ตอนที่ 155 แล้วการนัดพบตอนกลางคืนล่ะ
มู่เถาเยาเอ่ยเตือนว่า “เอาล่ะ ตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว ถึงเวลาพักผ่อนของผู้เฒ่าทั้งหลายแล้ว”
หยวนเหยี่ยโต้กลับทันทีว่า “ไม่ใช่แค่ผู้เฒ่าอย่างพวกเราเท่านั้นที่ต้องพักผ่อน แต่เอ็งกับเหลียงจีก็ต้องไปพักด้วยเหมือนกัน เอ็งเหนื่อยกับการเดินทางตลอดหลายชั่วโมงแล้ว”
มู่เถาเยาต้องการจะบอกเขาว่าเธอไม่เหนื่อย แต่เมื่อเห็นทุกคนจ้องมาที่เธอเป็นตาเดียว
“โอเคค่ะ ฉันเหนื่อยแล้ว ฉันจะรีบไปพักผ่อนเดี๋ยวนี้”
หยวนเหยี่ยพยักหน้าด้วยความพึงพอใจทันทีว่า “ใช่ พวกเรากลับไปที่ห้องของเรากันเถอะ”
เขาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้้นจากที่นั่ง
คนอื่นๆ ลุกขึ้นตาม จากนั้นก็ทยอยกลับไปที่ห้องของใครของมันทีละคน
มู่เถาเยาเก็บกล่องยาขนาดเล็ก ถือโน๊ตบุ๊คไว้ในมือข้างหนึ่ง และเดินขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับประคองเป่ยซีไว้ด้วยมืออีกข้าง
ตี้อู๋เปียนเดินตามหลังทั้งสองคนไป
มู่เถาเยาหันศีรษะกลับมามองเขา
ตี้อู๋เปียน “…”
มู่เถาเยา “…”
โอเค พวกเขาสองคนดูเหมือนจะไม่ค่อยรู้ใจกันเท่าไหร่นัก
ลืมมันไปเถอะ ไว้ค่อยคุยกันหลังเธอปีนเข้าระเบียงห้องเขาทีหลังก็แล้วกัน
หลังจากมู่เถาเยาส่งเป่ยซีกลับไปที่ห้องนอนของเธอแล้ว เธอก็กลับไปที่ห้องของตัวเองซึ่งอยู่ติดๆ กัน
หลังจากอาบน้ำ สระผม และทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว เธอก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าโน๊ตบุ๊คของเธอ และกระโดดจากระเบียงห้องของเธอไปที่ระเบียงห้องของตี้อู๋เปียนอย่างเงียบๆ
ตี้อู๋เปียนกำลังจะปิดม่านและเข้านอน เมื่อเขาเห็นคนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ระเบียงด้านนอก หัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้นในตอนนั้น
ไม่ใช่ว่าเขาป๊อด แต่ตอนนี้เป็นยามวิกาลใช่ไหม จู่ๆ เธอก็ปรากฏตัวขึ้นในชุดนอนสีดำ เส้นผมยาวสลวยถูกปล่อยลงกลางแผ่นหลัง ใครเห็นก็ต้องคิดมากอยู่แล้ว
มู่เถาเยาเปิดประตูมุ้งลวดอย่างระมัดระวังและเดินเข้าไปข้างใน
ตี้อู๋เปียนรีบรูดผ้าม่านปิดทันที
หลังจากปิดม่าน จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นได้ว่าพวกเขากำลังแอบพบกันอย่างลับๆ
นี่มันน่าตื่นเต้นมาก!
เขามีความสุขมาก!
ซาลาเปาน้อยกำลังแอบมาเจอกับเขาตอนกลางคืน!
ใบหน้าที่เหมือนหยกของชายหนุ่มขึ้นสีแดงระเรื่อชวนมอง ไฝที่หว่างคิ้วของเขาคล้ายกับจะมีเสน่ห์และน่าหลงใหลมากขึ้นอีกส่วนภายใต้แสงที่นุ่มนวล
“ตี้อู๋เปียน คุณกำลังเหม่ออะไรอยู่ รีบมาดูภาพเหมือนที่ฉันร่างไว้สิ”
“อะไรนะ”
“ภาพเหมือนที่ฉันร่างไว้ไง”
“ภาพเหมือน ของฉันเหรอ?”
