ตอนที่ 31 กระโดด

จากจุดที่หยางเย่และสตรีชุดขาวหนีมาได้ไม่นานนัก ชายหนุ่มสองคนมีตรากะโหลกอยู่ตรงอกซ้ายปรากฏตัวขึ้น

ชายหนุ่มร่างสูงปิดตาลงเล็กน้อยก่อนจะใช้จมูกดม ไม่นานเขาเปิดตาขึ้นพร้อมกล่าว “มีกลิ่นของมนุษย์หลงเหลืออยู่ เทพธิดาซูและชายหนุ่มที่พานางหนีไปเคยอยู่ที่นี่!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายตัวเตี้ยด้านข้างเผยแววตาเปล่งประกายออกมา “เฉียวจื้อ ข้าได้ยินมาว่าเทพธิดาซูงดงามอย่างหาผู้ใดเทียบไม่ได้ ยามนี้นางถูกผนึกจากผนึกโลหิตทมิฬ นั่นคือนางไม่มีความแข็งแกร่งใดอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่?”

เฉียวจื้อขมวดคิ้ว “เฮ่ยจื้อ โยนความคิดสกปรกของเจ้าทิ้งเสีย แม้ว่านางจะถูกผนึกพลัง แต่ยอดฝีมือระดับนั้นย่อมมีวิธีป้องกันตนเองอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคำสั่งที่พวกเราได้รับคือสังหารนาง เจ้าไม่กลัวจะถูกลงโทษหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมางั้นหรือ?”

ท่าทีของชายนามว่าเฮ่ยจื้อเคร่งเครียดทันทีที่ได้ยินคำว่าลงโทษ เขายิ้มออกมาอย่างเขินอายพร้อมกล่าว “ข้าแค่ล้อเล่นน่ะ แค่ล้อเล่น เอาเถอะ รีบค้นหาพวกมันต่อ!”

เฉียวจื้อมองออกไปอย่างเย็นเยือก จากนั้นพวกเขาพุ่งไปทางที่หยางเย่หลบหนี

…….

ในเส้นทางของขุนเขาไม่สิ้นสุด นอกจากจะมีศัตรูไล่ล่าทางด้านหลังแล้ว ยังมีสัตว์อสูรทมิฬที่น่ากลัวอีกมากมาย โดยเฉพาะทางที่ไปยิ่งลึกเท่าไหร่สัตว์อสูรทมิฬยิ่งเพิ่มขึ้นทุกที หากสตรีชุดขาวไม่มีสัมผัสรู้แจ้งที่ยอดเยี่ยม พวกเขาคงลงไปอยู่ในท้องของเหล่าสัตว์อสูรทมิฬแล้ว!

หยางเย่วางสตรีชุดขาวลงในถ้ำลึกลับก่อนจะนำวัสดุสร้างยันต์ออกมา จากนั้นเขาปล่อยนางนั่งไว้ด้านข้างและเริ่มสร้างยันต์สื่อสาร

หยางเย่ทราบดีว่าหากยังหนีต่อไปโดยไร้จุดหมาย ศัตรูแทบไม่จำเป็นต้องไล่ล่าด้วยซ้ำ เพราะพวกเขาคงตายด้วยฝีมือของสัตว์อสูรทมิฬแทน เวลานี้เขาทำได้เพียงสร้างยันต์สื่อสารขึ้นมาและขอให้นางเรียกกำลังเสริม มิเช่นนั้นพวกเขาคงไม่มีทางรอดใดอีก!

เมื่อนางเห็นหยางเย่ถือพู่กันเขียนยันต์และวาดลงบนกระดาษเปล่า ดวงตาของสตรีชุดขาวเปล่งประกายก่อนจะเดินไปหาหยางเย่อย่างช้า ๆ ทันทีที่เห็นพลังปราณทองคำบิดไปมาบนนั้น นางตกตะลึงในใจพร้อมกล่าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว “เจ้าคืออาจารย์ยันต์งั้นหรือ?”

เมื่อได้ยินสตรีชุดขาวเอ่ยถาม มือหยางเย่เกิดอาการสั่นเทาจนทำให้เส้นเอียง จากนั้นเส้นทั้งหมดในยันต์บิดเบี้ยวจนเป็นกระจุก มันกำลังจะกลายเป็นแค่ขยะชิ้นหนึ่ง

หยางเย่เงยหน้ามองนางพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ท่านไม่ทราบหรือไงว่าไม่ควรรบกวนคนที่กำลังสร้างยันต์อยู่?”

