ตอนที่ 243 ระวังภัยที่คาดไม่ถึงP

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 243 ระวังภัยที่คาดไม่ถึง

ฉินหลิวซีเก็บเข็มกับด้ายมองรอยเย็บสวยงามนั่น ริมฝีปากยกยิ้ม “สวยจริงๆ”

ถังซิ่วไฉราวกับผุดขึ้นมาจากน้ำได้ยินวาจานี้เข้าดวงตาคู่นั้นกลอกขึ้น เป็นลมล้มไป

และสายตาเหนียนซิ่วไฉที่ประคองเขาอยู่ เขามองไปยังฉินหลิวซีด้วยความตื่นกลัวมากยิ่งขึ้น อีกฝ่ายเป็นเหมือนปีศาจร้าย

ฉินหลิวซีเห็นว่าถังซิ่วไฉสลบไปแล้ว หุบยิ้ม ปิดกล่องยาอย่างอารมณ์ไม่ดี

“ท่าน ท่านนักพรต เขา เขา เขา จะทำอย่างไรดี” เหนียนซิ่วไฉเอ่ยถามติดขัด

ฉินหลิวซีลุกขึ้น “มาอย่างไร ก็ไปอย่างนั้นสิ โน่น เขาไม่ใช่สนุกกับการเห่าหรือ ให้เขาแบกสหายกลับไป คงไม่มีปัญหากระมัง”

ไล่ซิ่วไฉถูกนางชี้ก็อยากด่าตอบโต้ หากเหลือบมองมู่ซีและองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาแล้วกลับไม่กล้าด่า

“ทำไมกัน คงจะไม่บอกว่าคนบาดเจ็บอยู่ในอารามของข้า ยังต้องให้ข้าโบกรถไปส่งเขากลับไป ยังต้องจ่ายค่ายาให้ด้วยกระมัง” ฉินหลิวซียิ้มเย็น “อารามเต๋าเป็นสถานที่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดจะขู่กรรโชกเรา เช่นนั้นต้องดูด้วยว่ามีโชคดีมาด้วยหรือไม่”

มู่ซีหัวเราะพอใจ เอ่ย “พวกเจ้าเป็นใคร จำหน้าพวกเขาเอาไว้ให้ข้า เข้าร่วมการสอบขุนนางทั้งหมดใช่หรือไม่ บัณฑิตนี่ หลอกลวงคนอื่น”

เหล่าบัณฑิตได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยน รีบยกแขนเสื้อขึ้นปิดหน้า

เกี่ยวข้องกับอนาคต ผู้ใดกล้าเสี่ยง

มีเพียงเหนียนซิ่วไฉ เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เอ่อ ท่านนักพรต เมื่อครู่ท่านบอกว่ามือของพี่ถังไม่อาจใช้การได้ เรื่องนี้”

“รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ บางคนเบื้องหน้าจิตใจดี แต่กลับไม่ได้เป็นอย่างที่เจ้าเห็น” ฉินหลิวซีเอ่ยวาจานี้ยังปรายตามองไล่ซิ่วไฉ คล้ายกำลังชี้บอก

เหนียนซิ่วไฉครุ่นคิด

“เจ้าช่างคบสหายไม่ระวัง ต่อไปตาคู่นี้ยังต้องฝึกฝน ใช้สติให้มากสักหน่อยเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยกับเหนียนซิ่วไฉ “มิเช่นนั้นเจ้าหลบได้ครั้งสองครั้ง ครั้งที่สามไม่อาจหลุดพ้นได้หรอกนะ”

เหนียนซิ่วไฉยิ้มเจื่อน กลับไปแล้ว เขาต้องปิดประตูไม่ออกจากเรือนเลยหรือไม่ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

ไล่ซิ่วไฉเห็นฉินหลิวซีเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยคก็ราวกับกำหนดอนาคตคนได้แล้ว กัดฟันอย่างอดไม่ได้ “นักพรตก็เป็นนักบวช แต่กลับเอ่ยวิจารณ์ผู้อื่นคล่องปากเพียงนี้ คงจะไม่ยุติธรรมกับผู้อื่นนัก”

“เจ้าจะคิดว่าข้าเป็นนักต้มตุ๋นเอ่ยเหลวไหลไปเท่านั้นก็ย่อมได้ ข้าไม่ได้ให้เจ้าเชื่อนี่” ฉินหลิวซีส่งเสียงหยัน “หรือว่าเจ้าเชื่อไปแล้ว ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ต้องเอาคืนสักตั้งจึงจะนับว่าชนะหรือ”

“ปู้ฉิว อย่าดื้อรั้น” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนกระแอมไอ เอ่ย “ในเมื่อรักษาแล้ว หากไม่อาจลงเขาได้ รอให้คุณชายผู้นี้ฟื้นค่อยไปก็ได้ เด็กๆ ไปจัดเตรียมอารามนักพรตให้พวกเขาอยู่ชั่วคราว”