มู่เถาเยามองเขาด้วยสีหน้าแปลกๆ “ฉันจะวาดรูปคุณไปทำไม”
“…งั้นนั่นใครกัน”
“เด็กผู้ชายคนหนึ่ง พูดให้ถูกคืออาจารย์อาเล็กของฉันตอนที่เขายังเด็ก เอ๊ะ ตี้อู๋เปียนทำไมคุณถึงได้หน้าแดงขนาดนี้ เป็นหวัดแล้วหรือเปล่า ขอฉันดูหน่อยสิ”
“…เปล่า ฉันเพิ่งอาบน้ำมา น้ำค่อนข้างร้อนน่ะตัวก็เลยแดงนิดหน่อย”
จะให้เขาบอกว่าคิด…กับเธอได้ยังไง
ปรากฏว่าซาลาเปาน้อยไม่ได้มาที่นี่เพื่อแอบพบกับเขาในตอนกลางคืน
แบบนี้ก็ดี ไม่งั้นเขาคงทำให้ซาลาเปาน้อยต้องผิดหวังเพราะเขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับเธอได้
“อ้อ ถ้าไม่ป่วยก็โอเคแล้ว ร่างกายคุณอ่อนแอ พยายามอย่าให้ตัวเองต้องป่วยนะคะ ไม่งั้นทุกครั้งที่ป่วยคุณจะสูญเสียพลังชีวิตไปอย่างมาก”
คนปกติเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ดังนั้นคนเราจึงมักมีอาการซึมเศร้าเมื่อเจ็บป่วย
มู่เถาเยากางภาพเหมือน “ตี้อู๋เปียน ดูที่ดวงตาของเด็กน้อยคนนี้สิ”
ตี้อู๋เปียนรับภาพนั้นมาและมองลงไปอย่างระมัดระวัง
“ดวงตาเหมือนกับอาจารย์อาเล็กของเธอเล็กน้อย หมอลู่ก็มีคิ้วหนาและตาที่กลมโตแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม”
“ใช่ ฉันรู้สึกว่าอาจารย์อาเล็กของฉันจะต้องเป็นพี่ชายของหมอลู่แน่ๆ”
“ซาลาเปาน้อย…ดวงตาคู่หนึ่งไม่สามารถอธิบายอะไรได้มากนัก มีผู้คนมากมายในโลกนี้ที่แม้จะมีใบหน้าคล้ายกัน แต่กลับไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดต่อกันเลย”
เขาใช่ว่าจะไม่คาดหวังเช่นนั้น แต่ดวงตาคู่เดียวใช้อธิบายอะไรไม่ได้
“ฉันรู้ค่ะ แต่ฉันมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน”
“…ซาลาเปาน้อย ทำไมเธอถึงได้สนใจเรื่องนี้มากนัก”
มู่เถาเยากะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “เป็นแบบนั้นเหรอ”
ตี้อู๋เปียนอดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มที่เต็มไปด้วยความอวบอิ่มของเธอ “ใช่ มันชัดเจนมาก”
“…ฉันแค่อยากให้อาจารย์อาเล็กมีญาติ”
เธอต้องการให้อาจารย์ตามหาพี่ชายของเธอพบเพื่อคลายความปรารถนาสุดท้ายในใจของเธอในชาติที่แล้ว
“ซาลาเปาน้อย อาจารย์อาเล็กของเธอมีญาตินะ พวกเธอไง”
“แต่ก็มีญาติทางสายเลือดเพิ่มขึ้นมาได้ไม่ใช่เหรอ”
“ซาลาเปาน้อย เธอให้ความสำคัญกับสายเลือดมากเลยเหรอ”
มู่เถาเยาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหัว
ที่เธอยอมรับคนตระกูลเย่ว์ไม่เพียงแต่เพราะมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเท่านั้น แต่เป็นเพราะเสด็จแม่ของเธอด้วย อีกอย่างตระกูลเย่ว์ในชาตินี้ดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับตระกูลเย่ว์ในชีวิตที่แล้วของเธอ
ถ้าหากเธอให้ความสำคัญกับสายเลือดจริงๆ ชาติที่แล้วคงไม่ล้มล้างราชวงศ์มู่และสถาปนาราชวงศ์เทียนเย่ว์ขึ้นมาใหม่หรอก
อย่างอาจารย์ทั้งสองคนในทั้งสองชาติของเธอก็เหมือนกัน พวกเขาไม่ได้มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดกับเธอแม้แต่น้อย แต่พวกเขาก็มีความสำคัญกับเธออย่างมาก แทบจะเทียบเท่ากับเสด็จแม่ เยี่ยนหัง และตระกูลของท่านปู่ของเธอ
