ตอนที่ 219 ตบหน้าครั้งที่สาม (1)
กลุ่มควันสีดำลอยโขมงเต็มด้านหน้าจวนหลินอ๋อง ทหารของกองทัพรุ่ยหลินกลุ่มใหญ่ยืนออกันอยู่ที่ด้านหน้าประตูจวน โดยมีบุรุษสิบคนที่เป็นตัวแทนจากสำนักชิงอวิ๋นยืนปะทะกันในฝั่งตรงกันข้าม
“ข้าว่าพวกเจ้าอย่าเสียเวลาเลยจะดีกว่า ความแข็งแกร่งเล็กน้อยของพวกเจ้านี้เมื่ออยู่ต่อหน้าพวกข้าแล้วมันล้วนไร้ประโยชน์ ส่งมอบหยกวิญญาณมาเสียแต่โดยดี แล้วพวกเจ้าจะได้ไม่ต้องเจ็บปวดมากนัก” ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นคนหนึ่งหมุนข้อมือของเขาที่สวมถุงมือแบบครึ่งนิ้วไว้ แล้วมองไปที่ทหารกองทัพรุ่ยหลินคนหนึ่งที่ถูกเขาชนกระเด็นไปออกไปนอนอยู่ด้านหน้าประตูจวนหลินอ๋องด้วยสายตาดูถูก
ด้านหลังเขายังมีลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นอีกสามคนที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบของสำนักชิงอวิ๋น ส่วนอีกหกคนที่เหลือ แต่งกายด้วยชุดอาภรณ์ที่แตกต่างออกไป อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สำนักชิงอวิ๋นเชิญให้ร่วมเดินทางมาที่รัฐชีพร้อมกันด้วยในครั้งนี้
เหล่าชาวเมืองที่ตื่นตระหนกหลบออกไปยืนอยู่ด้านข้าง ความโกลาหลที่เกิดขึ้นนี้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เมื่อวานนี้คนของสำนักชิงอวิ๋นจู่ๆ ก็บุกเข้าโจมตีจวนหลินอ๋องหาเรื่องกดดันสารพัด หากไม่ใช่เพราะกองทัพรุ่ยหลินมาถึงทันเวลา ป่านนี้จวนหลินอ๋องคงเหลือแต่ซากแล้วกระมัง
กองทัพรุ่ยหลินที่ยืนรวมตัวกันอยู่ด้านหน้าประตูจวนหลินอ๋องมีเกินร้อย แต่นี่ก็เป็นเพียงข้อได้เปรียบด้านตัวเลขเท่านั้น เพราะจนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังคงถูกคนของสำนักชิงอวิ๋นกดดันอยู่ดี
ในเวลาเพียงหนึ่งวันสั้นๆ ทหารของกองทัพรุ่ยหลินนับร้อยก็ได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนจากสำนักชิงอวิ๋นทั้งสิบ กลับไม่มีแม้แต่บาดแผลถลอกให้เห็น
จวินเสี่ยนที่กำลังยืนเผชิญหน้ากับความโกลาหลตรงหน้า สีหน้าของเขาบูดบึ้งและไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด มองดูฉากความวุ่นวายจากการเข้าปะทะกันของทั้งสองฝ่ายเป็นเวลานาน ผู้ที่ลงมืออย่างแท้จริงมีเพียงลูกศิษย์ทั้งสี่คนจากสำนักชิงอวิ๋นเท่านั้น ส่วนอีกหกคนที่เหลือเพียงยืนกดดันอยู่ด้านข้างเฉยๆ
ทั้งสี่คนที่ลงมือล้วนมีอายุอยู่ที่ราวสามสิบปี และแต่ละคนก็มีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีเขียว
สำนักชิงอวิ๋นดูท่าจะให้ความสำคัญกับหยกวิญญาณชิ้นนี้มากจริงๆ ถึงได้ส่งคนที่มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้มา แต่ละคนไม่ใช่ตัวตนที่จะสามารถยั่วยุได้เลย
“ท่านพ่อ ให้ข้าออกไปเถิดขอรับ” จวินชิงซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นมาโดยตลอดและแสร้งทำตัวเป็นคนพิการ ไม่สามารถระงับความโกรธในใจไว้ได้อีกต่อไป วันทั้งวันเขาถูกบังคับให้นั่งดูเหล่าทหารที่เป็นเสมือนดั่งพี่น้องของเขาถูกคนจากสำนักชิงอวิ๋นทั้งกดขี่และทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัส ในใจก็ให้เต็มไปด้วยโทสะและความไม่ยินยอม เขาแทบจะทนนั่งต่อไปไม่ไหวแล้ว
สำนักชิงอวิ๋นจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว!
