ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้นเอง ทางด้านนากาที่เดินทางกลับไปถึงคฤหาสน์และกำลังใช้เวลาอยู่กับโมโกะก็ได้รับการติดต่อมาจากเอริกะผ่านทางเครื่องมือสื่อสารขนาดเล็กว่าที่บ้านของเธอเกิดอุบัติเหตุขึ้นเล็กน้อยและเธอต้องการให้เขามารับตัวอีฟกลับไปก่อน
 

และนั่นก็ทำให้นากาต้องรีบพาโมโกะเดินทางออกมาจากคฤหาสน์และมุ่งหน้าตรงไปยังบ้านหลังน้อยของเอริกะด้วยความเป็นห่วงจนทำให้เขาได้พบเข้ากับหน้าต่างบานใหญ่ของเอริกะที่แตกกระจายราวกับว่ามันถูกระเบิดออกมาจากภายในเข้าทำให้พวกเขาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความแปลกใจ

 

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย?”

 

“นั่นสิ อย่างกับว่ามีอะไรสักอย่างระเบิดข้างในนั้นแหน่ะ…”

 

“เอ่อ… จะว่าแบบนั้นมันก็ไม่ผิดหรอกล่ะมั้ง”

 

ในขณะที่นากาและโมโกะกำลังรู้สึกแปลกใจกับสภาพบ้านของเอริกะที่พวกเขาได้เห็นจากภายนอกอยู่นั้นเองก็ได้มีเสียงของหญิงสาวนักประดิษฐ์เจ้าของบ้านดังขึ้นมาให้พวกเขาได้ยินก่อนที่ทันใดนั้นเองที่ได้มีร่างเล็กๆ ของอีฟตัวน้อยรีบวิ่งเข้ามากอดขาของนากาเอาไว้แน่นจนทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าโดยปกติแล้วเด็กสาวตัวน้อยคนนี้ไม่ค่อยที่จะแสดงท่าทีแบบนี้ออกมาสักเท่าไหร่

 

“เป็นอะไรไปน่ะอีฟ? โดนเอริกะเขาแกล้งมาหรอ?”

 

“……”

 

แต่ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะได้ยินคำถามของนากาเข้าไปแล้วก็ตาม แต่ว่าเธอก็ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองเขาหรือว่าแสดงท่าทีอะไรเป็นการตอบรับออกมาอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะตัวสั่นน้อยๆ อยู่อีกด้วยจนทำให้นากาต้องเงยหน้าขึ้นไปขอคำตอบจากเอริกะแทน

 

ซึ่งนักประดิษฐ์สาวที่เห็นแบบนั้นก็ได้เดินเข้าไปนั่งยองๆ อยู่ข้างๆ เด็กสาวตัวน้อยและยกมือขึ้นไปลูบหัวเธอเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบนากากลับไป

 

“ท่าทางว่าจะยังตกใจไม่หายเลยสินะเนี่ย…”

 

“ตกใจ? นี่เธอทำอะไรลงไปเนี่ยเอริกะ?”

 

“คือแบบว่าในระหว่างที่ฉันกำลังตรวจสอบเรื่องวิซของอีฟเขามันบังเอิญมีอะไรเกิดขึ้นนิดมาหน่อยน่ะ”

 

“……!!”

 

คำพูดที่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นมานิดหน่อยของเอริกะนั้นได้ทำให้อีฟสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเริ่มตัวสั่นและกอดที่ไปที่ขาของนากาแน่นจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นจำเป็นต้องรีบลดตัวลงไปนั่งเพื่อพูดปลอบเด็กสาวตัวน้อยในทันที

 

“ไม่เป็นไรแล้วนะอีฟ พี่อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องกลัวแล้วนะ…”

 

“…….”

 

ถึงแม้ว่าเด็กสาวจะได้ยินคำพูดปลอบใจจากนากาไปแล้วก็ตาม เด็กสาวก็ยังคงยืนตัวสั่นซุกอยู่กับนากาอยู่ดีจนทำให้ทั้งนากาและโมโกะที่เห็นแบบนั้นเริ่มที่จะหันไปจ้องมองเอริกะผู้ที่น่าจะเป็นต้นเหตุอย่างเอาเรื่องและพูดคาดคั้นขึ้นมา

 

“เธอพอจะบอกได้หรือเปล่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่น่ะ?”

