ตอนที่ 73.2 แผ่สัมผัสเซียนรับรู้และแอบเฝ้าดู... (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ทันใดนั้นเหล่าผู้อาวุโสสำนักตู้เซียนที่อยู่ที่นี่รวมทั้งผู้บำเพ็ญจากเกาะเต่าทองต่างก็พากันมองไปที่อ๋าวอี่พร้อมกัน…

อ๋าวอี่พึมพำในใจด้วยสีหน้ามืดมนพลางถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ไม่ ความจริงแล้วเป็นข้าที่แพ้ ข้าแพ้ในทุกๆ ด้าน”

“ในขณะนั้น ข้าได้รับบาดเจ็บจากยันต์ของสหายเต๋าฉางโซ่วและต้องพักนานกว่าหนึ่งเดือน แต่เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ เขาต้องจงใจให้ข้าชนะเพื่อไม่ให้วังมังกรเสียหน้า ข้ามาตามหาสหายเต๋าฉางโซ่วที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อแก้ไขกรรมนี้พร้อมทั้งอยากขอบคุณเขาด้วยตัวเอง…”

คำพูดของเขาค่อนข้างจริงใจ แต่ก็ดูเหมือนจะแฝงนัยอื่น

ผู้อาวุโสสำนักตู้เซียนท่านหนึ่งจึงยิ้มและกล่าวว่า “จิ่วอู ไปเรียกฉางโซ่วมาเถิด”

“เอ่อ…ขอรับ” จิ่วอูก้มหน้าตอบรับแล้วหันกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบขับเคลื่อนเมฆไปทางยอดเขาหยกน้อย

ขณะขับเคลื่อนเมฆไป จิ่วอูก็ได้คิดหาวิธีจัดการกับสถานการณ์หลายวิธี

ผู้อาวุโสในสำนักย่อมไม่อยากเห็นศิษย์ของพวกเขาต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

หากอ๋าวอี่ยอมรับการปิดผนึกขอบเขตพลังของเขาเองถึงระดับคืนกลับอนัตตาขั้นสี่ ซึ่งศิษย์หลานหลานฉางโซ่วปกปิดขอบเขตพลังของเขาเอาไว้ที่ขั้นนั้น ขอบเขตพลังของเขาจะต้องถูกเซียนเทียนทั้งสองสัมผัสได้ในระหว่างนั้นอย่างแน่นอน และนั่นจะจะไม่ทำให้ชื่อเสียงของสำนักตู้เซียนต้องเสื่อมเสียหรือ

ข้าต้องบอกศิษย์หลานฉางโซ่วให้เลิกแผนปกปิดตัวตน และในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นนี้ เขาจะต้องทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่เพื่อต่อสู้ในศึกครั้งนี้!

เมื่อจิ่วอูตัดสินใจแล้ว ทันใดนั้นเขาก็หยิบสมบัติอมตะออกมาในอ้อมแขนของเขาสองสามชิ้นแล้วจะยัดมันให้หลี่ฉางโซ่วเพื่อให้เขาได้ฝึกฝนไปในระหว่างทางพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จิ่วอูไม่คาดคิดก็คือ…

เขาคลาดกับหลี่ฉางโซ่วไป

จิ่วอูแผ่สัมผัสเซียนรับรู้ออกไปทั่ว และพบว่ามีเพียงหลิงเอ๋อร์น้อยกำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในกระท่อมมุงจากริมทะเลสาบ พลังวิญญาณในป่าโดยรอบของหอโอสถดูเหมือนจะสงบ แต่มีอันตรายอยู่ในนั้น…มันชัดเจนสำหรับเขา

ในขณะนั้น จิ่วอูก็ไม่กล้าเข้าไปในค่ายกล เขาลอยร่างอยู่เหนือหอโอสถแล้วใช้พลังเซียนตะโกนออกไปอย่างเต็มที่

“ฉางโซ่ว!”