จวินเสี่ยนไม่ได้เปิดปากตอบรับคำขอนั้นทันที แต่มองผ่านคนของสำนักชิงอวิ๋นทั้งสี่ไปยังหกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
ในบรรดาคนทั้งหกนั้น คนที่มีอายุน้อยสุดอย่างต่ำก็เกือบครึ่งร้อยปีแล้ว และบางคนก็แก่กว่าจวินเสี่ยนด้วยซ้ำ และการที่พวกเขาไม่ได้กระโจนเข้ามาร่วมวงด้วย ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ลงมือ เพียงแต่จากสถานการณ์ตรงหน้า แค่ลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นทั้งสี่ก็เกินพอจะรับมือแล้ว ผู้เชี่ยวชาญอย่างพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไร
จวินเสี่ยนมั่นใจมากว่าคนทั้งหกนั้น ไม่มีใครที่มีระดับพลังต่ำกว่าเขาแม้แต่คนเดียว!
จวินชิงปัจจุบันมีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีเขียว เมื่อร่วมมือกับนกฮูกหิมะกร่อนกระดูกของเขา ก็พอจะต่อกรกับลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นได้บ้าง แต่ว่า…
คนทั้งหกนั้น ไม่ใช่อะไรที่จวินเสี่ยนจะสามารถรับมือเพียงลำพังได้อย่างแน่นอน
จวินเสี่ยนไม่ยอมลงมือเสียที ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่หวงแหนชีวิตของกองทัพรุ่ยหลิน แต่เขารู้ดีว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาหรือจวินชิงเข้าร่วมการต่อสู้ ทั้งหกคนนั้นจะต้องยื่นมือเข้าแทรกอย่างแน่นอน พวกเขาไม่มีทางยืนมองอยู่เฉยๆ แน่
จากการคำนวณของจวินเสี่ยน ในหกคนนั้น คนที่อ่อนแอมากที่สุดอย่างต่ำก็มีพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสีน้ำเงินหรือไม่ก็สีครามขั้นต้นแล้ว ขอเพียงพวกเขาลงมือ จวนหลินอ๋องแห่งนี้ก็จะต้องถูกย้อมไปด้วยเลือด!
“อะไรกัน ยังไม่ยอมแพ้อีกรึ!” ลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นที่สวมถุงมือครึ่งนิ้วเชิดหัวขึ้นอย่างเย่อหยิ่ง ถุงมือสีดำคู่นั้นก็คือภูติวิญญาณของเขา มันเป็นภูติวิญญาณประเภทอาวุธที่มีระดับค่อนข้างสูงทีเดียว เพราะอาศัยเพียงหมัดเดียวก็สามารถล้มสิงโตขนาดยักษ์ลงได้ ทหารธรรมดาๆ ไม่อาจรับหมัดเดียวนี้ของเขาได้เลย!