 

“อุ้ย…”

 

เอริกะที่ได้ยินคำพูดคาดคั้นและสายตาเอาเรื่องของผู้ปกครองทั้งสองคนของเด็กสาวนั้นเริ่มที่จะมีเหงื่อผุดขึ้นมาบนใบหน้าก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นทั้งสองข้างขึ้นเป็นสัญญาณขอยอมแพ้แล้วจึงเดินนำเหล่าเด็กๆ เข้าไปด้านในตัวบ้านพร้อมกับเริ่มต้นเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พวกเด็กๆ ได้ฟัง

 

“ก็ได้ๆ … ที่จริงแล้วฉันก็แค่ลองตรวจสอบวิซของเจ้าหนูอีฟให้ตามที่พวกเธอขอมานั่นแหล่ะ แค่ว่ามันมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นนิดหน่อยน่ะ”

 

เอริกะที่เดินนำพวกเด็กๆ เข้าไปในห้องทำงานของเธอนั้นได้พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบายๆ ก่อนที่เธอจะนั่งลงไปที่เก้าอี้ทำงานตัวเก่งของเธอและล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์ของตัวเองและหยิบเอาเศษคริสตัลสีแดงจำนวนหนึ่งออกมาและโยนหนึ่งในเศษคริสตัลเหล่านั้นไปให้โมโกะรับเอาไว้

 

“อ่ะ เธอลองเอาเจ้านี่ไปดูสิโมโกะจัง”

 

“หืม? เศษคริสตัลวิซงั้นหรอ…?”

 

“ช่าย~ เศษคริสตัลวิซจากก้อนคริสตัลวิซธรรมดาๆ ที่หาได้ตามท้องตลาดทั่วไปเลยยังไงล่ะ ไหนเธอลองใช้พลังวิซของเธอเข้าใส่มันดูสิ”

 

“เอ่อ…. ฉันทำได้หรือเปล่าน่ะนากา?”

 

โมโกะที่ได้ยินคำสั่งของเอริกะได้หันไปพูดถามนากาเล็กน้อยเป็นเชิงขออนุญาต เพราะถึงเธอจะไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ว่านากานั้นได้คอยห้ามไม่ให้เธอใช้วิซมากนักนับตั้งแต่ที่พวกเธอกลับมาถึงเมืองรีมินัสแล้ว ชนิดที่ว่าบางทีเธอใช้วิซเพื่อจุดตะเกียงก็ยังโดนเขาเดินเข้ามาถามนู่นนี่อย่างกับว่ากลัวเธอจะสลายหายไปกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้น

 

ซึ่งทางด้านนากาที่มีหนูอีฟยืนเกาะขาอยู่ก็ได้พยักหน้ากลับไปให้เธอเล็กน้อยทำให้โมโกะได้เริ่มต้นทดลองปล่อยวิซของเธอเข้าใส่ก้อนคริสตัลในมือของเธอตามคำบอกของเอริกะ

 

“…..!!?”

 

แต่ทว่าในทันทีที่ก้อนคริสตัลในมือของโมโกะเริ่มที่จะเรืองแสงสีแดงรางๆ ออกมานั้น อีฟที่ยืนกำชายเสื้อของนากาอยู่ก็ได้สะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะกระตุกเสื้อนากาอย่างแรงและพยายามที่จะลากเขาออกไปจากห้องทำงานของเอริกะราวกับว่าเธอกำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่จนทำให้นากาต้องรีบก้มลงลูบหน้าลูบแก้มอีฟเพื่อเป็นการปลอบใจ

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เขาจะได้พูดสอบถามอะไรเด็กสาวขึ้นมาทางด้านโมโกะก็กลับหยุดการใช้วิซของเธอไปเสียก่อนและพูดถามเอริกะขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะว่าจากปริมาณวิซที่เธอใส่เข้าไปในตัวคริสตัลมันไม่น่าจะทำให้ก้อนคริสตัลเรืองแสงออกมาแค่จางๆ แบบนี้เลย

 

“คริสตัลนี่มันพังแล้วหรือเปล่าน่ะเอริกะ…?”

 

“ยังไม่พังหรอกจ้ะ ฉันว่าเธอแค่มือตกแล้วซะมากกว่าล่ะมั้งจ๊ะโมโกะจัง เอ้าไหนลองใหม่สิ แบบว่าเบ่งฮึ๊บ— ให้มันเรืองแสงออกมาน่ะ”

 

“เฮ้อ…”

 

คำพูดยียวนกวนประสาทของเอริกะได้ทำให้โมโกะถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเริ่มต้นอัดพลังวิซใส่เข้าไปในก้อนคริสตัลเป็นปริมาณมากกว่าเดิมจนทำให้มันเริ่มที่จะเรืองแสงสีเหลือง สีม่วง และสีแดงออกมาจากมุมต่างๆ กันก่อนที่แสงสีแดงจะส่องสว่างมากขึ้นจนกลบแสงสว่างสีเหลืองและสีม่วงไปจนหมด

 

“!!!!”