ทันทีที่กล่าวจบ เขานำกระดาษแผ่นใหม่ออกมาและเริ่มวาดอีกครั้ง

เมื่อได้ยินหยางเย่ตักเตือน นางไม่มีอาการโมโหใดแต่กลับสนใจมากกว่าเดิม ดวงตาที่อ่อนโยนของนางมองไปยังกระดาษยันต์ที่ว่างเปล่า มันไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสนั่งดูคนสร้างยันต์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้

หยางเย่ถือพู่กันเขียนยันต์และเริ่มวาดบนกระดาษ เขาไม่กล้าที่จะหายใจรุนแรง แต่ไม่ว่าจะระมัดระวังเพียงใด ยันต์อันที่สองก็ล้มเหลวอยู่ดี

เขาไม่เคยสร้างยันต์สื่อสารมาก่อน ดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะประหม่า ยิ่งกว่านั้นเมื่อ

สตรีชุดขาวดูผิดหวังเล็กน้อยเมื่อเห็นยันต์ล้มเหลว แต่ความผิดหวังนี้มันปรากฏออกมาชั่วครู่เท่านั้น นางมองไปที่หยางเย่ก่อนจะกล่าว “เจ้าต้องสงบจิตใจลงมากกว่านี้ มิเช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างยันต์สื่อสารได้ เจ้ายังมีเวลาเพียงพอและไม่ต้องรีบร้อน เพราะบรรดายอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์ได้วิ่งไปอีกทางแล้ว!”

หยางเย่รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมากเมื่อได้ยิน จากนั้นเขาพยักหน้า ไม่นานเขาเริ่มสงบจิตใจลงได้ หยางเย่ถือพู่กันขึ้นและเริ่มวาดมันอีกครั้ง

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา หยางเย่วางพู่กันขึ้นและนั่งลงบนพื้นเพื่อหอบหายใจ “ยันต์นี้วาดยากมาก! โชคดีที่ข้าทำมันเสร็จแล้ว!”

ขณะที่จ้องมองอย่างประหลาดใจในรูปลักษณ์ของยันต์ ประกายแห่งความสุขผ่านเข้ามาในดวงตาของสตรีชุดขาว อาการตกตะลึงปรากฏบนใบหน้านางทันทีที่ทราบคุณภาพของยันต์นี้ มันคือยันต์ระดับสูง! ถึงแม้นางจะไม่ใช่อาจารย์ยันต์ แต่นางก็ทราบดีว่ามันคือยันต์ระดับสูงแน่นอน

ชายหนุ่มคนนี้เป็นอาจารย์ยันต์ขั้นปฐพีงั้นหรือ? สตรีชุดขาวส่ายหัวและหยุดความคิดเหล่านั้น นางหยิบยันต์ขึ้นจากก้อนหินพร้อมโยนขึ้นกลางอากาศ เมื่อเห็นว่ามันหายไปแล้ว นางหันไปมองหยางเย่ก่อนจะกล่าว “รีบหนีกันเดียวนี้ มิเช่นนั้นมันจะสายเกินไป!”

“อะ… อะไรนะ?” หยางเย่รู้สึกสับสน

“ยอดฝีมือขั้นปราณสวรรค์สองคนอยู่ห่างจากเราเพียงห้ากิโลเมตรเท่านั้น พวกมันกำลังตรงมาทางนี้ด้วยความเร็วสูงสุด!”

“ท่าน?”

“ข้าโกหกเจ้า”

หยางเย่ไม่มีคำกล่าวใด เขาไม่ต้องการเสียเวลาเพิ่ม จึงรีบแบกสตรีชุดขาวขึ้นหลังพร้อมวิ่งออกจากถ้ำไปยังเหวมรณะทันที

“นานเท่าไหร่กว่ายอดฝีมือสำนักดาบราชันจะมาถึง?” หยางเย่ถามด้วยน้ำเสียงต่ำ

“ประมานหนึ่งชั่วยาม!”

หยางเย่ถอนหายใจโล่งอกเมื่อได้ยิน โชคดีที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม พวกเขาคงสามารถทนได้จนกำลังเสริมมา

แม้สิ่งที่สตรีชุดขาวกล่าวก่อนหน้าจะทำให้เขาโล่งอกก็ตาม แต่ก็ต้องหายไปเมื่อได้ยินนางกล่าวอีกครั้งว่า “ยอดฝีมือขั้นจิตวิญญาณกำลังรีบรุดมาทางนี้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของเขาเทียบได้กับหัตถ์โลหิตได้เลย”

ใจหยางเย่แทบจะหยุดเต้น ‘เทียบเท่ากับหัตถ์โลหิตงั้นหรือ?’