“จวนหลินอ๋องเล็กๆ แต่กลับกล้าคิดต่อกรกับสำนักชิงอวิ๋น หากพวกเจ้ายังละเมอเพ้อพกไม่เลิก ดื้อดึงไม่ยอมรามือ พวกข้าก็จะไม่เกรงใจกับพวกเจ้าแล้ว” หลังจากที่ต่อสู้กันมานาน เหล่าลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นก็เริ่มหมดความอดทนแล้ว ไม่คิดยืดเยื้ออีกต่อไป
ตอนที่ 220 ตบหน้าครั้งที่สาม (2)
“ในเมื่อพวกเขาดื้อดึงนัก ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แค่จับไอ้ขยะนั่นไว้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจวนหลินอ๋องจะเอาแต่กอดหยกวิญญาณนั่นไว้ไม่ยอมปล่อย” ลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นสองคนปรึกษาแผนการกันราวกับว่าไม่มีใครอื่นอยู่ตรงนั้น เพิกเฉยต่อโทสะและสายตาอาฆาตจากทั้งกองทัพรุ่ยหลินและสองพ่อลูกสกุลจวินโดยสิ้นเชิง
ไอ้ขยะที่หลุดออกมาจากปากพวกเขานั้น ไม่ใช่ใครอื่นก็คือจวินชิงที่นั่งอยู่บนรถเข็น
ดวงตาของจวินชิงแดงก่ำในทันที แทบอยากจะพุ่งออกไปแล้วต่อสู้เป็นตายกับไอ้สารเลวพวกนั้นให้รู้แล้วรู้รอด!
โดยไม่มีการบอกกล่าวล่วงหน้าหรือเจรจาใดๆ คนของสำนักชิงอวิ๋นจู่ๆ ก็บุกมาถึงที่หน้าประตูจวนหลินอ๋องแล้วเริ่มลงมือเปิดฉากฆ่าอย่างไร้ความเมตตา ด้านนอกประตูจวนหลินอ๋องเวลานี้ ยังมีร่างของทหารกองทัพรุ่ยหลินหลายนายนอนอยู่ตรงนั้นด้วยสภาพบาดเจ็บสาหัส พวกเขาล้วนถูกศิษย์จากสำนักชิงอวิ๋นทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม สภาพเป็นตายเท่ากัน!
พวกเขาเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างว่าคนของสำนักชิงอวิ๋นนั้นทั้งเผด็จการและไร้ความปรานี วันนี้เมื่อได้พบกับตัว ช่างไม่ต่างไปจากที่ได้ยินมาเลยจริงๆ คนของสำนักที่ได้ชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า ที่แท้ก็ไร้เหตุผลและชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ถึงเพียงนี้!
“พวกเจ้าอย่าได้รังแกกันเกินไปนัก!” ทหารกองทัพรุ่ยหลินกระชับอาวุธในมือด้วยอารมณ์ที่เดือดพล่าน พวกเขายืนบังอยู่หน้าจวินเสี่ยนและจวินชิง คอยอารักขาความปลอดภัยให้กับทั้งสองคน
พวกเขาอาจไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋น แต่ความภักดีของพวกเขานั้น ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสามารถดูถูกเหยียบย่ำได้!
“คิดจะลงมือกับท่านอ๋องน้อย เช่นนั้นก็ข้ามศพพวกข้าไปก่อน!” หลงฉีก้าวขึ้นมายืนนำอยู่ที่หัวแถว เขาปักดาบตั้งฉากกับพื้นดิน ประกายแสงคมกริบของดาบส่องแสงเย็นเยียบออกมา
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” ลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นต่างพากันหัวเราะเยาะเมื่อเห็นฉากนี้ นั่นเป็นเสียงหัวเราะที่เย้ยหยันผู้ที่อ่อนแอกว่าอย่างพวกเขา
“อาศัยพวกเจ้าน่ะรึ เจ้าคิดว่าพวกข้าไม่กล้าฆ่าพวกเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่ ก็ได้ ในเมื่อพวกเจ้าอยากตายพวกข้าก็จะสนองให้ มั่นใจได้เลยว่าพวกเจ้าจะต้องสนุกกับการตายที่พวกข้ามอบให้อย่างแน่นอน ข้าจะฆ่าข้ามศพของพวกเจ้าทีละศพ แล้วไปลากไอ้ขยะพิการนั่นลงมานอนกองอยู่บนพื้น ให้มันอ้อนวอนร้องขอชีวิตอยู่ใต้เท้าข้า ฮ่าๆๆ”
เสียงดูหมิ่นที่แสนอัปยศนี้ เปรียบเสมือนคมดาบที่บาดลึกลงในหัวใจของทหารกองทัพรุ่ยหลินทุกคน
บุคคลหนึ่งที่พวกเขาให้สัตย์สาบานว่าจะจงรักภักดีและซื่อสัตย์ไปตลอดทั้งชีวิต จะปล่อยให้ผู้อื่นเหยียบย่ำลบหลู่เกียรติเช่นนี้ได้อย่างไร!