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวนี้นั้นก็ได้ทำให้อีฟสะดุ้งสุดตัวและพยายามที่จะใช้มือเล็กๆ ทั้งสองข้างของเธอลากตัวนากาออกไปจากห้องอีกครั้งหนึ่งจนทำให้นากาตัดสินใจที่จะอุ้มตัวอีฟขึ้นมากอดเอาไว้เพื่อเป็นการปลอบใจ

 

ส่วนทางด้านโมโกะที่อัดพลังวิซของตนใส่คริสตัลในมือจนมันส่องแสงสว่างออกมานั้นก็ได้ยกมือขึ้นมาปาดเม็ดเหงื่อที่เริ่มจะผุดขึ้นมาก่อนที่เธอจะเลิกอัดพลังวิซใส่ก้อนคริสตัลในมือจนทำให้แสงสว่างนั้นวูบดับไปและเงยหน้าขึ้นไปมองเอริกะด้วยความสงสัย

 

เพราะถึงแม้อาการอ่อนเพลียจากการฝืนใช้วิซของโมโกะนั้นจะยังไม่ได้หายดีไปซะทีเดียว แต่เธอก็มั่นใจว่าจากปริมาณวิซที่เธอใส่ลงไปนั้นมันน่าจะถึงขั้นที่ทำให้คริสตัลธรรมดาๆ แตกร้าวไปแล้วซะด้วยซ้ำ แต่ว่าเจ้าก้อนคริสตัลสีแดงในมือของเธอมันกลับไม่เป็นอะไรเลยอีกทั้งยังดูเหมือนว่าจะส่องแสงสว่างออกมาน้อยกว่าตามปกติที่ควรจะเป็นอีกด้วย

 

และนั่นก็ทำให้เอริกะที่เห็นดั่งนั่นเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดอธิบายออกมาให้เด็กสาวได้ฟัง

 

“เศษคริสตัลนั่นมันเคยเป็นก้อนคริสตัลที่ฉันใช้มันในการสร้างตัวเก็บพลังงานวิซสำหรับพกพามาก่อนน่ะ เพราะงั้นเธอจะทำให้มันระเบิดไม่ได้ก็ไม่แปลกหรอกนะ เพราะว่าคริสตัลพวกนี้มันถูกออกแบบมาให้กักเก็บพลังวิซเอาไว้ได้ในปริมาณมาก… ชนิดที่ว่าต่อให้จะใช้มันจ่ายพลังงานให้กับอุปกรณ์ของฉันทั้งวันก็ยังเหลือเฟือเลยน่ะ”

 

“งั้นที่สภาพห้องของเธอเป็นแบบนี้นี่อย่าบอกนะว่าเธอเผลอทำอุปกรณ์เก็บพลังวิซอะไรของเธอนั่นระเบิดขึ้นมาน่ะ?”

 

คำพูดอธิบายของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาที่ยืนอุ้มอีฟอยู่ต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย และนั่นก็ทำให้เอริกะต้องกระดิกนิ้วไปทางอีฟที่อยู่ในอ้อมแขนของนากาและพูดขึ้นมา

 

“ที่ว่าระเบิดนั่นมันก็ใช่แหล่ะ แต่ว่ามันเป็นฝีมือของเจ้าหนูอีฟนั่นต่างหากล่ะ…”

 

“เธอหมายความว่าไงน่ะ?”

 

“ก็… พอดีว่าที่บ้านฉันมันไม่มีเครื่องมือตรวจพลังวิซเป็นชิ้นเป็นอันแบบที่อารอนที่เป็นหมอเขาใช้ใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่าอุปกรณ์เก็บพลังวิซธาตุต่างๆ มันน่าจะใช้แทนกันได้ก็เลยลองเอามาให้หนูอีฟเขาใช้งานดูน่ะสิ เพราะว่านอกจากจะดูได้ว่าคริสตัลธาตุไหนตอบสนองกับพลังของอีฟเขาแล้วก็ยังใช้ตรวจสอบปริมาณพลังคร่าวๆ ได้ด้วยใช่มั้ยล่ะ”

 

“แล้วเธอไปทำอิท่าไหนมันถึงระเบิดได้กันล่ะนั่น?”

 

คำพูดอธิบายของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาต้องพูดถามขึ้นมาด้วยความสงสัย เพราะว่าวิธีการตรวจสอบวิซที่เอริกะพูดขึ้นมานั้นมันก็ฟังดูมีเหตุผลและใกล้เคียงกับวิธีที่ใช้ในการตรวจสอบธาตุของวิซให้พวกเด็กๆ อยู่ ยกเว้นเสียแต่ว่ามันจะมีเรื่องเหตุระเบิดเกิดขึ้นมาในระหว่างกระบวนการเท่านั้นเอง

 

ซึ่งเอริกะที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้ยกมือขึ้นมาเกาหัวก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไป

 

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นเธอก็ลองถามเจ้าหนูอีฟดูสิว่าเขาทำยังไงให้มันระเบิดออกมาได้น่ะ”

 

“เอ๋…?”

