บทที่ 167 ความใจแคบหายไป

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 167 ความใจแคบหายไป

“การฝากตัวเข้าพันธมิตรเจ็ดสำนักคือความฝันของข้า”

“การเตรียมการทุกอย่างตอนนี้ขาดเพียงแค่ประสบการณ์เท่านั้น ความพยายามของข้าจะสูญเปล่าเพราะความเลินเล่อของตัวเองไม่ได้

“วันนี้ข้ารับมาสิบหกภารกิจ ศิษย์พี่สวี่ พรสวรรค์ของข้าธรรมดาๆ ยิ่งต้องขยันถึงจะถูก ต่อให้บาดเจ็บข้าก็จะยอมแพ้ไม่ได้ อาการบาดเจ็บแค่นี้นับเป็นเรื่องอะไรกัน!”

ติงเสวี่ยสายตามุ่งมั่น

“ข้าจะให้ท่านน้าผิดหวังไม่ได้!

“ศิษย์พี่สวี่ วันนี้ท่านพยุงข้าปฏิบัติภารกิจให้เสร็จได้หรือไม่ รบกวนท่านแล้ว”

ติงเสวี่ยพูดมามีเหตุผล เสียงแผ่วเบาอ่อนแรงเล็กน้อย พูดจบก็คิดจะก้มตัวคารวะ แต่ร่างอ่อนแรงจะทรุดฮวบลงไป สวี่ชิงเข้าไปประคองเอาไว้ตามสัญชาตญาณ

ร่างของติงเสวี่ยล้มไปในอ้อมแขนสวี่ชิง ขนตากะพริบ ลมหายใจติดขัดเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าดวงน้อยแดงก่ำ

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลอยู่เลาๆ แต่กลับไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร ถึงอย่างไรอาการบาดเจ็บของนางก็เป็นของจริง อีกทั้งยังสาหัสมากจริงๆ เช่นกัน

วันนี้สวี่ชิงประคองให้ติงเสวี่ยปฏิบัติภารกิจทั้งสิบหกภารกิจนั่นเสร็จสิ้นไปเช่นนั้นเอง ส่วนติงเสวี่ยแม้จะอ่อนแรง แต่ความเบิกบานในใจพุ่งถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว

นี่ก็คือผลลัพธ์ที่นางอยากได้ ครั้งนี้นางขอร้องท่านน้าให้สวี่ชิงมาเป็นผู้คุ้มครอง จุดประสงค์ก็เพื่อสัมผัสใกล้ชิดสนิทสนมกับเขา เกิดมิตรภาพที่หยั่งรากลึกมั่นคง

นางรู้ดีว่าหากอยากจู่โจมสวี่ชิง จะรีบร้อนไม่ได้

ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ทางที่ดีที่สุดคือค่อยๆ บ่มเพาะความรักถึงจะเป็นแผนการอันยอดเยี่ยม

ดังนั้นนางถึงได้ทำตัวเองให้บาดเจ็บสาหัสขนาดนี้

แต่นางก็รู้ว่าแผนนี้จะใช้ทุกวันไม่ได้ จะเปิดเผยท่าทีออกมาเกินสมควรก็ไม่ได้ ดังนั้นวันที่สอง หลังจากที่นางฟื้นฟูกลับมาบ้างแล้วเล็กน้อย ทุกอย่างก็เป็นเช่นปกติ

วันเวลาต่อมา ติงเสวี่ยนับเวลาในใจ ทุกวันล้วนฮึกเหิมมาก พาสวี่ชิงวิ่งไปวิ่งมาในเกาะทั้งสี่

จวบจนผ่านไปอีกเจ็ดวัน ติงเสวี่ยรู้สึกว่าถึงเวลาแล้ว กำลังจะใช้แผนที่สองของนาง

แผนนี้นางมีความมั่นใจว่าจะทำให้ความสัมพันธ์กับสวี่ชิงลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้น ในเมื่อเพื่อการนี้นางเตรียมตัวมานานตั้งหลายเดือน

แต่สิ่งที่ทำให้หงุดหงิดคือในช่วงเวลาสำคัญดันมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมา

เป็นเจ้าจงเหิงนั่นเอง

ไม่รู้ว่าทำไมความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของเจ้าจงเหิงจึงเร็วขึ้นหลังจากที่สวี่ชิงก้าวสู่ระดับสร้างฐาน ตอนนี้เป็นระดับรวมปราณบริบูรณ์แล้ว ห่างจากลองทะลวงระดับสร้างฐานก็ไม่ไกลมากแล้ว

ตามหลักแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำคือไปปิดด่านทำให้ขอบเขตบริบูรณ์ของตัวเองมั่นคง ลงมือสร้างฐานจากการนั้น

แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเขาได้ยินเรื่องที่นี่ก็เลือกเข้าร่วมสงครามอย่างเด็ดเดี่ยว วันแรกที่มาเกาะเผ่าเงือกก็มาอยู่ข้างกายติงเสวี่ยอย่างหน้าด้านหน้าทน

จะอย่างไรก็ไม่ไป จะคอยติดตามให้ได้

กระทั่งว่าหลังจากติงเสวี่ยรำคาญ เขายังเอาแผ่นหยกภารกิจออกมา

ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีอะไรถึงได้เอาภารกิจเดียวกันกับติงเสวี่ยมาได้ เช่นนี้แล้ว ติงเสวี่ยก็จนปัญญานัก

สวี่ชิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลย ไม่ว่าใครจะมาล้วนไม่เกี่ยวกับเขาทั้งสิ้น เขานับเวลาอย่างมากอีกแค่ไม่กี่วัน ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็ครบแล้ว

“เจ้าจงเหิง ถ้าเจ้าจะตามข้าให้ได้นักล่ะก็ จะต้องทำตามกฎสองข้อ!” ติงเสวี่ยมองเจ้าจงเหิงอย่างไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่งต่อหน้าสวี่ชิง

“หนึ่ง เจ้าห้ามพูดตลอดภารกิจ!

“สอง เจ้าต้องรักษาระยะห่างกับข้าสามจั้ง!

“เจ้าไม่ตกลงก็ไปเสีย ตกลงก็อยู่ต่อ!”

เจ้าจงเหิงสูดลมหายใจลึก ตอนที่เขามาก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเป็นแบบนี้ มองติงเสวี่ยที่งดงามเลิศล้ำ รูปร่างมีส่วนโค้งเว้าส่วนโค้งชัดเจน

แล้วกวาดตามองสวี่ชิงที่เหมือนไม่สนใจอะไรอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบถอนสายตากลับไป ในใจมีความมุ่งมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“ต่อให้พลังบำเพ็ญสูงถึงเพียงใด ไฉนเลยจะมาสู้กับความจริงใจของข้า เกี้ยวพาสตรีไม่ใช่ต่อสู้ พลังบำเพ็ญสูงมีประโยชน์อันใดกัน ท่านปู่ข้าพลังบำเพ็ญสูงยิ่งกว่ายังถูกท่านย่าทิ้ง นายท่านเจ็ดก็อยู่ยอดเขาเจ็ดคนเดียวเหมือนกัน นี่อธิบายได้ว่าพลังบำเพ็ญสูงไร้ประโยชน์!

“ความจริงใจของข้าถึงจะเป็นประเด็นสำคัญของการได้รับความสุขที่สุดในตอนสุดท้าย มันแข็งแกร่งไม่อาจทำลายได้ สวรรค์พิสูจน์ได้ มนุษย์เทพเป็นพยาน เสี้ยวหน้าบนท้องฟ้าลืมตาก็ทำลายความจริงใจของข้าไม่ได้

“ดังนั้นหากการเกี้ยวพาสตรีจะดูที่พลังบำเพ็ญล่ะก็ เช่นนั้นบรรพจารย์มิมีภรรยามากมายหรอกหรือ สตรีทั้งสำนักคงเป็นของเขาหมดแล้ว” เจ้าจงเหิงยิ่งคิดก็ยิ่งมีเหตุผล แววตายิ่งมุ่งมั่น มองติงเสวี่ยที่ตนรักมั่นคงมาโดยตลอด เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม

“ได้!!”

