บทที่ 121 นี่อาจเป็นโชคชะตา

เจ้าของร้านพิศวง

“เทพธิดาแห่งโชคชะตามีสองตา ในเมื่อมี ‘เหรียญแห่งเคราะห์’ แล้ว งั้นก็คงมี ‘เหรียญแห่งโชค’ ด้วยใช่ไหม…”

คำพูดของหลินเจี๋ยยังก้องอยู่ในใจของเอ็ดมันด์ ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ เหรียญแห่งโชคก็มาส่งถึงที่ นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ๆ!

ตัวตนธรรมดาทั่วไปอาจไม่เชื่อในความบังเอิญและโอกาส แต่ยิ่งคนถลำลึกเข้าไปในดินแดนของเหล่าผู้อยู่เหนือธรรมชาติ เขาจะยิ่งเข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโลกล้วนมีเส้นด้ายแห่งเหตุและผลโยงอยู่ระหว่างกัน

พวกที่อยู่ในระดับเหนือนภานั้นสามารถสัมผัส เห็น และกระทั่งจัดการกับเส้นด้ายแห่งเหตุและผลได้ ซึ่งก็เป็นการบงการชะตากรรมของคนอื่น ๆ ทางอ้อมด้วย!

นี่ก็ยังเป็นเหตุผลที่ทำไมเหล่าผู้อยู่ระดับเหนือนภาจึงถูกนับว่าเป็นเทพเจ้า

พวกเขามีอำนาจเหนือเหตุผล ไร้รูปร่างและร่องรอย แถมยังไม่อาจอธิบายได้

ยกตัวอย่างเช่นเทพพิรุณที่ฟักออกมาจากกระจกมนตรา มันสามารถบงการฟ้าร้องฟ้าผ่าซึ่งเป็นพลังของมันเองได้ ไม่จำเป็นต้องร่ายหรือมีสื่อเวทใด ๆ แค่ทุบเข้าไปที่เมฆด้วยค้อนในมือมันก็สามารถเรียกใช้อำนาจทำลายล้างจากธรรมชาตินี้ได้แล้ว

มันเลือกเส้นด้ายที่เกี่ยวข้องกับสายฟ้าแล้วประสาทตนเองด้วยนามธรรมแห่งฝน สายฟ้าและไฟฟ้า เหมือนกันกับตัวตนระดับเหนือนภาอื่น ๆ ที่ทำความเข้าใจไม่ได้สำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนอื่น ๆ เทียบเท่ากัน นี่คือเหตุที่พวกเขาจึงถูกมองเป็นเทพเจ้าไร้คู่ต้าน

แต่สิ่งหนึ่งนั้นแน่นอน ไม่มีความบังเอิญในดินแดนอันลี้ลับนี้ ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้ก็คือเหรียญแห่งโชคชะตาในตำนาน

นี่คือหลักฐานชิ้นเอ้!

นับแต่ยุคแรกจนถึงทุกวันนี้ จำนวนครั้งที่เหรียญแห่งโชคและเหรียญแห่งเคราะห์ถูกนำมารวมกันนั้นแทบนับได้ด้วยนิ้วจากมือเดียว และในแต่ละครั้ง เหรียญทั้งสองก็จะแยกกันภายในปีเดียว ไม่ว่าจะมาจากการที่เจ้าของหายไปหรือประสบเคราะห์ร้ายก็ตามที…

เหรียญแฝดทั้งสองนี้มีที่มาเดียวกัน แต่ที่จริงแล้วก็เหมือนแม่เหล็กขั้วเดียวกันสองชิ้น ในแต่ละครั้งที่เหรียญทั้งสองถูกรวมกัน พวกมันก็จะเริ่มผลักกันเองทันทีแล้วทำให้เกิดผลที่เกินคาดเดา

อันที่จริง มีคนไม่มากนักที่อยากจะประกบมันเข้าหากันอีกต่อไปแล้ว แค่ได้ครอบครองสักชิ้นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่ามันเป็นอุปกรณ์เวทที่ทรงพลังมาก

ทว่าส่วนที่แย่ที่สุดคือเหรียญทั้งสองนี้ดูเหมือนกันเป๊ะ ๆ การพยายามแยกทั้งคู่จากกันโดยไม่มีเจ้าของเก่ามายืนยันนั้นต้องใช้การลองผิดลองถูก…

