ตอนที่ 120 เป้าหมายขององค์ชายเก้า (1)

หวนคืนชะตาแค้น

“เรื่องนี้…จะว่ายากมันก็ยาก จะว่าง่ายมันก็ง่าย”

“โปรดคุณชายชี้แนะเถิด” มู่หรงเสียกล่าว สุดท้ายมู่หรงเสียก็ผ่านความตกใจในทีแรกกลับมาสงบใจเย็นเหมือนเดิมได้อย่างรวดเร็ว สมกับเป็นหนึ่งในองค์ชายที่มากความสามารถโดดเด่นที่สุดในแคว้นหวา มู่ชิงอีเอ่ยพลางยิ้ม “แผนแย่หน่อยก็ใช้แรงไปสู้” มู่ชิงอีผุดยิ้มส่งให้คนสกุลเจิ้งท่ามกลางสายตาอันฉงนของทั้งสามคน ยิ้มตาหยีกล่าว “ตามสำนวนที่ว่า…ขุนนางชิงบัลลังก์”

คนสกุลเจิ้งมุมปากกระตุก แค่นยิ้มเอ่ย “คุณชายพูดเรื่องขบขันแล้ว”

มู่ชิงอียักไหล่เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เช่นนั้น…แผนกลางๆ หน่อยก็คืออดทน ตั้งแต่อดีตมาคนที่กระทำการใหญ่สำเร็จคือคนที่รู้จักอดทนต่อทุกอย่างจนถึงที่สุด แน่นอนว่าแค่ยอมอดทนเท่านั้นคงไม่พอ จื้ออ๋องต้องเป็นบุตรแสนดีที่ภักดีและกตัญญูคนหนึ่งด้วย ทำให้ฮ่องเต้แคว้นหวาเชื่อมั่นว่านอกจากท่านอ๋องแล้ว พระโอรสองค์อื่นล้วนเป็นพวกเหี้ยมโหดจิตใจอำมหิต แน่นอน…ด้วยโรคขี้ระแวงร้ายแรงของฝ่าบาท ข้าคิดว่าวิธีการนี้อาจมีโอกาสสำเร็จสู้วิธีขุนนางชิงบัลลังก์ไม่ได้”

มู่หรงอวี้มองนางด้วยท่าทีเรียบเฉยและไม่ได้บอกว่าดีหรือว่าไม่ดี มู่ชิงอีเลิกคิ้วเอ่ยพลางอมยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นอย่างสุดท้ายก็คือช่วงชิงมันมาแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”

พระชายาจื้อที่นั่งอยู่อีกฝั่งขมวดคิ้วกล่าว “หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยช่วงชิงเลยงั้นหรือ” นับตั้งแต่เหล่าองค์ชายพวกนี้รู้ความก็เริ่มช่วงชิงแก่งแย่งกันแล้ว อีกอย่างนับตั้งแต่วันที่ได้รับประทานสมรสพระราชทาน พระชายาขององค์ชายทั้งหลายก็เริ่มต่อสู้ช่วงชิงไม่เคยได้พักเช่นกัน

การพูดคุยเช่นนี้พระชายาจื้อสามารถเข้ามาฟังด้วยได้ก็เป็นการยืนยันแล้วว่านางไม่ได้แค่ฉลาดหลักแหลมแต่ได้รับความไว้วางใจจากจื้ออ๋องอย่างมาก ความจริงแล้วจากจุดนี้มู่ชิงอีรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่มู่หรงเสียจะประสบความสำเร็จมีมากกว่ามู่หรงอวี้ อย่างน้อยมู่หรงเสียก็มีภรรยาที่ฉลาดหลักแหลม อีกทั้งเข้าใจว่าควรจะแสดงท่าทีเช่นไรกับภรรยาตน ในเมื่ออภิเษกรับมาเป็นพระชายาแล้ว ไม่ว่าจะรู้สึกรักหรือไม่ก็ควรเอาเรื่องการอภิเษกมาแปรเปลี่ยนเป็นพันธมิตรและแรงช่วยที่พึ่งพาได้มากที่สุดของตนแต่ไม่ใช่อันตรายที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ

มู่ชิงอีเอ่ยพร้อมใบหน้าแต้มยิ้ม “กระหม่อมหมายถึง…คนที่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเก็บไว้แล้วกระมัง ถ้าสุดท้ายคนที่ฝ่าบาทจะเลือกเหลือเพียงคนเดียว เช่นนั้น…ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องใดก็คงพอจะให้อภัยได้ใช่หรือไม่เล่า และแน่นอนว่าถ้ายามที่จื้ออ๋องจัดการแผนนี้อยู่แล้วสามารถควบรวมกับแผนที่สองได้ เชื่อว่าผลลัพธ์คงยิ่งสมบูรณ์แบบขึ้นกว่าเดิม”

