ตอนที่ 113

Silver Overlord

113 – มาถึงสักที

เอี้ยนลี่เฉียงอยู่ในความงุนงงตลอดเวลาจนกระทั่งเขาออกจากสำนักงานผู้ว่าการทหาร หลังจากการกระทำที่กล้าหาญของเขาเมื่อวานนี้

มันทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของผู้ว่าการทหารของแคว้นผิงซี ประสบการณ์นี้เป็นเหมือนกันนั่งรถไฟเหาะมันขึ้นลงอย่างกะทันหันจนเขาไม่สามารถตั้งตัวติด

เอี้ยนลี่เฉียงสัมผัสเหรียญตราทหารคุ้มกันของสำนักงานผู้ว่าการทหารที่ติดอยู่ด้านหน้าหน้าอกของเขา ความรู้สึกที่เย็นและมั่นคงของป้ายโลหะในที่สุดก็ทำให้หัวใจดวงน้อยของเขาสงบลง

สือฉางเฟิงแนะนำเอี้ยนลี่เฉียงบนรถม้า “ องครักษ์ของท่านผู้ว่าการทหารล้วนเคยเป็นศิษย์พี่ของเจ้าจากสถาบันศิลปะการต่อสู้ของแคว้นผิงซี พวกเขากลายเป็นนักสู้ที่แท้จริงไปแล้วเจ้าก็อยากได้หย่อนยานในการฝึกฝนตัวเองไป

การกระทำของผู้ว่าการทหารในครั้งนี้ถือเป็นการช่วยเหลือเจ้าแม้แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะมีวาสนาถึงระดับนี้ แต่เจ้าไม่อาจนิ่งนอนใจได้หากท้ายที่สุดแล้วเมื่ออายุยี่สิบปีเจ้าไม่สามารถกลายเป็นนักสู้ที่แท้จริงตำแหน่งของเจ้าก็จะไม่มั่นคงต่อไป! “

“ขอบคุณสำหรับคำเตือนครับอาจารย์!”

“พวกเจ้าจะมีโอกาสได้ศึกษาที่สถาบันศิลปะการต่อสู้ประจำแคว้นผิงซีหกปี ไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วเจ้าจะสามารถเป็นนักสู้ได้หรือไม่เจ้าก็ต้องออกจากสำนักไป

ตอนนี้เจ้าอายุเพียงสิบสี่ปีอีกทั้งยังเป็นถึงองครักษ์ประจำตัวของผู้ว่าการมณฑลทหารมันจะทำให้ผู้คนรู้สึกอิจฉาเจ้าเป็นอย่างมาก

แต่ถ้าภายในหกปีข้างหน้าเจ้าไม่สามารถกลายเป็นนักสู้ได้ เจ้าคิดว่าท่านผู้ว่าการทหารจะยังให้เจ้าเป็นองครักษ์ของเขาอยู่หรือ?”

เอี้ยนลี่เฉียงส่ายหัว “ ไม่แน่นอนถ้าถึงเวลานั้นจริงๆแม้ท่านผู้ว่าการทหารจะไม่เอ่ยปากแต่ข้าก็ไม่มีหน้าจะอยู่รับใช้เขา!”

“เจ้าเข้าใจก็ดีแล้ว!” สือฉางเฟิงพยักหน้า

หลังจากนั้นการแสดงออกของเขาเปลี่ยนไปเป็นเคร่งเครียดอีกครั้ง

“นอกจากนี้ชาวชาตูเหล่านั้นยังหยิ่งยโสดื้อด้านเจ้าเล่ห์และโหดเหี้ยมหากพวกเขาต้องการแก้แค้นจริงๆพวกเขาก็จะทำแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าเจ้าเป็นผู้คุ้มกันของผู้ว่าการทหารก็ตาม”

เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกหนาวสั่นในใจ “ อาจารย์คุณกำลังบอกว่าชาวซาตูพวกนั้นกล้าที่จะสังหารใครบางคนในเมืองผิงซีอย่างเปิดเผย?”