ฉินหลิวซีเบ้ปาก

“นี่คือเจ้าอาวาสหรือไม่ ไม่ได้เป็นดังเช่นสิ่งที่เจ้าเอ่ย เจ้ามีความสามารถยิ่งกว่าเจ้าอาวาสหรืออย่างไร” ไล่ซิ่วไฉเอ่ยขึ้นหนึ่งประโยค

มู่ซีไม่พอใจแล้ว

“หึ เจ้ารังเกียจว่าเรื่องมีน้อยหรืออย่างไร คนอื่นยังไม่เอ่ยอะไร มีแต่เจ้าที่ปากมาก ซวงเฉวียน วาดหน้าเขาเอาไว้ให้ข้า คนผู้นี้สอบได้แล้วก็คงทำอะไรไม่เป็น เช่นนั้นก็อย่าได้เสียเวลาเจ้าหน้าที่สนามสอบเลย”

“ขอรับ นายท่าน”

ไล่ซิ่วไฉสีหน้าพลันเปลี่ยน เอ่ย “เจ้า เจ้ากำลังใช้อำนาจรังแกคนอื่น”

“ข้าใช้อำนาจรังแกคนอื่นแล้วอย่างไร เจ้าทำอะไรข้าได้” มู่ซีเอ่ยอย่างถือดี “หากเจ้ามีฐานะเช่นข้า เจ้ารังแกคนยิ่งกว่าข้าอีก ไม่ใช่สิ คนเยี่ยงเจ้าจะมามีดวงชะตาเหมือนคุณชายข้าได้เยี่ยงไร เจ้าไม่คู่ควร”

ไล่ซิ่วไฉไม่กล้าต่อเถียงกับเขา เพียงหันไปเอ่ยกับนักพรตเฒ่าชื่อหยวน “อารามของท่านร่วมมือกับคนมีอำนาจรังแกประชาชนหรือ ต่อไปชาวเมืองที่ไหนจะกล้ามาจุดธูปกราบไหว้ที่อารามพวกท่าน”

พวกเหนียนซิ่วไฉทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว ไล่ซิ่วไฉผู้นี้บ้าไปแล้วหรืออย่างไร สมองถูกสุนัขกินแล้วหรือ เพียงมองก็รู้ว่ามู่ซีคือคนที่เราไม่อาจล่วงเกินได้ ไม่หดตัวเป็นนกกระทาแต่กลับทำตัวเป็นนกที่บินนำหน้า อยากเป็นของล้ำค่าควรค่าแก่การสะสม หรืออยากทำให้ตนเองเป็นของไร้ค่า

“พี่ไล่ อย่าได้พูดมากเลย อย่างไรก็วัดวาอาราม” มีคนเอ่ยเกลี้ยกล่อมอย่างนิ่มนวลโนเวลพีดีเอฟ

ไล่ซิ่วไฉเอ่ย “พวกเจ้าก็เกรงกลัวต่ออำนาจหรือ”

ปัญญาชนเหล่านั้นไร้ซึ่งคำพูด

ฉินหลิวซีมองเหนียนซิ่วไฉ เอ่ย “เห็นแล้วหรือไม่ ออกมาเที่ยวเล่นกับคนเช่นนี้ ทำให้ความฉลาดของเจ้าตกต่ำไม่พอ ยังทำให้เจ้าเดือดร้อนได้ทุกเมื่อ”

เหนียนซิ่วไฉอายจนหน้าแดง

ไล่ซิ่วไฉถูกคนนินทา อายจนกลายเป็นโกรธพุ่งพล่านขึ้นมา “อารามชิงผิง อาศัยเพียงการหลอกลวง เป็นสุนัขรับใช้คนมีอำนาจ มาก็เท่านั้น”

ฉินหลิวซีสีหน้าทะมึน

“จัดการเขาให้ข้า” มู่ซีโกรธยิ่งกว่า สั่งคนลงมือ

ฉินหลิวซีเอ่ย “ช่างเถิด ไม่ต้องให้ท่านมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้” นางมองไล่ซิ่วไฉ เอ่ย “หลอกลวงหรือไม่ ไม่นานเจ้าก็จะรู้ ระวังภัยที่จะมาโดยคาดไม่ถึงเถิด”

มู่ซีขมวดคิ้ว

ไยจึงมีความรู้สึกว่าเขามาเพิ่มความวุ่นวายเล่า

“ต่อไปคนผู้นี้ห้ามเข้ามาในอาราม” ฉินหลิวซีชี้ไปยังไล่ซิ่วไฉ เอ่ยกับชิงหย่วนหนึ่งประโยค “ถ้าเขามาแล้วข้าเจอหนึ่งครั้ง เจ้าก็ต้องถูกตีหนึ่งครั้ง”

ชิงหย่วน “?”