การเข้าร่วมของเจ้าจงเหิงทำให้ติงเสวี่ยอารมณ์เสียมาก แต่สำหรับสวี่ชิงแล้วไม่มีอะไรต่าง แม้จะพบหลายครั้งว่าเจ้าจงเหิงแอบประเมินหน้าผากของเขาก็ตาม

นี่ทำให้สวี่ชิงรู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจเท่าไร โดยเฉพาะอีกฝ่ายไม่ได้มาหาเรื่องตนอย่างเจียมตน ดังนั้นสวี่ชิงจึงเมินเขาหลายครั้ง

จวบจนหลังจากนั้นหลายวันก็ทำภารกิจเล็กๆ สำเร็จ ในตอนที่พักคืนหนึ่งแล้วมารวมตัวกันใหม่อีกครั้ง สวี่ชิงกวาดตามองเจ้าจงเหิงด้วยสีหน้าแปลกประหลาด

ติงเสวี่ยหลังจากที่เห็นเจ้าจงเหิงก็อึ้งไปเช่นกัน

นางจ้องคิ้วของจ้าวจงเหิงแล้วหันไปมองสวี่ชิง สีหน้าค่อยๆ แปลกประหลาดขึ้น

มีเพียงเจ้าจงเหิงเท่านั้นที่สีหน้าเป็นปรกติ เงยหน้าเผยคิ้วของตัวเองให้สวี่ชิงและติงเสวี่ยดู ได้ใจเป็นอย่างยิ่ง

และในตอนนี้หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ก็จะต้องพบว่ารูปคิ้วของเจ้าจงเหิงแทบจะเหมือนกับของสวี่ชิงทุกประการ

ไม่ว่าจะเป็นความสูงของหัวคิ้ว ความยาว หรือความกว้างของหางคิ้วล้วนเหมือนทุกประการ

สวี่ชิงมองเจ้าจงเหิง เขาก็รู้ขึ้นมาโดยพลันว่าทำไมหลายวันนี้อีกฝ่ายถึงลอบมองหน้าผากของตนแล้ว สิ่งที่เจ้าจงเหิงมองคือคิ้วของเขานั่นเอง 艾琳小說

‘คนคนนี้เป็นบ้าหรือไม่’ สวี่ชิงนึกถึงคำวิจารณ์ของผู้อาวุโสเจ้าที่มีต่อหลานชาย ก็รู้สึกว่ามีเหตุผลมาก

ติงเสวี่ยถอนหายใจ

นางรู้สึกว่าเจ้าจงเหิงประสาทไปแล้ว คิ้วบางแบบเมื่ออยู่บนใบหน้าของแต่ละคนก็ให้ผลที่ต่างกัน อย่างของศิษย์พี่สวี่ย่อมยิ่งมองยิ่งน่ามอง

แต่มาอยู่บนใบหน้าเจ้าจงเหิงแล้วนางรู้สึกว่าความจริงแล้วทรงก่อนหน้านี้ยังพอดูได้ แต่ตอนนี้ทำไมดูแล้วประหลาดเหลือเกิน เหมือนไก่บ้านที่เอาหางนกยูงมาเสียบไว้สองอัน

แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าจงเหิงไม่คิดเช่นนั้น ตลอดทางมาก็ภูมิใจมาก เขารู้สึกว่าวันนี้ติงเสวี่ยมองมาที่เขามากกว่าเมื่อก่อนอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นแล้วจึงเริ่มจ้องจมูกของสวี่ชิง

สวี่ชิงเงียบนิ่ง

วันหลังๆ พวกเขาทั้งสามก็ปลอดภัยดีเช่นนี้เอง นอกจากหน้าตาของเจ้าจงเหิงที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เค้าโครงก็ยังคงค่อนข้างชัดเจน สวี่ชิงจนคำพูด

ขณะเดียวกัน เรื่องที่ทำให้สวี่ชิงประหลาดใจก็คือการเปลี่ยนแปลงของเจ้าจงเหิงไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น เพราะเมื่อเขามอบของกำนัลก็มอบให้ติงเสวี่ยถึงสองชิ้นในขณะเดียวกัน

เรื่องนี้ติงเสวี่ยก็แปลกใจเช่นกัน

มองสีหน้าของสวี่ชิงและติงเสวี่ย เจ้าจงเหิงได้ใจนัก

เขารู้สึกว่าการปิดด่านของตนครั้งนี้มีความหมายลึกซึ้งนัก เพราะเขาเข้าใจเรื่องหนึ่งแล้ว