ไม่ว่าอย่างไร เอ็ดมันด์ก็แน่ใจว่ามันเป็นพลังของเจ้าของร้านหนังสือที่ทำให้เหรียญแห่งโชคปรากฏต่อหน้าพวกเขาในทันที

ไม่ว่าเขาจะหยั่งรู้แล้วว่าพวกเขาจะนำเหรียญแห่งเคราะห์มาเป็นของขวัญหรือเขาจัดเตรียมให้คนคนนั้นส่งเหรียญแห่งโชคมาให้อยู่แล้วก็ตามที มันก็เป็นเพียงยอดสุดของภูเขาน้ำแข็งที่ชื่อ ‘ความบังเอิญ’ และเป็นการแสดงความแข็งแกร่งของเขาอย่างชัดเจน

หลินเจี๋ยหยิบเหรียญที่คอลินทิ้งไว้บนโต๊ะมาเทียบกับเหรียญในมือของเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็พบว่าเหมือนเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียว

เมื่อต่อจุดจากคำที่เอ็ดมันด์พูดก่อนหน้านี้แล้ว หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย

นี่คือเหรียญแห่งโชคชะตาเหรอ? นี่มันวันอะไรกัน? คนของเชอร์รี่นำเหรียญแห่งเคราะห์มาให้เรา แล้ววินาทีต่อมา คอลินก็นำเหรียญแห่งโชคมาขอบคุณเขา!

เขาอธิบายคร่าว ๆ ว่าเขาช่วยคอลินเรื่องเบรกเกอร์ไฟฟ้าของเขาอย่างไร โดยเหยียบส่วนที่ได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าดำเอาไว้

เมื่อเผชิญกับสีหน้าซีดเผือดของคนพวกนี้แล้ว หลินเจี๋ยก็ส่ายหน้าแล้วหัวเราะ

“ฮึ…ดูเหมือนผมจะยังมีโชคอยู่มากเอาการนะครับ กระทั่งเหรียญแห่งเคราะห์ยังนำมันไปจากผมไม่ได้”

“โชคชะตาทำงานในรูปแบบอันลี้ลับ และนี่อาจเป็นชะตาชีวิต”

“เฮ้อ…ผมเนี่ยเป็นคนโรแมนติกที่เชื่อในโชคชะตามาตลอดเลย…”

ในตอนที่ฟ้าฝนเทกระหน่ำ การเตรียมชาร้อนหนึ่งถ้วยเพื่อลูกค้าที่อาจจะไม่มีอยู่นั้นแสดงให้เห็นว่าหลินเจี๋ยถูกพิษความโรแมนติกและความฮิปสเตอร์เข้าไปนิดหน่อย และในตอนที่จี้จือซู่เข้ามาในร้าน ระดับพิษโรแมนติกในตัวเขาก็รุนแรงขึ้นจนเขาอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตนั้นบางครั้งก็แสนน่าสนใจ

มันน่าเสียดายที่ในตอนนี้ ไม่มีใครที่เข้าใจสภาพจิตใจของเขาได้เลย

โชคชะตากับผีสิ! เล่นใหญ่จริง ๆ!

ความคิดเหล่านั้นแล่นผ่านในใจของกลุ่มคนจากหอการค้าแอช ใครเขาจะให้สมบัติตกทอดของตระกูลเพื่อขอบคุณที่ช่วยสับเบรกเกอร์ไฟฟ้าให้ล่ะ?!

มันต้องมีอะไรในกอไผ่แน่! เจ้าของร้านหนังสือนี่ก็แค่…

ด้วยความสงสัย หลินเจี๋ยจึงประกบเหรียญบาง ๆ ทั้งสองเข้าด้วยกัน เหรียญพวกนี้ต้องถูกทำขึ้นโดยวัตถุดิบพิเศษบางอย่างแน่ พวกมันจึงประกบติดแน่นจนกลายเป็นเหรียญสองด้านได้ หลินเจี๋ยพลิกเหรียญกลับไปกลับมาแล้วอุทานอย่างดีอกดีใจ “ดูเหมือนผมจะได้รับเหรียญแห่งโชคชะตาที่สมบูรณ์มาแล้วนะครับ คุณบัตเลอร์เอ็ดมันด์”