“ฉางโซ่ว…”

ในหอโอสถนั้น บัดนี้ หลี่ฉางโซ่วกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกเพื่อพักผ่อน

อย่างไรก็ตาม ร่างหลักที่แท้จริงของเขาซ่อนตัวอยู่ในห้องลับใต้ดินโดยหลับตาและเพ่งจิตไปที่มุมหนึ่ง

เขาเพ่งไปยังตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ที่อยู่ห่างออกไปสองหมื่นลี้…

หากมีคนบุกเข้าไปในค่ายกลชั้นนอก จี้หยกในมือของเขาจะสั่นและปลุกหลี่ฉางโซ่วให้ตื่นขึ้น…

นั่นเป็นหนึ่งในข้อบกพร่องที่สำคัญในเวลานี้ของตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ เมื่อมันออกจากรัศมีขอบเขตของสัมผัสเซียนรับรู้ของเขา เขาจะต้องให้ความสนใจกับมันทั้งหมดอย่างสมบูรณ์

จิ่วอูตะโกนเรียกหลี่ฉางโซ่วสองครั้ง แต่ก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงกังวลมากจนเหงื่อออกเต็มหน้าผากแล้วเริ่มหมุนไปรอบๆ ในอากาศ

ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ก็โผล่ศีรษะของนางออกมาจากกระท่อมมุงจาก แล้วนึกถึงคำแนะนำของศิษย์พี่ของนาง

“ท่านอาจารย์ลุงจิ่วอู! ศิษย์พี่เข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่! เขาจะไม่ออกมาจนกว่าจะทะลวงด่านขึ้นไปได้เจ้าค่ะ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น จิ่วอูก็กระทืบเท้าเร่าๆ บนก้อนเมฆทันที

“เฮ้! ไฉนจึงมาเข้าปิดด่านในช่วงสำคัญเช่นนี้!!”

“แล้วบัดนี้เราควรทำอย่างไรดี!”

หลิงเอ๋อร์ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ทว่าขณะที่นางกำลังจะตะโกนออกไป จิ่วอูก็รีบขับเคลื่อนเมฆจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว

การเข้าปิดด่านเพื่อทะลวงขอบเขตนั้น หมายความว่าเพื่อที่จะทะลวงผ่านจุดตีบตันออกไป ผู้บำเพ็ญมักจะเลือกเข้าสู่การเข้าปิดด่านโดยปราศจากสิ่งรบกวน หากยังทะลวงผ่านขอบเขตไม่ได้ก็จะไม่ออกไป

แม้จะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่หลี่ฉางโซ่วเข้าปิดด่าน เขาก็ยังสามารถกลับไปอธิบายได้

ทว่าในฐานะผู้ดูแลระดับบริหารของสำนักตู้เซียน จิ่วอูก็อดคิดไม่ได้ว่า…

หากแค่บอกว่า ฉางโซ่วเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรอยู่ มันจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขากำลังหลีกเลี่ยงการต่อสู้ไม่ใช่หรือ ยิ่งกว่านั้น เหตุใดศิษย์ในขอบเขตคืนกลับอนัตตาถึงต้องเข้าปิดด่านบำเพ็ญเพียรด้วยเล่า

มันจะต้องทำให้ฉางโซ่วดูไม่ดีและยั่วยุเหล่าผู้อาวุโสที่เย่อหยิ่งอย่างแน่นอน

เช่นนั้นแล้ว ข้าควรทำอย่างไรดี ข้าสาบานว่าจะเก็บความลับให้ฉางโซ่ว…

เอ๋? ค่ายกล!

ฉางโซ่วเป็นผู้ออกแบบค่ายกลด้านนอกหอโอสถของยอดเขาหยกน้อยโดยมีศิษย์น้องหญิงน้อยของเขาเป็นผู้จัดวาง ถือได้ว่าเป็นการแสดงความสามารถในการสร้างค่ายกลของฉางโซ่ว

และฉับพลันนั้นดวงตาของจิ่วอูก็เปล่งประกายออกมาขณะที่เขามีความคิดอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ

เมื่อขับเมฆกลับไปที่โถงตู้เซียน ทันทีที่เหล่าผู้อาวุโสเห็นจิ่วอูกลับมาเพียงลำพัง ใบหน้าของพวกเขาก็ดูเครียดขมึงขึ้นทันที