 

“นี่! ทำหน้าอย่างงั้นมันหมายความว่ายังไงหะ? ฉันขอบอกเลยนะว่ามันไม่ใช่ข้อผิดพลาดที่สิ่งประดิษฐ์ของฉันแน่นอนล่ะ ถ้าอันไหนฉันไม่มั่นใจจริงๆ ฉันก็ไม่เอามันมาให้พวกเด็กๆ ทดลองเล่นมันหรอกนะรู้มั้ย”

 

“เอ่อ… ก็จริงล่ะมั้ง…”

 

คำพูดของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาต้องยกมือขึ้นมาเกาแก้มเห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้เพราะเขาเองก็เชื่อว่าคนอย่างเอริกะก็คงจะไม่มีทางทิ้งของอันตรายเอาไว้ใกล้มือเด็กอยู่แล้ว

 

“ถ้างั้นก็หมายความว่าที่มันเกิดระเบิดขึ้นมานี่มันเป็นฝีมือของอีฟเขาจริงๆ หรอน่ะ?”

 

“ฉันคงจะพูดได้แค่ว่าเจ้าหนูอีฟนี่มีปริมาณวิซเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่มากจนทำให้ขนาดอุปกรณ์ของฉันก็ยังรับไม่ไหว… จะเรียกว่ามีมากจนน่าเป็นห่วงเลยก็ได้ล่ะมั้ง”

 

“น่าเป็นห่วงงั้นหรอ?”

 

“อื้ม เพราะงั้นจนกว่าอีฟเขาจะสามารถควบคุมพลังได้หรือว่าจนกว่าเธอจะเติบโตจนรู้เรื่องมากกว่านี้ก็อย่าเพิ่งให้เธอได้ทดลองใช้หรือว่าฝึกฝนการใช้วิซเลยจะดีกว่า ไม่งั้นมันอาจจะเป็นอันตรายต่อตัวเธอเองได้น่ะ”

 

เอริกะพูดเตือนขึ้นมาให้เหล่าผู้ปกครองทั้งสองคนของเด็กสาวได้ฟัง และนั่นก็ทำให้โมโกะต้องพูดถามกลับไปด้วยความสงสัยพร้อมกับตบไหล่ของนากาไปด้วย

 

“หมายถึงเดี๋ยวอีฟเขาจะเผลอใช้วิซเล่นจนหมดแรงน่ะหรอ? เรื่องนั้นไม่น่าเป็นไรหรอกมั้ง เพราะสมัยเด็กๆ ใครๆ เขาก็เคยเล่นสนุกจนวิซหมดตัวกันสักครั้งสองครั้งนั่นแหล่ะ ยกเว้นหมอนี่น่ะนะ…”

 

“ยุ่งน่า…”

 

“มันก็ไม่เชิงว่าอย่างงั้นหรอกจ้ะ…”

 

เอริกะพูดตอบโมโกะกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มๆ ก่อนที่เธอจะพูดอธิบายขึ้นมาต่อ

 

“ถ้าจะให้ฉันอธิบายล่ะก็… เอ… ตอนนี้ที่โรงเรียนเขาสอนเรื่องข้อควรระวังเวลาใช้วิซอย่างต่อเนื่องหรือว่าสาเหตุที่มันจะเป็นอันตรายได้แล้วหรือยังน่ะ?”

 

“เอ่อ… ก็สอนแล้วมั้ง… เธอว่าไงล่ะโมโกะ?”

 

คำถามของเอริกะในคราวนี้นั้นได้ทำให้นากาที่ไม่เคยจะใส่ใจในคาบเรียนที่เกี่ยวข้องกับการใช้วิซพูดพึมพำตอบกลับไปแบบไม่ค่อยจะมั่นใจนัก และนั่นก็ทำให้โมโกะต้องตีไปที่แขนของเขาเบาๆ ก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปเอง

 

“ตั้งแต่เปิดภาคเรียนมาอาจารย์อายะเขาย้ำเรื่องนี้มาได้สองสามรอบแล้วย่ะ… เห็นอาจารย์เขาบอกว่าเพราะร่างกายของแต่ละคนสามารถเก็บกักพลังวิซเอาไว้ได้ไม่เท่ากัน แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะคำนวณขีดจำกัดการใช้พลังวิซของแต่ละคน เพราะงั้นเวลาที่จำเป็นจะต้องใช้วิซอย่างต่อเนื่องจะต้องคอยสังเกตว่าตัวเองมีอาการเหนื่อยอ่อนหรือไม่ ถ้าเกิดว่ามีอาการก็ให้รีบหยุดใช้วิซทันทีหรืออะไรเนี่ยแหล่ะ”

 

“หืม? อาจารย์เขาสอนแค่นั้นหรอ? แล้วเรื่องอาการหลังจากนั้นหรือว่าสาเหตุของมันล่ะ?”