“กำเริบเสิบสานนัก!” ฉับพลันมู่หรงเสียก็ระเบิดอารมณ์ออกมาแล้วจับจ้องมู่ชิงอีด้วยสายตาเย็นยะเยือกเอ่ย “เจ้ากำลังยุยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างข้าและพี่น้องแตกกัน! เจ้าไม่ได้อยากจัดการน้องหกแต่เจ้าอยากเอาชีวิตขององค์ชายทุกคนหรือไร หรือว่า…ความจริงแล้วเจ้าเป็นลูกหลานที่รอดมาได้ของตระกูลกู้กันแน่”

มู่ชิงอีเอ่ยเสียงเรียบ “กระหม่อมยังไม่ได้พูดอะไรเลย เป็นท่านอ๋องเองต่างหากที่คิดมากไป”

ความสัมพันธ์ของพี่น้องเหล่าเชื้อพระวงศ์เอามาใช้ยุแยงได้ด้วยหรือ นางก็แค่พูดไปอย่างนั้น มู่หรงเสียก็นึกถึงเรื่องการฆ่าเหล่าองค์ชายขึ้นมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าในใจของเขาเองก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นวิธีการที่จะทำให้องค์ชายเหล่านี้หมดหนทางช่วงชิงบัลลังก์มีตั้งมากมาย ทว่าปฏิกิริยาแรกของท่านอ๋องผู้นี้ก็คือคำว่าฆ่า?

ครั้นเห็นท่าทีมู่หรงเสียขึงตาใส่ด้วยความเดือดดาล มู่ชิงอีจึงถอนหายใจกล่าวอย่างระอา หยัดกายลุกขึ้นพร้อมเอ่ยว่า “ในเมื่อท่านอ๋องไม่อยากฟัง ประจวบกับกระหม่อมเองก็พูดจบแล้ว คงต้องขอตัวก่อน”

“เจ้าคิดว่าเจ้าจะไปได้หรือ” มู่หรงเสียแสยะยิ้มเย็นชา

มู่ชิงอีหันกลับมายิ้มกล่าว “เรื่องนี้…ถ้าอีกครึ่งชั่วยามกระหม่อมยังไม่กลับจวน เกรงว่าองค์ชายเก้าแห่งแคว้นเย่ว์คงมาตามตัวถึงในจวนแล้ว ก่อนงานเลี้ยงเมื่อครู่กระหม่อมบอกองค์ชายเก้าว่าในจวนข้าซ่อนสุราหมักเซียนเผิงไหลที่นำมาจากอิ๋งโจวด้วยไหหนึ่งเตรียมว่าคืนนี้จะขึ้นไปดื่มพร้อมชมจันทร์กันบนดาดฟ้า ถ้าถึงตอนนั้นองค์ชายเก้าหาตัวไม่เจอ ไม่แน่อาจคิดว่ากระหม่อมหลอกเขาเอาได้…”

“หรงจิ่นรู้ด้วยหรือว่าเจ้าอยู่ในจวนจื้ออ๋อง” มู่หรงเสียเอ่ยถาม

มู่ชิงอีเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ “เดิมทีคงไม่รู้ แต่ถ้ารอตอนเขาไปแล้วหาสุราไม่เจอก็คงรู้เอง ถ้ากระหม่อมขอตัวกลับตอนนี้น่าจะยังพอกลับไปทันก่อนยามจื่อได้”

“เจ้าไปเสีย” ผ่านไปสักพัก ในที่สุดมู่หรงเสียก็เปิดปาดเอ่ย

มู่ชิงอีก็ไม่ได้ตื่นตกใจอะไรราวกับทุกอย่างอยู่ในความคาดเดาทุกอย่าง จากนั้นก็คำนับพวกเขาสามคนยิ้มกล่าว “ท่านอ๋อง พระชายา ท่านเจิ้ง กระหม่อมขอตัวก่อนพ่ะย่ะค่ะ”

รอจนเสียงฝีเท้าของมู่ชิงอีเดินไปได้ไกลแล้ว ในห้องหนังสือก็ตกอยู่ในความเงียบอยู่นานถึงได้ยินเสียงพระชายาเอ่ยเสียงขรึมว่า “ท่านพี่ ตกลงจังชิงผู้นี้เป็นใครกันแน่ เขาเป็น…” พระชายาจื้ออยากเอ่ยถาม เขาอายุแค่สิบสี่จริงๆ น่ะหรือ พวกเขาสามคนในนั้นต่างเป็นบุคคลที่ฉลาดมากแล้ว แต่ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าตอนที่ตัวเองอายุสิบสามสิบสี่ปี ไม่ว่าจะท่วงท่าสติปัญญาหรือความกล้าล้วนสู้เด็กน้อยคนนี้ไม่ได้สักครึ่งหนึ่งเลย

ผ่านไปนานคนสกุลเจิ้งถึงถอนหายใจเสียงเบาเอ่ย “เป็นเด็กที่เก่งนัก ช่างเป็นอัจฉริยะแห่งยุคจริงๆ กระหม่อมอดยอมรับและพูดไม่ได้ว่ากระหม่อมนั้นแก่ชราแล้ว”

มู่หรงเสียเอ่ยเสียงขรึม “ท่านก็พูดเกินไป เด็กคนนี้พูดจาชวนให้ตกตะลึง แต่พวกเราก็ใช่ว่าจะคิดไม่ได้เช่นกัน”