และทันใดนั้น ห้องโถงซึ่งการสนทนาเป็นไปอย่างสนุกสนานก็เงียบลงอย่างรวดเร็ว

“จิ่วอู เกิดอันใดขึ้น” ปรมาจารย์จ้งอวี่ผู้มีใบหน้าซูบกล่าวถามอย่างสงบ “เหตุใดศิษย์ผู้นั้นจึงไม่มาด้วย”

“เรียนท่านปรมาจารย์รองเจ้าสำนัก” จิ่วอูก้มศีรษะลงและกล่าวว่า “โชคไม่ดีที่วันนี้ ศิษย์หลานฉางโซ่วได้เข้าปิดด่านเพื่อฝ่าทะลวงไปยังขอบเขตต่อไป ข้าจึงไม่กล้ารบกวนเพราะเกรงว่าเขาจะหันเหไปในวิถีผิดในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญแห่งการบรรลุขอรับ”

ปรมาจารย์จ้งอวี่ลูบเคราของเขาพลางยิ้มบางแล้วมองไปที่เซียนเทียนจากเกาะเต่าทองภายใต้สำนักบำเพ็ญเต๋าเจี๋ย แล้วถอนหายใจ “โปรดยกโทษให้ข้าด้วย ศิษย์ฉางโซ่วของข้าบังเอิญเพิ่งเข้าปิดด่านฝึกบำเพ็ญเสียแล้ว”

“เช่นนั้น เชิญรัชทายาทอ๋าวอี่เลือกศิษย์อื่นของสำนักเราสักคนเพื่อต่อสู้ด้วยดีหรือไม่ พวกท่านคิดเห็นเป็นเช่นไร”

ที่ด้านข้างนั้น บัดนี้ โหย่วฉินเสวียนหย่าเพิ่งมาถึง นางสวมชุดสีแดงและถือกระบี่ใหญ่พร้อมกับก้าวออกไปข้างหน้าครึ่งก้าว

ในเวลานั้น นางกำลังจะลุกขึ้นมาเผชิญหน้ากับอ๋าวอี่ทันที แต่ถูกอาจารย์ของนางดึงร่างกลับลงมาเงียบๆ

เจียงจิงซานที่มากับโหย่วฉินเสวียนหย่าขมวดคิ้วแล้วมองไปที่กระบี่ยาวซึ่งห้อยอยู่ที่เอวของอ๋าวอี่…

เจียงจิงซานสัมผัสได้ถึงความผันผวนของลมปราณจากสมบัติโบราณนั้น

ทันใดนั้นอ๋าวอี่ก็ยืนขึ้นอีกครั้งพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเผยท่าทีลังเลออกมา

เขามาที่สำนักตู้เซียนเพื่อเผชิญหน้ากับสหายหลี่ฉางโซ่วผู้นั้น มันเป็นแผนที่เขาคิดขึ้นมาในการเดินทางครั้งนี้หลังจากที่ครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน

ยิ่งกว่านั้น เขาก็ได้เปิดเผยเรื่องราวออกไปแล้ว

เขายังบอกผู้อาวุโสของเขาด้วยว่ามันเป็นบาดแผลในใจที่อาจเป็นปัญหาขัดขวางการฝึกบำเพ็ญของเขา

เขาไม่อาจเปลี่ยนไปสู้กับใครอื่นได้ง่ายๆ…

แผนของเขาไม่อาจหยุดชะงักได้เช่นนั้น!

อ๋าวอี่เอ่ยถามเสียงต่ำว่า “เขาจะปิดด่านอยู่นานเพียงใดหรือ”

อ๋าวอี่กล่าวต่ออีกว่า “หลังจากการสนทนาสิ้นสุดลง ข้าจะรออยู่ด้านนอกสำนักเพื่อรอให้เขาทะลวงด่านก้าวหน้าขึ้นไปก่อน”

เหล่าผู้อาวุโสและผู้บำเพ็ญวัยกลางคนในที่นี้ล้วนรู้สึกประทับใจในความมุ่งมั่นเพียรพยายามของอ๋าวอี่ทันที

จิ่วอูแอบจับสังเกตอย่างลับๆ เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสกำลังจะกล่าว เขาคิดว่าผู้อาวุโสจะต้องให้เขาคิดหาวิธีเรียกหลี่ฉางโซ่วออกมาให้ได้อย่างแน่นอน…

“แค่กๆ!”