 

“เอ… ก็มีที่ว่าถ้าใช้วิซมากเกินขนาดมันจะทำให้เกิดอาการหมดแรงที่เรียกว่าโอเวอร์ฮีต… แต่เอาจริงๆ จากที่ฉันเคยเป็นมานี่ ฉันว่ามันไม่น่าจะเรียกว่าหมดแรงเลยนะ น่าจะเรียกว่าแทบจะสลบไปเลยซะมากกว่า”

 

“เห… เดี๋ยวนี้ที่โรงเรียนเขาสอนกันแค่นั้นเองหรอน่ะ”

 

เอริกะที่ได้รับคำตอบกลับมาจากโมโกะได้เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทีประหลาดใจพร้อมกับพูดพึมพำออกมา และนั่นก็ทำให้โมโกะที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับหูกระดิกและพูดถามขึ้นมาด้วยท่าทีที่ออกจะดูตื่นเต้นเล็กน้อย

 

“เธอพูดแบบนั้นนี่อย่าบอกนะว่ามันมีอะไรมากกว่าหมดแรงอีกน่ะ?”

 

“อย่าแม้แต่จะคิดเลยนะโมโกะ ไม่งั้นฉันจะไปตามมีอามาบ่นเธอถึงบ้านแน่…”

 

คำพูดของโมโกะที่ฟังดูตื่นเต้นเล็กน้อยนั้นได้ทำให้นากาต้องหรี่ตาลงและพูดเตือนเพื่อนของเขาขึ้นมา เพราะเขารู้จักเพื่อนของตนคนนี้ดีว่าถ้าเธอได้ยินสิ่งที่เอริกะบอกไปล่ะก็เธอก็คงจะแอบเอาไปลองทำในเวลาว่างด้วยความอยากรู้อยากลองอย่างแน่นอน ซึ่งคำพูดเตือนของนากาก็ได้ทำให้โมโกะสะดุ้งไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดเถียงกลับไป

 

“ป–เปล่าซะหน่อย! ฉันก็แค่อยากรู้เอาไว้ก่อนจะได้ระวังตัวไง!”

 

“แน่ใจนะ…?”

 

“ก็แน่อยู่แล้วสิ!”

 

“เฮ้อ… เอาเป็นว่าเธออธิบายต่อได้เลยเอริกะ”

 

นากาที่เห็นท่าทีของเพื่อนของเขาได้ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนที่เขาจะหันไปพูดบอกเอริกะแทน และนั่นก็ทำให้นักประดิษฐ์สาวไม่รอช้าที่จะเริ่มต้นพูดอธิบายออกมาต่อในทันที

 

“มันก็อย่างที่พวกเธอได้รู้จากที่โรงเรียนแล้วนั่นแหล่ะว่าเวลาใช้วิซในปริมาณมากหรือว่าใช้วิซอย่างต่อเนื่องมันจะทำให้หมดแรงจนสลบไปน่ะ… แต่ว่าจะให้อธิบายปากเปล่าแบบนี้มันก็ค่อนข้างจะยากอยู่เหมือนกัน… เอาเป็นว่าไหนพวกเธอลองกลั้นหายใจให้ฉันดูหน่อยสิ”

 

“หา? มันเกี่ยวอะไรกันล่ะนั่น?”

 

“เอาน่าๆ แค่กลั้นหายใจนิดหน่อยไม่เป็นอะไรหรอกจริงมั้ย~”

 

“เฮ้อ… มันก็ได้แหล่ะ… เอ้า เอาเลยนะ หนึ่ง สอง… ฮึ๊บ—”

 

นากาที่ได้ยินคำขอของเอริกะนั้นได้แต่ยกมือขึ้นมาเกาหัวของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่เขาจะสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่พร้อมๆ กับโมโกะเพื่อกลั้นหายใจตามคำขอของเอริกะ

 

“……..”

“……..”

“……..”

 

แต่ถึงแม้ว่าเอริกะจะเห็นเด็กหนุ่มสาวทั้งสองคนกลั้นหายใจตามคำขอของเธอแล้วก็ตาม สิ่งที่นักประดิษฐ์สาวทำก็มีเพียงแค่ปั้นหน้ายิ้มมองดูเหล่าเด็กๆ ยืนกลั้นหายใจกันอยู่ด้วยท่าทีสบายอารมณ์จนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบวินาที เธอจึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นมาเมื่อเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของนากาว่าเธอให้เขากลั้นหายใจไปทำไมกันแน่

 

“ถ้าเธอสงสัยว่าจะต้องกลั้นหายใจนานเท่าไหนกันแน่ล่ะก็… งั้นเอาเป็นจนกว่าฉันจะพอใจก็แล้วกันเนอะ~”

 

“พรึด— นี่เธอจะบ้าเรอะ!? แค่กๆ!”