ในเมื่อรักใครคนหนึ่งก็ต้องรักคนของเขาด้วย

ในเมื่อเลือกที่จะใช้เวลาชั่วชีวิตเกี้ยวพานาง เช่นนั้นก็จะต้องมีจิตใจที่กว้างมากพอ ใจกว้างยอมรับแขกที่ผ่านมาในชีวิตของนาง

ดังนั้นทำไมจึงมอบให้แค่นางอย่างใจแคบแบบนั้นด้วยเล่า

มอบให้ มอบให้นางสองชิ้นเลย!

ให้นางได้มอบให้กับแขกที่ผ่านมาในชีวิต นี่ไม่เป็นการแสดงความโดดเด่นไม่เหมือนใครของตนหรอกหรือ

เจ้าจงเหิงรู้สึกว่าตัวเองกะจ่างแจ้งแล้ว

ดังนั้นแล้วท่ามกลางการยกระดับจิตใจให้สูงส่ง ในวันที่ติงเสวี่ยตรวจสอบทางลับที่เต็มไปด้วยไอพลังประหลาดแห่งหนึ่งและเปิดมันออก เมื่อไอพลังประหลาดสลายไป เจ้าจงเหิงก็หยิบเอากล่องยาสองกล่องออกมาจากอกเสื้อ แล้วมอบให้ติงเสวี่ย

ติงเสวี่ยรับมาเปิดออก ตกใจเล็กน้อย

“ลูกกลอนขจัดไอพลังประหลาด นี่เป็นลูกกลอนลับของยอดเขาที่สองสำนักเจ็ดเนตรโลหิต ไม่ขายข้างนอก ปกติแล้วหายากมาก”

เจ้าจงเหิงยิ้มพยักหน้า

ติงเสวี่ยสีหน้าแปลกประหลาด มองลูกกลอนสองเม็ดในมือ แล้วมองสวี่ชิง

“ศิษย์พี่สวี่ชิง ขอบคุณที่ท่านช่วยข้าหลายวันนี้ แล้วยังช่วยสอนเสริมเรื่องสมุนไพรให้ข้า ลูกกลอนเม็ดนี้คิดแล้วศิษย์พี่คงไม่ได้ใช้ แต่เนื่องจากหายาก ดังนั้นให้ศิษย์พี่เอาไว้ค้นคว้าศึกษา”

ติงเสวี่ยพูดพลางยิ้มหวานให้สวี่ชิง มอบลูกกลอนให้เขา

“อีกทั้งนี่ก็เป็นค่าตอบแทนที่ศิษย์พี่ควรจะได้จากการช่วยดูแลเจ้าจงเหิงในหลายวันมานี้”

สวี่ชิงคิดๆ แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ดังนั้นจึงรับเอาไว้

เจ้าจงเหิงลมหายใจหอบถี่เล็กน้อย แต่ไม่นานก็ยิ้มได้ใหม่ พยักหน้าให้สวี่ชิงส่งสัญญาณว่าเป็นเช่นนี้

สวี่ชิงมองลูกกลอน กำลังจะเก็บมันลงไป แต่จู่ๆ สีหน้าก็เคร่งเครียด หันไปมองทางเส้นทางลับที่เปิดออกทางนั้นทันที แล้วก้าวออกมาจากเส้นทางลับ

“พวกเจ้าถอยไปหน่อย”

เขาพูดจบติงเสวี่ยก็มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รวดเร็ว ถอยไปทันที เจ้าจงเหิงก็รีบถอยไปเช่นกัน

เห็นติงเสวี่ยและเจ้าจงเหิงถอยไกลแล้ว สวี่ชิงก็จ้องเส้นทางลับข้างหน้าเส้นนี้ ดวงตาหรี่ลง

ตำแหน่งของทางลับนี้อยู่ใต้บ้านที่ถล่มแห่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าขุดขึ้นในช่วงนี้เพื่อเอาไว้หลบซ่อน

รอบๆ ยังเห็นยันต์บางอย่างวางเอาไว้ แม้ตอนนี้จะสูญเสียพลังไปแล้ว แต่ก็น่าจะเอาไว้หลบซ่อนอำพรางเป็นหลัก