นักพรตเต๋าร่างเตี้ยจึงรีบส่งเสียงกระแอมไอออกมาก่อนขณะที่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและโค้งคำนับทันที

“ท่านปรมาจารย์รองหัวหน้าเจ้าสำนัก ท่านผู้อาวุโสและศิษย์พี่! แม้ศิษย์หลานฉางโซ่วจะเข้าปิดด่านอยู่ แต่ความสามารถที่ดีที่สุดของเขานั้นหาใช่การใช้ยันต์ไม่ แต่เขาเก่งที่สุดในเรื่อง…ค่ายกลขอรับ!”

ขณะที่เขากำลังคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงคำสาบานที่เขาทำเอาไว้ในวันนั้น จิ่วอูก็ค่อยๆ แนะนำหลี่ฉางโซ่วให้พวกเขารู้จัก และกล่าวว่าหลี่ฉางโซ่วเป็นผู้ออกแบบค่ายกลของยอดเขาหยกน้อยซึ่งมีจิ่วจิ่วเป็นผู้ตั้งค่าจัดวางค่ายกล และเสนอวิธีอื่นในการต่อสู้แทน…

เฮ้อ ฉางโซ่ว อาจารย์ลุงสามารถช่วยเจ้าได้แค่นี้เท่านั้น

……

หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเมฆก้อนหนึ่งบินมาจากยอดเขาหยกน้อย

ผู้อาวุโสเซียนเทียนสองคนจากสำนักตู้เซียนพร้อมกับหยวนเจ๋อจากเกาะเต่าทองและเด็กสาวสองคนต่างก็เฝ้ามองดูเมฆจากระยะไกลด้วยกัน

หานจื่อจ้องมองไปที่แผ่นหลังของอ๋าวอี่และถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ท่านอาจารย์อา ท่านเก่งเรื่องการทำลายค่ายกลหรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ต้องห่วง” หยวนเจ๋อโบกมือ “ค่ายกลที่นี่ไม่ลึกลับซับซ้อน มันจะดักจับศิษย์น้องอ๋าวอี่ได้อย่างไร”

หานจื่ออดจะเอามือก่ายหน้าผากของนางไม่ได้ในขณะที่ดวงตาของเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ นางก็เต็มไปด้วยความกังวลเช่นกัน

ที่ด้านล่าง ในขณะนั้น จิ่วอูนำอ๋าวอี่ค่อยๆ ร่อนลงหยุดที่ด้านนอกค่ายกลของหอโอสถแห่งยอดเขาหยกน้อย

จากนั้นจิ่วอูก็ชี้ให้อ๋าวอี่ก้าวเข้าสู่การต่อสู้กับค่ายกล

ณ ขณะนี้…

ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์กำลังเดินเล่นอยู่รอบๆ เมืองหลินไห่ และหันกลับมาทันทีเพื่อไปที่ ‘โรงเตี๊ยม’ ที่อยู่ใกล้เคียง เขาเช่าห้องที่มีค่ายกลต่างๆ และตั้งค่ายกลหลายแบบของตัวเขาเองในขณะที่นั่งลงบนพื้นและกระทำราวกับว่ากำลังฝึกบำเพ็ญ

ตุ๊กตากระดาษถือขวดกระเบื้องสองสามขวดขณะที่หลับตาลง แล้วจิตใจของหลี่ฉางโซ่วก็ถูกดึงกลับเข้าไปในร่างกายของเขาทันที

มีคนกำลังเข้ามาท้าสู้ค่ายกลหรือ

ชั่วเวลานั้น สัมผัสเซียนรับรู้ของเขาค่อยๆ แผ่ออกไป และหน้าผากของหลี่ฉางโซ่วก็ดูเครียดขมึงขึ้นมากะทันหัน

อืม…

เกิดอันใดขึ้น

เขายังคงฟุ้งซ่านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะมีสติกลับคืนมา ในยามนั้น อ๋าวอี่ก็มึนงงขณะอยู่กับจิ่วอูเมื่อเห็นป้ายไม้…

มันเขียนว่า ‘ท่านหลงทางหรือไม่’