 

คำพูดของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาที่กลั้นหายใจมาเป็นเวลานานแทบจะสำลักออกมา แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านเอริกะก็กลับทำเพียงแค่ชี้ไปทางโมโกะด้วยสีหน้ายิ้มๆ และพูดขึ้นมาให้เขาฟัง

 

“จุ๊ๆ อย่าเพิ่งโวยวายสินากาคุง~ โมโกะจังเขายังกลั้นหายใจอยู่เลยนะ~”

 

“ฮ่า—-ฮ่า—”

 

แต่ทว่าในทันทีที่สิ้นเสียงพูดของเอริกะนั้นเอง โมโกะที่ยืนกลั้นหายใจไปพร้อมๆ กับนากาก็ได้พ่นลมหายใจเฮือกใหญ่ออกมาก่อนที่เธอจะรีบหายใจกลับเข้าไปอยู่สักพักใหญ่โดยมีเสียงของเอริกะพูดถามดังตามขึ้นมา

 

“อื้ม… สักราวๆ สามสิบวินาทีสินะ เก่งมากจ้ะ~ แล้วทีนี้เธอรู้สึกยังไงบ้างล่ะ?”

 

“ก็… เหนื่อย…? มั้ง… ไม่รู้สิ… แต่ปกติเวลาใครเขากลั้นหายใจนานๆ ก็เป็นแบบนี้กันทั้งนั้นไม่ใช่หรอ…?”

 

“นั่นแหล่ะๆ ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆ ก็คือว่าร่างกายของเธอน่ะหายใจเอาอากาศเข้าไปเพื่อใช้เป็นพลังงานให้กับส่วนต่างๆ ของร่างกาย แล้วทีนี้พอพวกเธอกลั้นหายใจไปได้สักพักนึง อากาศที่เหลืออยู่ในร่างกายของพวกเธอก็จะค่อยๆ หมดลงจนร่างกายเหนื่อยล้าและสั่งให้เธอรีบหายใจเพื่อเอาอากาศใหม่เข้าไปยังไงล่ะ”

 

“เธอจะบอกว่าร่างกายเองก็มีการเก็บกักอากาศเอาไว้เพื่อใช้ประโยชน์เหมือนกับวิซหรอน่ะเอริกะ?”

 

นากาที่ยืนฟังคำพูดของสาวๆ ทั้งสองคนอยู่นั้นก็ได้พูดถามขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเอริกะก็ได้หันไปพยักหน้าให้กับเขาก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาต่อ

 

“ใช่แล้วล่ะ ถ้าให้เปรียบเทียบกันแล้ว การที่พวกเธอใช้วิซออกไปอย่างต่อเนื่องหรือว่าใช้วิซออกไปในปริมาณมากๆ รวดเดียว มันก็แทบจะไม่ได้ต่างอะไรไปจากการที่พวกเธอกลั้นหายใจเป็นเวลานานหรือไม่ก็พ่นลมหายใจออกไปจนหมดตัวในทีเดียวจนทำให้เซลล์ต่างๆ ในร่างกายเรียกร้องขอออกซิเจนเพิ่มนั่นแหล่ะ ติดแค่ว่าอาการเหนื่อยล้าจากการขาดวิซของพวกเธอมันถูกออกแบบมาให้ฟื้นตัวช้ากว่าการขาดออกซิเจนมากเท่านั้นเอง”

 

“เอ๋ะ? เอ่อ… แล้วมันเกี่ยวยังไงกับเรื่องที่เธอว่าทางโรงเรียนไม่ได้สอนอะไรนั่นล่ะ?”

 

คำพูดอธิบายง่ายๆ ของเอริกะที่ยืดยาวและถึงขั้นมีคำศัพท์ภาษาโบราณอย่างคำว่าเซลล์และออกซิเจนที่นากาไม่ค่อยจะคุ้นเคยสักเท่าไหร่โผล่มาด้วยนั้นได้ทำให้นากาได้แต่กะพริบตาปริบๆ ก่อนที่เขาจะพูดถามเข้าเรื่องขึ้นมา และนั่นก็ทำให้เอริกะจำเป็นต้องพูดตอบเขากลับไป

 

“ก็… ถ้าฉันจะบอกว่าที่จริงแล้วอาการทั้งสองอย่างนั่นน่ะมันคล้ายๆ กันตรงที่ว่า ที่จริงแล้วร่างกายของเธอแค่กำลังส่งสัญญาณบอกว่า ‘ต้องการ’ ที่จะฟื้นฟูวิซหรือว่าสูดอากาศเข้าไป ไม่ใช่ ‘จำเป็น’ จะต้องสูดอากาศหรือว่าฟื้นฟูวิซ ณ ตอนนั้นเลยพวกเธอจะคิดว่ายังไงล่ะ?”