คนสกุลเจิ้งส่ายศีรษะอย่างจนใจเอ่ย “ท่านอ๋องพูดถึงแล้ว ช่างพูดจาชวนให้ตกตะลึงนัก สติปัญญาของเขาชวนให้ตกใจจริงๆ แต่ถ้าพวกเรามีแหล่งข่าวเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเดาไม่ออก แต่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขากล้าพูด หากท่านอ๋องไม่เชื่อเขา ถ้าเป็นคนทั่วไปเจอเหตุการณ์แบบนี้คงตรึกตรองแล้วระมัดระวังคำพูด เพราะหากเผลอไม่ระวังอาจตายได้ แต่เขากลับไม่สนใจสักนิด ถ้าไม่ใช่ว่าเขาไม่กลัวตายก็คงเพราะมั่นใจว่าท่านอ๋องจะไม่ฆ่าเขาหรือฆ่าเขาไม่ได้ ความกล้า ความรอบรู้และสติปัญญาเช่นนี้ ถ้าเขามีใจช่วยอยู่ข้างท่านอ๋องจริงๆ จวนจื้ออ๋องต้องเป็นดั่งเสือติดปีกแน่นอน”

“คนผู้นี้มีที่มาที่ไปลึกลับจะเชื่อถือได้หรือ” มู่หรงเสียขมวดคิ้วกล่าว คนปราดเปรื่องอย่างจังชิงเขาย่อมอยากใช้งานอยู่แล้ว แต่มีหลายครั้งที่อัจฉริยะก็กลายเป็นดาบสองคม หากเผลอตัดสินใจผิดขึ้นมาคงทำร้ายคนอื่นจนแพ้ภัยตัวเองได้

คนสกุลเจิ้งขมวดคิ้วกล่าว “ความจริงเขาให้ข้อมูลแก่พวกเราก็ไม่น้อย อย่างเช่นเรื่องของพระชายากง แล้วก็เรื่องของหนิงอ๋อง อย่างน้อย…เขาก็ไม่ใช่คนของจวนกงอ๋อง เรื่องนี้มั่นใจได้เลย”

มู่หรงเสียพยักหน้า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากไม่เป็นไร ใช้เขาหน่อยก็ย่อมได้”

คนสกุลเจิ้งเห็นด้วย ในขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะกำชับว่า “จังชิงผู้นี้ใช้งานได้แต่ก็ห้ามลืมป้องกันเขาไว้บ้าง อีกอย่างส่งคนไปสืบทางฝั่งอิ๋งโจวด้วย สร้างความมั่นใจขึ้นมาหน่อยมักเป็นสิ่งที่ดี แต่กระหม่อมคิดว่าคงสืบหาอะไรไม่เจอแน่นอน” สถานะของจังชิงความจริงแล้วไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว ถ้าสกุลจังแห่งอิ๋งโจวมียอดอัจฉริยะเช่นนี้คงดังระเบิดไปนานแล้ว ต้องรู้ก่อนว่าทุกการเคลื่อนไหวตลอดหลายวันมานี้ของจังชิงเป็นดั่งตัวแทนสติปัญญาและกลอุบายของเขา รวมถึงแหล่งข่าวที่ชวนให้น่าตกใจและอิทธิพลที่แอบแฝงอยู่ ถ้ามู่หรงเสียเป็นฮ่องเต้องค์หนึ่งคงไม่ปล่อยคนแบบนี้ไป แต่เขาไม่ใช่ ตอนนี้เขาเป็นเพียงอ๋องที่ต้องการแรงกำลังสนับสนุนเท่านั้น

“ท่านอ๋อง พระชายา หลังจากคุณชายจังออกจวนไป องครักษ์ติดตามเขาที่ก่อนหน้านี้ตามหาไม่เจอปรากกฎตัวแล้ว น่าจะเป็นองครักษ์ที่ฝึกซ้อมมาอย่างเข้มงวดด้วยพ่ะย่ะค่ะ” นอกประตูมีเสียงเข้มขององครักษ์กล่าวรายงาน

คนสกุลเจิ้งและมู่หรงเสียที่อยู่ด้านในสบตากัน นัยน์ตาแฝงไปด้วยท่าทีขบคิดบางอย่าง

มู่ชิงอีและอู๋ซินกลับมาถึงจวนสกุลจัง หรงจิ่นรออยู่ที่นั่นจริงๆ ไม่เพียงแต่หรงจิ่นแต่ยังมีเฝิงจื่อสุ่ยที่รออย่างกระวนกระวายเป็นห่วงมู่ชิงอีที่ไปจวนจื้ออ๋องเพียงลำพังอยู่ในห้องหนังสือเช่นกัน ครั้นเห็นมู่ชิงอีเข้ามาทั้งสองคนต่างก็พรั่งพรูลมหายใจออกมาพร้อมกัน สิ่งที่ต่างกันก็คือเฝิงจื่อสุ่ยรู้สึกเพียงวางใจแต่หรงจิ่นกลับแฝงไปด้วยความสุขและปลื้มปิติ

ตอนต่อไป