นี่ถือเป็นเรื่องอะไร? ไม่ใช่หมายความถึงหากยอดฝีมือผู้นั้นคิดสังหาร เพียงกระดิกนิ้วเขาก็ตกตายแล้วหรอกหรือ?

‘เราควรทำยังไงดี? เราไม่อาจจะสู้เขาได้ตอนนี้ ยอมแพ้งั้นหรือ? ถึงแม้เราตั้งใจจะทำเช่นนั้น พวกเขาจะยอมรับมันได้หรือ? เราเหลือเพียงหนทางเดียวคือวิ่งหนี วิ่งราวกับชีวิตเราขึ้นอยู่กับการวิ่งนี้!’

“ตรงไปยังเหวมรณะของเทือกเขาแห่งความตายเร็ว!” สตรีชุดขาวกล่าวน้ำเสียงต่ำ

หยางเย่ไม่ลังเลสิ่งใดพร้อมพุ่งไปอย่างรวดเร็วที่เทือกเขาแห่งความตาย

……

มันเป็นเทือกเขาที่ค่อนข้างสูงชัน ถึงแม้มันจะไม่สูง แต่กลับยาวและกว้างอย่างมาก ระยะมันยาวกว่าพันกิโลเมตร รูปร่างยังราวกับมังกรขนาดมหึมา

มันคือเทือกเขาแห่งความตาย การเข้าสู่เทือกเขานี้เท่ากับการเข้าสู่ขุนเขาไม่สิ้นสุดโดยแท้จริงแล้ว กล่าวได้ว่ามันเป็นเกราะกำบังของขุนเขาไม่สิ้นสุด หากมีผู้ใดต้องการผ่านเข้าไปและยังไม่อาจบรรลุขั้นปราณสวรรค์ มันก็คงเป็นไปไม่ได้! เพราะเทือกเขานี้เต็มไปด้วยสัตว์อสูรทมิฬที่พลังทัดเทียมกับขั้นปราณสวรรค์!

เพียงแค่สัตว์อสูรทมิฬจำนวนมากและสมุนไพรหายากรอบขุนเขา บรรดายอดฝีมือของมนุษย์ต่ำกว่าขั้นปราณสวรรค์ก็สามารถล่าได้แล้ว อันที่จริงพวกเขาไม่กล้าย่างเท้าเข้าไปยังขุนเขาไม่สิ้นสุดด้วยซ้ำ

แน่นอน แม้สัตว์อสูรทมิฬเหล่านั้นจะไม่ออกมา มนุษย์ที่ไม่ยังไม่บรรลุขั้นปราณสวรรค์ก็ไม่กล้าเข้าไปอยู่ดี ไม่เพียงแค่จะเป็นโลกของสัตว์อสูรทมิฬเท่านั้น ความสูงและความหนาของป่าที่ปกคลุมโดยรอบนั้น ยังทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่หลงได้ตลอดเวลา

เหตุผลที่ทำให้มนุษย์หยุดคิดที่จะเข้าไปยังขุนเขาไม่สิ้นสุด ก็เพราะชื่อของมันคือเทือกเขาแห่งความตาย!

มีหุบเหวหนึ่งที่ลึกอย่างยิ่งตรงขอบของเทือกเขานี้ มันถูกเรียกว่าเหวมรณะ!

เหวมรณะทอดยาวถึงสามกิโลเมตรและกว้างถึงสามร้อยเมตร และสองข้างนั้นทั้งเรียบและชันทำให้มันดูอันตรายอย่างยิ่ง เหวมรณะอยู่ใต้หน้าผาชันแห่งนี้ มันลึกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังถูกปกคลุมด้วยหมอกสีแดงตลอดทั้งปี

ตามที่ลือกันไว้ มีโครงกระดูกมนุษย์นับร้อยพันอยู่ใต้หุบเหวนี้ พวกเขาคือมนุษย์ที่ก้าวเท้าเข้าไปยังเทือกเขาแห่งความตาย…

กล่าวโดยง่ายคือ เหล่าสัตว์อสูรทมิฬไม่ต้อนรับมนุษย์ในเทือกเขาแห่งความตายนี้

หยางเย่แบกสตรีชุดขาวไว้ด้านหลังจนมาถึงเหวมรณะ ขณะที่กำลังจะเข้าไปยังจุดลึกของเทือกเขาแห่งความตาย นางรีบหยุดหยางเย่พร้อมกล่าว “อย่าเข้าไปข้างในนั้น มีสัตว์อสูรราชันเฝ้าอยู่ มันจะบดขยี้เจ้าเมื่อไปถึงที่นั่น!”