 

“เอ๋…?”

 

“……..”

 

คำตอบของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้โมโกะได้แต่หลุดเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจในขณะที่ทางด้านนากานั้นกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยและพูดถามกลับไปอีกครั้งหนึ่ง

 

“นี่เธอกำลังจะบอกว่าที่จริงแล้วความรู้สึกเจ็บปวดพวกนั้นที่เกิดขึ้นตอนกลั้นหายใจกับการใช้วิซมันมาจากร่างกายต้องการที่จะฟื้นฟู แต่ไม่ใช่จำเป็นต้องหยุดพักเพื่อฟื้นฟูเวลาขาดออกซิเจนหรือวิซในตอนนั้นเลยงั้นหรอ?”

 

“ใช่แล้วล่ะ แล้วที่มันเป็นแบบนั้นมันก็เป็นเพราะว่าการหายใจมันคือการนำเอาอากาศจากภายนอกที่พวกเธอไม่สามารถผลิตเองได้และจำเป็นต่อความอยู่รอดของร่างกายมากกว่าเข้าไปภายในร่างกาย เพราะงั้นอาการเจ็บปวดนั่นมันก็เลยฉับพลันและรุนแรงกว่า ในขณะที่พลังวิซนั้นมันถูกสร้างขึ้นจากภายในร่างกายของพวกเธอเอง เพราะงั้นพวกเธอก็เลยสามารถฝืนร่างกายของตัวเองให้ปล่อยวิซออกมาได้อยู่ คล้ายๆ กับการฝืนวิ่งต่อไปทั้งๆ ที่พวกเธอเมื่อยขาจนแทบจะทนไม่ไหวแล้วอะไรแบบนั้นน่ะ”

 

“ถ้างั้นหมายความว่าที่ผ่านมาตอนที่ฉันใช้วิซหมดตัวจนแทบจะสลบไปนั่นที่จริงแล้วฉันยังสามารถสู้ได้ต่อถ้ายังทนไหวงั้นหรอ…?”

 

ในทันทีที่เอริกะพูดอธิบายออกมาจนจบนั้นเอง โมโกะที่ยืนฟังอยู่ก็ได้พูดถามขึ้นมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ จนทำให้เอริกะชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดตอบกลับไปตรงๆ

 

“จะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดไปสักทีเดียวหรอกจ้ะ…”

 

“โมโกะ…”

 

คำถามของโมโกะและคำตอบของเอริกะนั้นได้ทำให้นากาต้องยื่นมือไปจับไหล่ของโมโกะเอาไว้และพูดชื่อเพื่อนสาวของเขาขึ้นมาเบาๆ แต่ถึงอย่างนั้นทางด้านโมโกะกลับไปปัดมือของนากาออกไปและเอ่ยปากพูดเถียงขึ้นมาก่อนที่นากาจะได้พูดอะไรเสียอีก

 

“อะไรเล่า! ก็ฉันไม่อยากจะเป็นตัวถ่วงแบบตอนนั้นแล้วนี่! ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอไงว่าฉันจะไม่ยืนดูเฉยๆ มองพวกนายออกไปสู้—”

 

“น่าๆ ใจเย็นกันก่อนสิทั้งสองคน ฉันยังอธิบายไม่จบสักหน่อยนะ”

 

ในขณะที่พวกเด็กๆ ทั้งสองคนกำลังจะเริ่มต้นพูดเถียงกันอยู่นั้นเอง อยู่ๆ ทางด้านเอริกะก็ได้พูดแทรกขึ้นมาจนทำให้ทั้งนากาและโมโกะต่างพากันชะงักไปเปิดโอกาสให้เอริกะได้พูดอธิบายขึ้นมาต่อ

 

“มันก็อย่างที่พวกเธอรู้กันว่าเวลาที่พวกเธอใช้วิซแล้วมันจะเกิดอาการเหนื่อยล้าจากการใช้วิซหรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่าอาการ ‘โอเวอร์ฮีต’ ใช่มั้ยล่ะ ซึ่งอาการโอเวอร์ฮีตเนี่ยหลักๆ แล้วมันจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมดสามขั้นด้วยกัน ขั้นที่หนึ่งคือรู้สึกเหนื่อยธรรมดาๆ เหมือนกับเพิ่งออกแรงมาก ขั้นที่สองคือหอบหายใจหนักเหมือนกับหายใจไม่ทันและมีอาการอ่อนล้าหมดแรง ส่วนอาการขั้นที่สามก็คือหน้ามืดล้มพับสลบไปเลยยังไงล่ะ”

 

“ก็เหมือนกับที่ยัยนี่ชอบเป็นบ่อยๆ นั่นไง ให้ตายสิ… เธอเองก็อย่าไปเลียนแบบพี่โมโกะเขานะรู้มั้ยอีฟ…”

 

“ยุ่งน่า!”