ใช่แล้ว ทุกคนได้เห็นการกลับมาพบกันใหม่ของเหรียญทั้งสองที่ดูราวกับละครนี้แล้ว

“คุณโชคดีจริง ๆ ครับ” เอ็ดมันด์เยินยอ เขาเป็นบัตเลอร์ผู้เจนจัดและปากหวาน ดังนั้นการเยินยอตัวตนที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ เขาสามารถทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ

หลินเจี๋ยวางเหรียญที่เชื่อมติดกันลงในกล่อง ในยามนี้เอง เขาก็ตระหนักได้ว่าคอลินดูผิดแปลกไปจากสภาพทุลักทุเลน่าสงสารของเขาตอนกลับออกไป เพราะฉะนั้นเขาจึงพูดขึ้น “คอลินดูจะได้พบกับปัญหาบางอย่างนะครับ”

เอ็ดมันด์ละสายตาจากเหรียญแห่งโชคชะตาที่ได้รับการอัปเกรดแล้วแล้วถามขึ้น “คุณอยากให้ทางเราตรวจสอบสุภาพบุรุษท่านนั้นไหมครับ?”

แม้ว่าเอ็ดมันด์จะเดาไว้แล้วว่าเรื่องลำบากที่คุณคอลินเผชิญจะเกี่ยวข้องกับเจ้าของร้านหนังสืออย่างมากก็ตาม แต่เขาก็ยังเสนอออกมาเช่นนั้น

ไม่ว่าจะจัดการกับผลที่ตามมาหรือปิดปากเขาก็ตาม…เมื่อมีใครยินดีเสนอความช่วยเหลือ หลินเจี๋ยก็ย่อมยินดีและเพราะเช่นนั้นจึงให้คำแนะนำ “ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจผิดว่าผมเป็นวิญญาณร้าย ผมคิดว่าเขาคงให้สมบัติตกทอดของตระกูลเขาเพื่อชดใช้ความผิดครับ”

“ผมเคยคิดว่าเขาเป็นคนขี้เกียจ แต่ดูเหมือนเขาจะมีพื้นเพที่ดี ช่วยเขาให้ดีที่สุดด้วยนะครับ”

เอ็ดมันด์ปาดเหงื่อบนหน้าผากของเขาแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แต่ลึก ๆ แล้ว เขาคิดกับตัวเองว่า ‘เขาต้องก่อเรื่องให้คุณมาแน่ ๆ คุณเลยวางแผนให้เขาส่งเหรียญแห่งโชคมาให้คุณ จริงด้วยสินะ…เราไม่สามารถทำความเข้าใจกับพวกที่อยู่ในระดับเหนือนภาได้เลย เจ้าของร้านหนังสือคนนี้ก็คงแค่เล่นสนุกกับปุถุชนเท่านั้นเอง’

บัตเลอร์ชราสั่งให้คนที่เหลือสองในสามขึ้นชั้นสองไปสำรวจพื้นที่เพื่อรีโรเวตแล้วให้คนสุดท้ายตามเขาไปที่ร้านข้าง ๆ

ประตูร้านไม่ได้ปิดสนิทดี ดูเหมือนเจ้าของร้านจะถูกทำให้ตกใจกลัวสุด ๆ เอ็ดมันด์เคาะประตูอย่างสุภาพเป็นการเตือน แล้วจึงก้าวไปด้านใน

“คุณคอลินครับ?”

“อะ…อะไร…” เสียงสั่น ๆ ปนสะอื้นดังออกมา ร่างอวบอ้วนของคอลินซ่อนอยู่หลังโซฟา เผยให้เห็นก้นไหวกระเพื่อมที่หยุดสั่นไม่ได้

เอ็ดมันด์มองไปที่ข้อมูลที่ถูกส่งมาแล้วพูดขึ้น “ดูเหมือนคุณจะยังติดหนี้หอการค้าแอชอยู่เป็นจำนวนหนึ่งหมื่นดอลล่าร์และกำลังจะครบกำหนดชำระหนี้แล้วนะครับ”

คอลินว่าแล้ว!

เจ้าปีศาจนี่ต้องหยอกเขาเล่นแน่! เจ้าปีศาจไม่อยากฆ่าเขา และมีจุดประสงค์แอบแฝง!

โทสะของคอลินเริ่มเดือดปุด เขาไม่อาจกลัวเรื่องนี้ได้ เขาไม่กลัวกระทั่งความตาย แล้วทำไมต้องมากลัวเรื่องนี้ด้วย

ฉัน…คอลินคนนี้ใจถึงนะเฟ้ย!

เขาเด้งตัวลุกแล้วร้องออกมา “ประเมินสิครับ! ร้านของผมกับสินค้าทั้งหมดนี่มีค่าเท่าไหร่?”

เอ็ดมันด์ตามความคิดเจ้าหมอนี่ไม่ทัน แต่ในเมื่อหลินเจี๋ยขอให้เขาช่วย เขาก็จะช่วย การตีราคาทั้งหมดออกมาได้ราว ๆ สามหมื่นดอลล่าร์ได้

“ผมใช้ร้านของผมจ่ายหนี้ได้ไหมครับ?”

“นับว่าได้ครับ ถึงแม้ว่าจะประเมินราคามาได้เท่านี้ แต่มันจะน้อยลงเมื่อมาถึงขั้นตอนของการทำธุรกรรมจริง ๆ นะครับ…เอ่อ คุณมีปัญหาอะไรที่ต้องการการช่วยเหลือไหมครับ?” ทีแรกเอ็ดมันด์อยากจะลบหนี้ให้เขา ทว่าไม่ได้คิดฝันเลยว่าคอลินจะมีความซื่อสัตย์ที่แรงกล้าขนาดนี้และยืนกรานจะจ่ายหนี้เอง ดูเหมือนเจ้าของร้านหนังสือจะตาถึงจริง ๆ

“ไม่เลยครับ! ไม่มีปัญหาอะไรเลยสักกะติ๊ด!”

คอลินรู้สึกสดชื่นราวกับได้ปลดทุกภาระของตนออกไป เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวคนบ้า “ในที่สุดตรูก็เป็นอิสระ! ฮ่า ๆ ๆ ตอนนี้ฉันเก็บข้าวของ จากไปแล้วไม่มีวันกลับมาได้แล้วเฟ้ย!”

แล้วเขาก็เก็บข้าวของจริง ๆ ด้วยความที่ตัวเองขายของส่วนใหญ่ของเขาไปแล้ว ดังนั้นหลังจากเก็บของบางชิ้นไป เขาก็เดินตรงออกนอกประตูไปเลย

“แล้วเราจะทำยังไงกันต่อดีครับ?” ลูกน้องที่ตามมาเอ่ยถาม

เอ็ดมันด์คิดสักพักแล้วเห็นทางสว่าง หลังจากยึดเหรียญแห่งโชคจากคอลินไปแล้ว เจ้าของร้านหนังสือน่าจะหยั่งรู้ถึงเคราะห์ที่ตกใส่หัวเจ้าหมอนี่ที่อาจมีผลต่อละแวกใกล้เคียงได้แน่ นั่นเป็นเหตุให้เขาให้พวกเราไปไล่เจ้าหมอนี่ออกไปเสีย

แต่เอ็ดมันด์ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเขามองพื้นเละเทะของร้านสื่อวีดิทัศน์แล้ว เขากลับรู้สึกว่าบางทีเจ้าของร้านหนังสืออยากจะ ‘ควบกิจการ’ เขตร้านข้าง ๆ ก็เป็นได้

“แล้วเราจะทำยังไงได้ล่ะ? กลับไปบอกคุณหลินว่าเกิดอะไรขึ้นกัน” บัตเลอร์ชราถอนหายใจ

หลังจากฟังคำเล่าแล้ว หลินเจี๋ยก็ได้เรียนรู้ว่าเพื่อนบ้านเขาที่แท้แล้วก็เป็นคนเด็ดเดี่ยว แต่เขากลับไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้เลย ในตอนนี้เอง หลินเจี๋ยพลันตระหนักว่าร้านข้าง ๆ เขาว่างแล้ว

เอ็ดมันด์รู้สึกว่าเขาได้รับความหมายที่จะสื่อแล้ว เขาจึงส่งโฉนดที่เพิ่งจะได้รับมาให้หลินเจี๋ย “หากคุณต้องการ เราสามารถช่วยคุณรีโนเวตร้านข้าง ๆ ให้ตามคำขอของคุณด้วยนะครับ”