“ เจ้าก็เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่าพวกมันเป็นอย่างไร เจ้าคิดว่าพวกมันจะรู้สึกหวาดกลัวในกฎหมายของอาณาจักรฮั่นอย่างนั้นหรือ? “

เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้าอย่างหนัก

“นอกจากนี้ให้ถือว่านี่เป็นคำเตือนจากข้า ในสถาบันศิลปะการต่อสู้ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีพลังมากพอเจ้าก็ไม่ควรทำตัวโด่งดังพยายามเก็บตัวเงียบๆ

เจ้าควรจะรู้ดีว่าในโลกนี้มีคนดีเลวปะปนกันไป…สถาบันศิลปะการต่อสู้ก็เช่นกัน การทำตัวโดดเด่นนั้นไม่เป็นประโยชน์มันจะทำให้เจ้าตกเป็นเป้าหมายของทุกคน”

“ เข้าใจแล้วจากนี้ไปนอกจากการไปที่สำนักงานผู้ว่าการทหารหรือเมื่อจำเป็นเท่านั้นข้าจะไม่อวดสถานะของตัวเองอย่างเด็ดขาด!”

“ดีโปรดจำไว้ว่าแม้แต่ต้นไม้ใหญ่ก็ยังถูกลมโค่นลงได้!”

“อาจารย์ข้ามีคำถามบางอย่างไม่ทราบว่าจะเหมาะสมหรือไม่ “

“ถามมา”

“ สถาบันศิลปะการต่อสู้ของแคว้นผิงซีในปีนี้ได้เปิดรับผู้สมัครเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องการนักเรียนที่เคยฝึกฝนศิลปะการยิงธนูมาก่อน ข้าสงสัยว่าพวกเรากำลังจะทำสงครามใช่หรือไม่?”

สือฉางเฟิงจ้องมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงโดยไม่กระพริบตาก่อนที่เขาจะพยักหน้าช้าๆ

“ ไหวพริบของเจ้าไม่ธรรมดา จักรวรรดิฮั่นอันยิ่งใหญ่และทวีปสีเงินกำลังเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ปีที่แล้วสงครามเกือบจะเกิดขึ้นที่ทิศเหนือกับชาวชามานแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะไม่เกิดขึ้นก็ตาม

แต่ด้วยความแข็งแกร่งของชาวชามานซึ่งพวกเขาเพิ่งยึดครองและทำลายอาณาจักรชิลลา พวกเราทุกคนเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่ปีพวกเขาจะต้องยกทัพกลับมาอีก”

“เหตุไฉนพวกเราไม่ยกทัพข้ามไปก่อน การเป็นฝ่ายตั้งรับจะทำให้พวกเราสูญเสียเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะได้รับชัยชนะแต่ชาวบ้านที่ชายแดนก็ต้องได้รับความเดือดร้อน?” เอี้ยนลี่เฉียงจงใจดึงคำถามที่น่าจะเป็นไปได้มากสำหรับเด็กที่อายุเท่าเขาจะถามออกไป

สือฉางเฟิงยิ้มอย่างเบี้ยวส่ายหัวก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ

“ หลายสิ่งไม่ง่ายอย่างที่คิดเพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติอันดับแรกเราต้องกำจัดศัตรูที่อยู่ภายในเสียก่อน ยังคงมีความวุ่นวายอยู่ภายในอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่นี่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขได้ด้วยคำคำเดียว เมื่อเจ้าเติบโตขึ้นเจ้าจะเข้าใจเองตอนนี้สิ่งที่เจ้าทำได้ก็คือต้องพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเองให้มากที่สุด “

ในระหว่างการสนทนากับสือฉางเฟิงในที่สุดรถม้าก็มาถึงสถาบันศิลปะการต่อสู้แคว้นผิงซี ‘

“เจ้าลงไปรายงานตัวอยู่ตรงนั้น ส่วนข้าจะไปรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กับอาจารย์ใหญ่ “

“ขอบคุณครับอาจารย์!”

เอี้ยนลี่เฉียงกล่าวคำอำลากับสือฉางเฟิงแล้วก็คว้ากระเป๋าเดินทางและกระโดดลงจากรถม้าของสือฉางเฟิงอย่างรวดเร็ว

เอี้ยนลี่เฉียงยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าหลักของสถาบันศิลปะการต่อสู้พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทางเข้าอันงดงามของสถาบันศิลปะการต่อสู้ด้วยรอยยิ้มสดใส ในที่สุดเขาก็มาถึงแล้ว

ทางเข้าหลักของสถาบันศิลปะการต่อสู้ตั้งอยู่ที่เชิงเขา กำแพงเป็นสีแดงและกระเบื้องมุงหลังคาเป็นสีน้ำเงิน มีต้นสนอยู่ทั่วไปบนภูเขาเขียวชอุ่มจนสุดสายตา