 

นากาที่ได้ยินคำพูดอธิบายของเอริกะนั้นอดไม่ได้ที่จะพูดบ่นขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับเอ่ยปากพูดเตือนอีฟที่เขาอุ้มเอาไว้ในอ้อมแขนไปด้วยจนทำให้โมโกะจำเป็นต้องพูดตอบกลับไปด้วยความอารมณ์เสีย

 

ส่วนทางด้านเอริกะเองก็ได้พูดเตือนเด็กสาวขึ้นมาด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกัน

 

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ฉันเองก็อยากจะให้เธอเลิกทำอะไรแบบนั้นเหมือนกันนะโมโกะ เพราะถึงการสลบไปจากอาการโอเวอร์ฮีตขั้นสามมันจะดูน่าเป็นห่วงก็เถอะ แต่ว่าที่เป็นปัญหาจริงๆ น่ะมันอยู่ที่ช่วงหลังจากการพักฟื้นจากอาการโอเวอร์ฮีตต่างหากล่ะ”

 

“เอ๋? มันก็แค่เหนื่อยๆ จนขยับตัวลำบากเองไม่ใช่หรอ ไม่น่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกมั้ง”

 

“นั่นมันเป็นเพราะว่าที่ผ่านมาเธอได้อารอนไม่ก็มีอาเขาคอยช่วยดูแลให้ต่างหากล่ะจ้ะ แล้วก็ที่น่าเป็นห่วงน่ะมันไม่ใช่อาการเหนื่อยล้าสะสมวันสองวันแบบที่เธอเพิ่งจะผ่านมาหรอกนะ แต่ว่ามันเป็นอาการที่จะปรากฏให้เห็นหลังจากนั้นหลายวันหรืออาจจะถึงขั้นหลายสัปดาห์ต่างหากล่ะ ถึงถ้าเธอกินยาที่พวกเขาจัดให้แล้วมันจะช่วยลดความเสี่ยงไปได้บ้างก็เถอะนะ…”

 

“อ๋อ… เพราะงั้นเธอถึงได้ฝากยาทั้งแผงนั่นให้ฉันเอาไปให้โมโกะกินงั้นสินะ”

 

นากาที่ได้ยินคำอธิบายของเอริกะนั้นได้มีท่าทีผ่อนคลายลงมามากหลังจากที่ได้ยินว่าอาการของโมโกะคงจะไม่น่าเป็นห่วงมาก ซึ่งนั่นก็ทำให้เอริกะได้แต่ส่ายหน้าไปมาเพราะว่ายาเม็ดยี่สิบกว่าเม็ดของเธอนั้นมันไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับอาการโอเวอร์ฮีตสักเท่าไหร่นักแต่ว่ามีเอาไว้เพื่อป้องกันอะไรอย่างอื่นเสียมากกว่า

 

“มันก็อะไรราวๆ นั้นนั่นแหล่ะ~ แต่ถึงฉันจะบอกว่ามันน่ากังวลก็เถอะ แต่ว่าเอาจริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนักหรอกนะ เพราะว่าเท่าที่เคยมีบันทึกเอาไว้ส่วนมากก็จะเป็นพวกอาการปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง แขนขาอ่อนแรงจนขยับไม่ได้ หรือไม่ก็พวกอวัยวะภายในล้มเหลวฉับพลันอะไรพวกนั้นน่ะ~”

 

“อ–อวัยวะภายในล้มเหลวงั้นหรอ…?”

 

“ช่าย~ พวกที่โชคดีหน่อยก็จะเป็นตับหรือไม่ก็ไตล้มเหลว ที่บอกว่าโชคดีก็เพราะว่าคนเรามีไตสองข้างน่ะนะ ส่วนตับจะหายไปสักหน่อยนึงก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสักเท่าไหร่หรอก ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักสิบยี่สิบปีได้สบายๆ เลยล่ะ~”

 

“…แล้วถ้าเป็นพวกที่โชคร้ายล่ะ?”

 

“ก็… ปอดหรือไม่ก็หัวใจหยุดทำงานฉับพลัน เพราะถ้าเกิดว่าเป็นหนึ่งในสองอย่างนี้ขึ้นมาล่ะก็ส่วนมากจะไม่มีเวลาพอให้ยื้อชีวิตเอาไว้เพื่อทำการรักษาซะด้วยซ้ำน่ะสิ”