ไม่ใช่สิ ไฟนี้ไยจึงไหม้มาถึงเขาได้เล่า

เขาเสียเปรียบนะ

“แยกย้ายเถิด” นักพรตเฒ่าชื่อหยวนเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะจืดเจื่อน

ฉินหลิวซีหมุนตัวกำลังจะไป ไม่มองถังซิ่วไฉที่กึ่งเป็นกึ่งตายแม้เพียงนิด คนที่มีเวรกรรมเต็มตัว ช่วยไปก็เปล่าประโยชน์

มู่ซีตามไป เอ่ยอย่างไม่พอใจ “ไยเจ้าต้องห้ามข้า ไม่ให้ข้าต่อยเขา ข้าช่วยระบายความโกรธให้เจ้านะ”

ฉินหลิวซีหยุดเท้า หันมาหาเขา เอ่ย “ซื่อจื่อได้ยันต์ไปแล้ว ไม่กลับหรือ”

มู่ซีชะงัก “เจ้ากำลังไล่ข้าหรือ” เขาขมวดคิ้ว เอ่ย “ข้าเอาคืนคนผู้นั้น เจ้าไม่ดีใจหรือ”

“ไม่มีเรื่องใดไม่ดีใจ แต่ก็ไม่มีเรื่องใดน่ายินดี การกระทำของซื่อจื่อเป็นเรื่องของท่านเอง และการกระทำของข้าก็คือของข้า” ฉินหลิวซีครุ่นคิด เอ่ย “ข้ากับซื่อจื่อ เดินคนละเส้นทาง ข้าคือนักพรตอารามชิงผิง และท่านคือผู้มาแสวงบุญ เพียงนี้เท่านั้น”

“เจ้ากำลังถือที่เมื่อครู่เจ้าคนชั่วนั่นบอกว่าอารามชิงผิงเป็นสุนัขรับใช้คนสูงศักดิ์จึงรีบขีดเส้นแบ่งกับข้าหรือ” มู่ซีโกรธมาก

“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”

“เห็นอยู่ว่าเจ้าเป็นเช่นนั้น ผู้คนบอกว่าคนสูงศักดิ์ใช้อำนาจบาตรใหญ่ รังแกผู้อื่น ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลา นักพรตเต๋าอย่างพวกเจ้าก็คิดเช่นเดียวกันหรือไม่ เสียดายที่ข้าคิดว่าเจ้าแตกต่างจากผู้อื่น เหอะ” มู่ซีสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวเดินนำคนอื่นออกไป

ไปก็ไป ใครเสียดายไมตรีจิตของตนไปแลกกับความเย็นชาของผู้อื่นกัน

จู่ๆ อารมณ์นี้ก็พรวดเข้ามา

“เจ้าอันธพาลน้อยนี่ ถูกเอาอกเอาใจมากเกินไปแล้วจริงๆ” ฉินหลิวซีบ่นกับอวี้ฉังคงที่กำลังเดินเข้ามา

อวี้ฉังคงมองไปยังมู่ซีที่เดินไกลออกไป เอ่ย “จุดแดงท่ามกลางโพรงหญ้าเขียวชอุ่ม[1] แน่นอนว่าต้องเอาแต่ใจ”

“ช่างเขาเถอะ อาจารย์สอนอะไรท่านแล้วบ้าง” ฉินหลิวซีเดินพร้อมเอ่ยถาม

ทว่ามู่ซีขี่ม้าลงเขา โมโหมาตลอดทาง ยิ่งคิดยิ่งโกรธ แส้ม้าเสียงดังไม่หยุด ไยจึงเห็นคนคุ้นตาคนหนึ่ง เขาดึงบังเหียนม้า หมุนกลับไปแล้วสะบัดแส้ม้าออกไป ม้วนเอาคนนั้นไว้

“โอ้ย” ไล่ซิ่วไฉร้องด้วยความเจ็บปวด

มู่ซีกระโดดลงจากม้า เดินเข้าไป มือชกเท้าถีบ “เพราะปากคนชั่วอย่างเจ้า ทำให้ข้าถูกนางรังเกียจ ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”

เขาตีคนเดียวไม่พอ สั่งให้หยวนเหมิงเข้ามา “เอาฟันเขาออกมาให้หมด”

หยวนเหมิงไม่กล้าเอ่ยแม้เพียงคำเดียว ลงมือทันที

ไล่ซิ่วไฉร้องตะโกนร้องไร้เสียง “!”

นี่คือภัยที่ไม่คาดไม่ถึงหรือไม่

[1] จุดแดงท่ามกลางโพรงหญ้าเขียวชอุ่ม เป็นจุดโดดเด่นท่ามกลางเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้น เพียงพอที่จะดึงความสนใจผู้คน