หลงฉีพุ่งออกไปข้างหน้าทันทีด้วยความเร็วราวกับสายฟ้า ดาบคมที่อยู่ในมือของเขาส่องประกายแสงเย็นเยียบ พร้อมจะเอาชีวิตคนที่พูดจาดูหมิ่นจวินชิงคนนั้น!
ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลย พร้อมเผชิญหน้ากับการโจมตีของหลงฉีอย่างเต็มที่ เขาเรียกภูติวิญญาณประเภทอาวุธที่อยู่ในรูปแบบมีดสั้นออกมาไว้ในมือทั้งสองข้าง แสงจางๆ เรืองแสงขึ้นบนฝ่ามือ ในตอนที่ดาบของหลงฉีเข้าใกล้เขา เขาก็เบี่ยงหลบไปทางด้านข้างด้วยฝีเท้าที่กระฉับกระเฉงราวกับภูตผีปีศาจ ก่อนจะสวนกลับพุ่งเข้าใส่ร่างกายของหลงฉีอย่างแรง
ในชั่วพริบตา หลงฉีก็เปิดศึกต่อสู้กับชายคนนั้นอย่างหนักหน่วง!
ศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักชิงอวิ๋นเพียงยืนดูอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีเมินเฉย พวกเขามั่นใจว่าการต่อสู้นี้จะจบลงอย่างง่ายดายด้วยความอัปยศของกองทัพรุ่ยหลินอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้ารอยยิ้มเหล่านั้นก็จางหายไปจากใบหน้าของทุกคน
หลงฉีรับการโจมตีด้วยมีดสั้นทั้งสองเล่มของศิษย์คนนั้นตรงๆ เขาอาศัยจังหวะที่ใบมีดปักเข้าที่ไหล่ซ้ายขวาของเขาจนมิดด้าม คำรามออกไปครั้งหนึ่งแล้วแทงดาบสวนกลับไปที่หัวใจของอีกฝ่าย ไม่แยแสความเจ็บปวดที่ไหล่ของตัวเองสักนิด
“บัดซบ!” เห็นได้ชัดว่าศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นที่ต่อสู้อยู่ถึงไม่เคยพบกับรูปแบบการต่อสู้ที่ทุ่มทั้งชีวิตเช่นนี้มาก่อน เขาต้องยอมปล่อยมีดสั้นสองเล่มในมือ แล้วสะบัดตัวเบี่ยงตัวหลบ กระนั้นดาบของหลงฉีก็ยังแทงเข้าที่แขนซ้ายของเขา
หลังจากเผชิญกับคู่ต่อสู้มาแล้วนับสิบคน แต่ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นก็แทบไม่มีรอยถลอกให้เห็น จ้องไปที่หลงฉีที่ทำให้เขาเลือดไหล มีดคู่สั้นที่เขาเพิ่งจะปล่อยมือไป ก็หลุดจากไหล่ของหลงฉี สลายกลายเป็นพลังวิญญาณแล้วกลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้งหนึ่ง
หลงฉียืนนิ่งอยู่ที่เดิมตรงนั้น บาดแผลบนไหล่ของเขามีเลือดไหลออกมาไม่หยุดแต่เขาก็ไม่สนใจ สายตาที่น่ากลัวที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่ ไม่ต่างอะไรจากใบมีดคมกริบที่กวาดไปทั่วไปใบหน้าศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋น