บทที่ 152 ดื่มน้ำต้มสุกดีต่อสุขภาพ
บทที่ 152 ดื่มน้ำต้มสุกดีต่อสุขภาพ
หลังจากตรวจสอบอยู่หลายหน ใต้เท้าจี้ก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่บุตรชายพูดเป็นความจริง ด้วยเหตุนี้เขาจึงกล้าแสดงความอาจหาญออกมา และไม่สนใจจวนเซวียนผิงโหวอีกต่อไป
ทางด้านจวนเซวียนผิงโหวโกรธเคืองจนกัดฟันกรอด แต่ก็ทำได้เพียงอดกลั้นเท่านั้น
ทว่าหลี่หนานจูไม่ใช่ผู้ที่สามารถอดกลั้นได้ พอไม่เชื่อนางก็ส่งเสียงเอะอะโวยวาย นางไม่เพียงแต่ตรงไปที่บ้านตระกูลจี้เพื่อเอาความ แต่ยังไปหาคู่หมั้นของจี้อวิ่นอัน ทำให้แม่นางผู้แสนดีต้องอับอายและบอบช้ำ หากว่าจิตใจของนางนั้นไม่แข็งแกร่งพอ อาจทำให้นางคิดสั้นแล้วก็เป็นได้
แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้ตระกูลจี้รำคาญใจเป็นอย่างมาก แต่จี้ไหวสืบทราบมาว่า วันนั้นนายน้อยแห่งจวนเซวียนผิงโหวจะไปหานางโลม เขาจึงพาคนไปที่นั่นเช่นเดียวกันเพื่อชิงเลือกตัวนางโลมผู้นั้นมาปรนนิบัติ และถือโอกาสนี้ประณามการกระทำของหลี่หนานจู ท่านหญิงจากจวนเซวียนผิงโหว ที่ตอนนี้เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งเมืองหลวง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็คงไม่มีบุรุษดี ๆ จากตระกูลใดอยากที่จะแต่งงานกับนางเป็นแน่
ผู้ที่ต้องการแต่งงานกับนาง คาดว่าเป็นเพราะอำนาจของครอบครัวฝั่งมารดาของนางที่อยู่เบื้องหลัง
บุคคลดังกล่าว ต้องมีพื้นฐานครอบครัวที่ยากจน เป็นชายผู้ไร้ความสามารถหรือด้อยศีลธรรม และพวกเขาถือว่านางเป็นเพียงบันไดเพื่อถีบตัวเองขึ้นไปเท่านั้น แต่หากคนเหล่านี้พบว่าอำนาจของตระกูลของหลี่หนานจูไม่มีประโยชน์ พวกเขาก็คงทอดทิ้งอย่างไม่ลังเลใจ
ดังคำกล่าวที่ว่า ปลูกสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น แม้ว่าหลี่หนานจูจะลงเอยเช่นนี้จริง ๆ แล้วในอนาคตมันจะเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ดี ก็เป็นเพราะสิ่งที่พวกเขาได้หว่านเอาไว้ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่สามารถกล่าวโทษผู้ใดได้
หลังจากได้ยินต้นสายปลายเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดแล้ว หนานกงหลีก็เดาะลิ้น
“จวนเซวียนผิงโหวยังคงหยิ่งยโสเช่นเคย”
เจี่ยเจินแค่นเสียงในลำคอ “พวกเขาก็เหมือนเสือกระดาษ ที่เพียงแค่สะกิดเบา ๆ ก็สามารถพังทลายลงได้ และมันก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะอาศัยอำนาจของผู้อื่นขู่เข็ญพวกเขาได้ตลอดไป”
หนานกงหลีเอ่ยเหยียดหยาม “ท่านอาหญิงของเรา ภายนอกดูเหมือนนางจะเป็นคนดี ทว่าความจริงแล้ว นางเป็นคนหน้าซื่อใจคด เมื่อครั้งอดีต ฮองเฮาเหนียงเหนียงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนใส่ความจนชีวิตหาไม่ เป็นนางที่โน้มน้าวฮ่องเต้องค์ก่อนว่าให้จัดการฝังพระศพฮองเฮาอย่างสมเกียรติ และมาเอ่ยกับเสด็จพี่ว่าให้เขาไปวัดต้ากั๋วเพื่อบำเพ็ญภาวนาให้ดวงวิญญาณไปอย่างสงบ
แม้ว่าการที่ท่านอาหญิงทำเช่นนี้จะเป็นเพราะว่านางมีจุดประสงค์บางอย่าง แต่เสด็จพี่ก็ยังยอมทำตามคำแนะนำของนาง ทว่าหลังจากเขาขึ้นครองบัลลังก์แล้ว ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการใส่ความครอบครัวของแม่ทัพเซียวและฮองเฮาถือว่าเป็นกบฏต่อเขาและต้องถูกตัดศีรษะทั้งหมด แต่องค์หญิงเหอซั่วได้ร้องขอให้ยกเว้นจวนเซวียนผิงโหวเอาไว้
ทว่าภายหลัง อีกฝ่ายก็ได้ให้หลี่เซียงอี๋เข้ามาอยู่ในวังหลังและมอบตำแหน่งพระสนมยศสูงให้กับนาง เสด็จพี่เองก็รับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่เก่งนัก ข้าคิดจริง ๆ ว่าสิ่งนี้จะทำให้องค์หญิงเหอซั่วควบคุมฮ่องเต้ไปตลอดชีวิต”
ยามที่เกิดเรื่องกับตระกูลเซียว ฮองเฮาถูกใส่ความจนชีวิตหาไม่ ไม่เห็นว่านางจะออกมาแย้งอะไรสักคำ แต่กลับมาแสดงตัวภายหลังเพื่อเอาหน้า ถามว่ามันมีประโยชน์อะไร คนก็ตายไปแล้ว
พอเสี่ยวเป่ารู้เรื่องในอดีตของท่านพ่อจากท่านอาเจ็ด หัวใจดวงน้อยพลันรู้สึกเจ็บปวดยิ่ง
ในอนาคต นางจะต้องปฏิบัติต่อท่านพ่ออย่างดีที่สุด!
หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด หนานกงหลีกับเจี่ยเจินก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว จากนั้นพวกเขาก็อุทิศตนอย่างจริงจังกับการทำโอสถ
เจี่ยเจินสมกับหมอผู้ฝีมือฉกาจ ก่อนวันไหว้พระจันทร์สองวัน เขาก็ทำยาออกมาได้สำเร็จ ทั้งยังอยู่ในรูปของยาลูกกลอน
มีตัวยาทั้งหมดสามเม็ด เป็นสีหยกขาวเจือสีแดงอ่อน ดูดีแต่มีรสขม
“ฝ่าบาท พระองค์ต้องการให้หาคนมาทดลองตัวยาหรือไม่?”
ยานี้ไม่ควรใช้สุ่มสี่สุ่มห้า
เจี่ยเจิน “หาคน? ยังมีใครที่โชคร้ายเหมือนกับฝ่าบาทของเจ้าอีกหรือ?”
ฝูไห่ “…”
คำถามนี้เขาไม่รู้จะตอบเช่นไรเหมือนกัน
“เช่นนั้น….”
“ไม่ต้อง”
หนานกงสือเยวียนยกมือขึ้นหยุดเขา และหยิบยาเม็ดหนึ่งมาเสวยโดยตรง
ในขณะนั้น ทุกคนต่างมองไปที่พระองค์เป็นสายตาเดียว โดยไม่พูดหรือเคลื่อนไหวใด ๆ ชั่วขณะหนึ่ง
หนานกงหลี “เสด็จพี่ทรงรู้สึกอย่างไรบ้าง?”
เสี่ยวเป่า “ท่านพ่อเจ็บหรือไม่?”
ฝูไห่ “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์ถึงประมาทเช่นนี้!”
เจี่ยเจินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ยาของข้ามันทำไมหรือ?”
เขามั่นใจในตัวเองมาก!
หนานกงสือเยวียนส่ายหัวและบอกว่าไม่เป็นไร
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หนานกงสือเยวียนไม่เพียงสบายดี แต่ยังรู้สึกตัวเบาขึ้นด้วยเล็กน้อย
เจี่ยเจินพยักหน้าหลังจากวัดชีพจรของพระองค์ “ไม่เลว ข้าระงับมันได้แล้ว ยานี้ยังเหลืออีกสองเม็ด รอถึงเช้าของวันไหว้พระจันทร์ก็ให้เสวยหนึ่งเม็ด และเสวยอีกครั้งในตอนกลางคืน หากรู้สึกว่าอาการประชวรกำเริบ”
ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้สึกโล่งใจ และเตรียมพร้อมสำหรับงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างจริงจัง
สิ่งสำคัญคือขนมไหว้พระจันทร์ จะถูกแจกจ่ายให้เหล่าขุนนางคนละสี่ชิ้นแบบคละรสชาติ
ไส้เฉ่าเหมยกวนหรือไส้ที่หายากอย่างไส้ดอกไม้ บางส่วนถูกเสี่ยวเป่าแอบมอบให้กับคนใกล้ชิด แน่นอนว่าขุนนางเหล่านั้นก็อาจจะต้องพลาดขนมไหว้พระจันทร์เหล่านี้ไป
แต่มีไส้ไข่เป็ดเค็มและอวิ๋นถุ่ยที่มีเหลือจำนวนไม่น้อย
ในวังไม่เคยขาดแคลนอวิ๋นถุ่ย แต่ถึงแม้ว่าจะมีไม่เพียงพอ ก็สามารถออกไปหาซื้อได้
ไข่เป็ดเค็มก็เช่นเดียวกัน ในสมัยนี้หากอยากจะถนอมไข่ ก็จะนำไข่เป็ดมาทำไข่เป็ดเค็ม เพียงแค่ออกไปเก็บไข่ที่ด้านนอกก็ได้แล้ว
เมื่อสิ้นสุดงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เหล่าขุนนางแต่ละคนก็หยิบขนมไหว้พระจันทร์ไปคนละสี่ชิ้น พวกเขาไม่ได้คิดอะไรมาก คิดเพียงว่าขนมไหว้พระจันทร์ย่อมเหมือนกับของปีที่แล้ว
แต่เมื่อกลับถึงบ้านและเปิดมันออก กลิ่นหอมที่ให้ความรู้สึกแตกต่างก็พลันดึงดูดความสนใจของสมาชิกในครอบครัวและเด็ก ๆ ทันที
“นี่คือขนมไหว้พระจันทร์ไส้อะไรหรือ? ดูจะไม่ค่อยเหมือนกับขนมไหว้พระจันทร์ที่ผ่าน ๆ มาเลยนะ”
“เหมือนว่าด้านในของขนมไหว้พระจันทร์นี้จะเป็นเนื้อสัตว์นะ? ขนมไหว้พระจันทร์สามารถทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”
“ส่วนชิ้นนี้เหมือนว่าจะเป็นไส้ไข่แดง ลองชิมแล้วรสชาติดีทีเดียว”
“ท่านพ่อ ข้าอยากกินขนมไหว้พระจันทร์ชิ้นนี้ ข้าไม่อยากกินไส้ถั่ว!”
“ไม่มีแล้วหรือ น้อยเสียจริง…”
และเรื่องราวเช่นนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นกับแค่ครอบครัวเดียว
ในหนึ่งกล่องมีขนมไหว้พระจันทร์สี่ชิ้นแบบคละรสชาติ ซึ่งเมื่อเปิดออกก็ถูกกินหมดอย่างรวดเร็ว
ปีนี้ขนมไหว้พระจันทร์ของทางวังหลวงมีรสชาติดีมาก แต่ว่าปริมาณน้อยไปหน่อย
สำหรับผู้อาวุโส แม้ว่าจะรู้สึกเสียดายแต่ก็สามารถยับยั้งชั่งใจได้ ทว่าเด็ก ๆ อาจจะมีงอแงตามประสา
บางคนถึงกับนอนกลิ้งกับพื้นและร่ำร้องว่าอยากกิน
แต่แม้จะเอ็นดูเด็ก ๆ แค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อขอเพิ่มให้เด็ก ๆ ได้
ทว่าปีนี้ ฮ่องเต้รับสั่งให้ทำออกมาหลากหลายรสชาติ ไม่เหมือนกับปีก่อน ๆ ที่เคยทำเลย
…
ณ พระราชวัง
เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนี้ จันทราลอยเด่นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี มันส่องแสงสว่างมากกว่าปกติและมีขนาดกลมเกลี้ยง หนานกงสือเยวียนรู้สึกหดหู่และหงุดหงิดทันทีที่พระจันทร์ปรากฏขึ้น ร่างกายของเขากำลังจะตกอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งอีกครั้ง
โชคดีที่เสี่ยวเป่านำยาเม็ดสุดท้ายยัดเข้าปากเขาได้ทันท่วงที นางประทับฝ่ามือน้อย ๆ ถ่ายโอนพลังวิญญาณไปที่ร่างของบิดา
ทันใดนั้นเอง กู่ที่กัดกินหัวใจของเขา ทำให้เกิดอาการกระสับกระส่ายและมีความคิดอยากจะกลายเป็นปีศาจที่คลุ้มคลั่งก็ถูกระงับในที่สุด แม้พระจันทร์จะเต็มดวง แต่เขายังคงมีอาการปกติ ไม่ฟุ้งซ่านหรือเสียสติที่ทำให้พระญาติและคนรอบข้างต้องหวาดกลัว
ฝูไห่ตื่นเต้นจนทำแส้หางม้าในมือตกพื้น น้ำตาเอ่อคลอเต็มเบ้า “สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว!”
ผู้คนที่อยู่โดยรอบต่างเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความปีติยินดี เสี่ยวเป่ากระโดดร้องขอให้บิดาอุ้มนางขึ้น
หนานกงสือเยวียนอุ้มเด็กน้อยที่ปีนป่ายอยู่บนร่างของเขาขึ้นมา ชายหนุ่มยกยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ความสุขนั้นฉายชัดในดวงตาของเขา
หลังจากนั้น เสี่ยวเป่าผู้เต็มไปด้วยความเริงร่าระคนกระตือรือร้น ท่านพ่อ ท่านอา และบรรดาพี่ชายของนาง ก็พากันไปยังตำหนักข้าง ๆ เพื่อดื่มเฉลิมฉลอง
แน่นอนว่าการดื่มฉลองในครั้งนี้ มีเพียงเสี่ยวเป่าที่ถือนมอยู่ผู้เดียว นางร่วมวงกับพี่ชายของนางที่ไม่ได้ดื่มเช่นเดียวกัน และในมือของพวกเขาต่างก็ถือน้ำต้มสุกไว้ในมือ
“เหตุใดพวกเราต้องดื่มน้ำต้มสุกด้วย?”
เสี่ยวเป่าตอบออกมาอย่างน่าเอ็นดู “การดื่มน้ำต้มสุกเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพนะเพคะ”
บรรดาเหล่าพี่ชาย “…”
เหตุใดพวกเขาถึงรู้สึกว่า ตนเองได้รับการสั่งสอนกันนะ…
เสี่ยวเป่าจิบนมพลางจ้องมองพี่ชายด้วยความไร้เดียงสา