อาคารจีนโบราณที่น่าสนใจและมีเสน่ห์ถูกซ่อนอยู่ท่ามกลางป่าเหล่านั้น จากภายนอกสถานที่แห่งนี้ดูเหมือนอุทยานแห่งชาติหรือหนึ่งในรีสอร์ทสำหรับวันหยุดสุดหรูเหล่านั้น

ประตูหลักสีแดงสดของสถาบันศิลปะการต่อสู้ประจำแคว้นผิงซีเปิดกว้าง มีโต๊ะอยู่ตรงทางเข้าและมีคนต่อคิวอยู่ด้านหน้าไม่กี่คน

ทุกคนเป็นเด็กหนุ่มอายุระหว่างสิบแปดหรือสิบเก้าปี ดูเหมือนพวกเขาจะเป็นนักเรียนที่มารายงานตัวในวันนี้

เอี้ยนลี่เฉียงเดินไปและเข้าคิวที่ท้ายแถวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว
ในเวลาไม่นานก็ถึงตาของเอี้ยนลี่เฉียง

“ ชื่อเต็ม? บ้านเกิด?” เจ้าหน้าที่สอบถามด้วยน้ำเสียงคล้ายกับหุ่นยนต์ไม่มีชีวิตชีวา

“เอี้ยนลี่เฉียงจากมณฑลชิงไห่!”

หลังจากที่เอี้ยนลี่เฉียงให้คำตอบ เจ้าหน้าที่พลิกดูรายชื่อจากมณฑลชิงไห่ก็เห็นชื่อของเอี้ยนลี่เฉียง

“เจ้าคือเอี้ยนลี่เฉียงที่เป็นอันดับหนึ่งในการสอบคนนั้น? เขามองเอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาประหลาดใจ

“ประทับลายนิ้วมือไว้ที่นี่” เขาส่งกล่องหมึกสีแดงให้เอี้ยนลี่เฉียง

เอี้ยนลี่เฉียงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับขั้นตอนนี้ เขาทิ้งรอยนิ้วหัวแม่มือไว้ท้ายชื่ออย่างรวดเร็ว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เปรียบเทียบรอยนิ้วมือที่เอี้ยนลี่เฉียงเพิ่งทิ้งไว้ก่อนที่เขาจะพยักหน้าให้และส่งทะเบียนให้ชายชราที่อยู่ข้างๆเขา

ชายชราตรวจสอบลายนิ้วหัวแม่มือทั้งสองอย่างรวดเร็วอีกครั้งแล้วลงชื่อกำกับในตอนท้ายก่อนที่เขาจะส่งคืนทะเบียนให้คนตรงหน้า

จากนั้นเขาก็ดึงแผ่นป้ายประจำตัวโลหะที่มีขนาดประมาณครึ่งฝ่ามือจากลิ้นชักและส่งให้เอี้ยนลี่เฉียง

“ป้ายนี้ใช้สำหรับการเช็คชื่อเข้าเรียนในสถาบันศิลปะการต่อสู้ หากเจ้าทำหายเจ้าต้องจ่ายเป็นเงินสิบเหรียญทอง ตารางเรียนรายเดือนและสถานที่เรียนจะถูกติดไว้บนกระดานข่าว เจ้ามีเวลาสามวันเพื่อค้นหาบ้านพักในเมืองผิงซี”

ทุกอย่างเรียบง่ายกว่าที่เอี้ยนลี่เฉียงคาดไว้ สถาบันศิลปะการต่อสู้จะจัดการเรียนการสอนเพียงครั้งเดียวทุกสัปดาห์และนักเรียนมีอิสระที่จะใช้เวลาที่เหลืออยู่ตามที่พวกเขาต้องการ

การจัดที่พักและอาหารของนักเรียนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของสถาบันศิลปะการต่อสู้ดังนั้นนักเรียนจะต้องจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง

หลังจากหกปีคนที่ประสบความสำเร็จจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าเหมือนมังกรในขณะที่คนที่ไม่ประสบความสำเร็จจะท่องไปในทุ่งเหมือนงู ทุกคนจะออกไปสู่ชะตากรรมของตัวเอง

เอี้ยนลี่เฉียงยังคงงุนงงแต่จู่ๆเสียงก็ดังขึ้นจากด้านหลังเขา

“ เอี้ยนลี่เฉียง !!”

เอี้ยนลี่เฉียงหันหน้าไปรอบๆและเห็นสือต้าเฟิงกระโดดลงจากหลังม้าแรดพร้อมกับโบกมือให้เขาอย่างตื่นเต้น …