ทางลับไม่ใหญ่ มุดเข้าไปได้แค่คนหนึ่งเท่านั้น จากการที่มันเปิดออกข้างในก็มีไอเย็นหลุ่มหนึ่งแผ่ออกมา เมื่อผสานกับกระแสความอบอุ่นภายของโลกภายนอกก็กลายเป็นหมอก

ในหมอกนี้ นอกจากไอพลังประหลาดเข้มข้นแล้วยังมีพิษศพจำนวนหนึ่งลอยอ้อยอิ่ง

สวี่ชิงระแวดระวัง ภารกิจครั้งนี้ติงเสวี่ยเป็นคนรับ คำอธิบายภารกิจคือหาที่ซ่อนตัวของเผ่าสิงซากสมุทรที่แฝงตัวเข้ามาในเผ่าเงือก ก่อนหน้านี้พวกเขาหาแล้วหลายที่แต่ก็คว้าน้ำเหลว

ตอนนี้ในเมืองเล็กๆ บนเกาะครองสมบัติแห่งหนึ่ง ติงเสวี่ยใช้อาวุธเวทพิเศษสัมผัสได้ถึงระลอกคลื่นของไอพลังประหลาดที่เพิ่มขึ้น

ถึงตามร่องรอยนี่มา

เดิมสวี่ชิงไม่ได้สนใจเท่าไร จากประสบการณ์ที่เขาฆ่าเผ่าสิงซากสมุทร ต่อให้พวกมันมาซ่อนตัวอยู่บนเกาะเงือกจำนวนหนึ่งจริงๆ ก็ไม่ใช่ระดับรวมปราณอย่างติงเสวี่ยหาเจอ

และการทดสอบจากอาวุธเวทพิเศษก็ยิ่งไม่มีประโยชน์ นอกเสียจากเผ่าสิงซากสมุทรจะจงใจปล่อยออกมา ไม่เช่นนั้นแล้วก็มีวิธีมากมายในการเก็บกลิ่นอาย ไม่เผยออกมาแม้แต่น้อย

ดังนั้นภารกิจที่สำนักมอบให้ลูกศิษย์หลักระดับรวมปราณความจริงก็แค่ทำไปอย่างนั้นสำหรับสวี่ชิง ให้พวกเขาคุ้นชินกับจังหวะของสงครามก็เท่านั้น

ส่วนอันตรายก็ไม่ได้มีสักเท่าไร

แต่เมื่อครู่หลังจากที่ติงเสวี่ยเปิดทางลับ สวี่ชิงก็สัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากลได้อย่างรวดเร็วจากการแผ่มาเป็นระลอกๆ ของไอพลังประหลาด

‘หรือติงเสวี่ยจะเจอเผ่าสิงซากสมุทรเข้าจริงๆ’

แววตาสวี่ชิงราวสายอัสนี ซัดผงพิษจำนวนหนึ่งไปในทางลับทันที ชะล้างพิษศพในนั้น ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าพิษศพในนี้เหมือนจะสูญเสียปฏิกิริยา ความเป็นพิษลดลงไปอย่างมาก

และในขณะที่สวี่ชิงครุ่นคิด จู่ๆ ในทางลับก็มีเสียงอ่อนล้าดังออกมา

“ท่านพ่อรีบกลับบ้านเถิด…”

เสียงนี้เป็นเหมือนเสียงร้องอ้อนวอนของเด็กชายคนหนึ่ง แฝงด้วยความคิดถึงอย่างลึกล้ำ จริงใจเป็นที่สุด ในเสี้ยวพริบตาที่ดังเข้ามาในหูของสวี่ชิง เขาก็รู้สึกเหมือนเห็นเด็กชายคนหนึ่งจริงๆ

ภาพนี้ทำให้รูม่านตาสวี่ชิงหดเล็กทันที ติงเสวี่ยและเจ้าจงเหิงที่อยู่ข้างหลังเขาก็ได้ยินเช่นกัน ทั้งสองคนสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากทันที

“สิ่งแปลกประหลาดหรือ” เจ้าจงเหิงลมหายใจหอบถี่