สัตว์อสูรราชัน! หยางเย่ถึงกับกลืนน้ำลาย สัตว์อสูรราชันเทียบได้กับมนุษย์ขั้นปราณสวรรค์ แต่พละกำลังมันมีมากกว่ามนุษย์ พลังป้องกันและความแข็งแกร่งทางกายภาพก็เช่นกัน!

“พวกเราควรทำยังไงกันดี?” หยางเย่เอ่ยถาม เนื่องจากสตรีชุดขาวบอกให้เข้ามาที่นี่ เช่นนั้นแล้วนางคงมีหนทางช่วยเหลือแน่นอน

สตรีชุดขาวชี้ไปยังเหวมรณะด้วยนิ้วที่เรียบงามพร้อมกล่าว “กระโดดลงไป”

“อะ… อะไรนะ? กระโดดงั้นหรือ?” หยางเย่คิดว่าหูเขาเพี้ยนไปแล้ว

สตรีชุดขาวพยักหน้าพร้อมกล่าว “หุบเหวนี้มีพลังงานลึกลับที่ผนึกการบ่มเพาะพลังของใครก็ตามที่ลงไปด้านล่าง โอกาสรอดเดียวของพวกเราคือกระโดดลงไปที่นั่น!”

หยางเย่มองไปยังหุบเหว มันแทบจะมองไม่เห็นก้นเหวด้วยซ้ำ ทั้งยังปกคลุมไปด้วยหมอกสีแดง มองเพียงครั้งเดียวก็ทราบแล้วว่า มีบางสิ่งที่เลวร้ายรอพวกเขาอยู่ด้านล่างนั้น

“พวกเราจะกระโดดลงไปจริงงั้นหรือ” หยางเย่กลืนน้ำลาย แม้เขาไม่ใช่คนขี้ขลาด แต่เหวนี้ดูน่ากลัวจนเกินไป

“ฮ่าฮ่า!! เทพธิดาซู ท่านจนตรอกแล้ว!” ทันใดนั้นเอง จุดสีดำปรากฏขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า มันรวดเร็วยิ่งนัก ในชั่วพริบตาเดียว จุดดำนั้นขนาดเพิ่มเท่ากำปั้น และเมื่อกระพริบตาอีกครั้ง ขนาดมันเท่ากับศีรษะแล้ว

เขาแทบไม่กล้ากระพริบตาและหยุดความลังเล แบกร่างสตรีชุดขาวไว้กลางหลัง จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพุ่งทะยานสู่หุบเหวมรณะ

อย่างที่นางกล่าวไว้ พวกเขาไม่รอดแน่หากยังอยู่ที่นี่ แต่หากเสี่ยงกระโดดลงไปโอกาสรอดชีวิตยังพอมี เมื่อนึกได้เช่นนั้นการกระโดดลงไปคงดีกว่าแน่นอน!

ทันทีที่หยางเย่กระโดดลงไปยังเหวมรณะ ชายรอยสักก็มาถึงจุดที่ทั้งสองยืนอยู่เมื่อครู่พอดี เขามองลงไปในหมอกที่ทั้งสองหายตัวไป ท่าทางของเขาดูมืดหม่นอย่างมาก จากนั้นลังเลใจอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ไล่ตามไป เพราะหุบเหวมันช่างดูลึกลับยิ่งนัก เขาเองก็ไม่กล้าลงมืออย่างไร้สติเช่นกัน!

ด้วยการขยับมือขวา ยันต์สื่อสารลอยขึ้นฟ้าอีกครั้ง ชายรอยสักกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำ “พวกมันทั้งคู่กระโดดลงไปยังเหวมรณะแล้ว หยุดค้นหาพวกมันและหยุดแผนทั้งหมดเดียวนี้ ทุกคนรีบซ่อนตัวในทันที ผู้ใดที่ไม่ฟังคำสั่งจะถูกลงโทษตามกฎของสำนัก!”