ้นแล้ว”

พูดจบ คนอื่น ๆ ยกเว้นชิงอวี่ กระทั่งหมิงอีอีที่สำรวมท่าทีตลอดยังอดแสดงความประหลาดใจออกมาผ่านนัยน์ตาไม่ได้

หมายความว่าอย่างไรกันแน่?

“หลังสำนักละอองหมอกล้างบางศิษย์ออกไป ก็เตรียมจัดที่นี่ให้เป็นสถานที่ประลองเข้าสำนักอย่างลับ ๆ ดังนั้นจึงไม่มีใครล่วงรู้ สิ่งที่เราประสบอยู่ตอนนี้ก็คือการทดสอบเล็กๆ เพื่อทดสอบคนหลายร้อยคนที่หมายจะเข้าการประลองเข้าสำนักนั่นเอง”

ชิงเป่ยหยุดพักแล้วเอ่ยต่อ “คนที่ตายเมื่อคืน จริง ๆ แล้วหมดสิทธิ์เข้าสำนักตั้งแต่ที่ก่อปัญหาเรื่องห้องไปแล้ว แถมยังทำร้ายเถ้าแก่หญิงอีก ส่วนสาเหตุการตาย อาจเพราะ….. ระหว่างทางที่มาที่นี่ เขาสังหารเพื่อนร่วมทางอย่างโหดเหี้ยมกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องเหล่านี้ย่อมไม่พ้นสายตาสำนักละอองหมอก แต่แน่นอนว่าสาเหตุการตายจริง ๆ ของเขาเป็นเพราะเขาคิดล้างแค้นเถ้าแก่ที่เสียมารยาทกับเขาต่างหาก”

“เถ้าแก่ดูเป็นหญิงอ่อนแอบอบบางก็จริง แต่พวกเจ้าเห็นเสี่ยวเอ้อร์ทั้งสี่ของนางหรือไม่? พวกเจ้าอาจไม่เห็น แต่หากพูดชื่อออกมาคงเคยผ่านหูมาก่อน”

“ชื่อของพวกเขาก็คือ จวี้จิงชา จินเฉียนเป้า เสวี่ยอวี้หู ฉือม๋ออิง”

ชื่อดังเช่นนี้ใครจะไม่เคยได้ยิน? ว่ากันว่าตั้งแต่ก่อตั้งสำนักละอองหมอกมาหลายร้อยปี ยังมีอสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ที่คอยปกปักรักษาสำนักอยู่

แต่เห็นชัด ๆ ว่าพวกเขาเป็นคนสี่คน เหตุใดจึงมีชื่อเป็นอสูรหลากชนิดไปได้ ได้ชื่อว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์กัน? แต่แค่ชื่อพวกเขาก็แพร่สะพัดไปไกล ไม่ว่าใครต่างรู้ถึงความแข็งแกร่ง

จอมยุทธ์ในตำนานไร้ผู้ใดต้านทาน เหตุใดจู่ ๆ จึงมากลายเป็นเสี่ยวเอ้อร์ในโรงเตี๊ยมไปได้?