“ซาลาเปาน้อย ถ้าหากไม่ใช่ เธอจะผิดหวังไหม”
“ไม่” แต่คงปวดใจมาก
“ทุกอย่างจะชัดเจนเมื่อเราพบกับหมอลู่”
“อื้ม”
หมอลู่เป็นอาจารย์ของเธอ ไม่มีอะไรที่เธอพูดไม่ได้
สิ่งที่พูดยากคือหากไม่เป็นเช่นนั้น อาจารย์คงรู้สึกผิดหวัง
“ซาลาเปาน้อย เธอควรจะเป่าผมให้แห้งก่อนนอนนะ จะเป็นหวัดเอาถ้าตากน้ำค้างที่ลงหนักในตอนกลางดึก”
“อ้อ”
มู่เถาเยาใช้มือทั้งสองข้างสางตั้งแต่โคนศีรษะไปจรดถึงปลายผม ทำแบบนั้นซ้ำๆ กันสองสามที ไม่นานผมเธอก็แห้ง
ตี้อู๋เปียน “…”
แค่คำว่าอิจฉา ไม่สามารถใช้อธิบายอารมณ์ของเขาได้อีกต่อไปแล้ว
“ซาลาเปาน้อย ขอฉันฝึกกำลังภายในก่อนไม่ได้เหรอ”
“ไม่ได้ กำลังภายในไม่ได้มาจากการฝึกฝนแต่มันคือพลังชี่ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติตลอดการบ่มเพาะระยะยาว มันไม่ได้มาจากฝึกฝนเป็นพิเศษ แต่มาจากการรู้แจ้ง”
“…”
“รอจนกว่าร่างกายของคุณจะฟื้นตัวดีก่อน ฉันจะให้คุณเริ่มฝึกศิลปะการต่อสู้”
“ตกลง ฉันจะโหลดกลโกงทั้งหมดที่เธอให้ฉันมาและรอให้ฮาร์ดแวร์เข้าที่”
“ต่อให้จำได้ ฝึกไม่ได้ ระวังจะธาตุไฟเข้าแทรกนะ”
“…ฉันมีการรู้แจ้งในระดับสูงตั้งแต่เกิดแล้ว”
“อาจารย์เล็กของฉันก็เหมือนกัน แต่ครั้งแรกที่ฉันกับอาจารย์ใหญ่พบกับเขา คือตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการถูกธาตุไฟเข้าแทรก”
“…”
“ในอีกสองเดือน ฉันสามารถสอนคุณใช้จุดตันเถียนเพื่อสะสมกำลังภายในได้ แต่มันยังไม่เหมาะกับคุณในตอนนี้”
“โอเค”
“ตี้อู๋เปียน ตอนนี้หมอลู่อยู่ไหนแล้ว”
“ฉันจะบอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันพรุ่งนี้ ดูเหมือนว่าหมอลู่มีทีท่าว่าจะวกกลับมาในทิศทางเดิมและไม่คิดเดินหน้าต่อไปอีก ตอนนี้เธอกำลังเดินออกมาจากทิศทางเดิมเก้าสิบองศา”
“ถ้าเธอเปลี่ยนทิศทางอีกครั้ง เธอก็จะออกมาทางหมู่บ้านเถาหยวนซานของเรา หรือไม่ก็หมู่บ้านที่อยู่ใกล้เคียงนี้”
น้ำเสียงของมู่เถาเยาฉายแววยินดีเป็นอย่างมาก
“อื้ม”
“ตี้อู๋เปียน ฉันจะไปที่เมืองหลวงในสุดสัปดาห์หน้านะ”
“เธอไปทำอะไรที่เมืองหลวง”
“อาจารย์อาเล็กของฉันเขามีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง เป็นโค้ชขี่ม้าทีมชาติ เขาชวนฉันไป”
“โค้ชขี่ม้า? เถียนตงน่ะเหรอ”
“ใช่”
“เธออยากขี่ม้าเหรอ”
“ไม่ แต่ฉันจะเข้าร่วมการแข่งขันกีฬานานาชาติในอีกสี่ปีข้างหน้า ฉันสัญญากับโค้ชเถียนไว้แล้วว่าจะคว้าเหรียญทองสองสามเหรียญให้กับประเทศเหยียนหวง ฉันเลยจะไปดูการฝึกซ้อมของพวกเขาในสุดสัปดาห์หน้า”
“ซาลาเปาน้อย เธอยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่นะ คงไม่มีเวลาไปฝึกซ้อมหรอก”
“ฉันจะอยู่ในมหาวิทยาลัยเพียงแค่สามปีเท่านั้น และจะไปที่เมืองหลวงและอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากสำเร็จการศึกษา”
“งั้นถึงตอนนั้นฉันจะไปกับเธอด้วย”
“หลังจากนี้สามปีร่างกายของคุณคงจะดีขึ้นมากแล้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหน บินไปหรือบินกลับนานเท่าไหร่ร่างกายของคุณก็รับไหว”
“ก็ถ้าเธออยู่ทางโน้น ฉันเลือกกลับไปดีกว่า อย่างน้อยก็ดีกว่าวิ่งไปวิ่งมาทุกอาทิตย์ไม่ใช่เหรอ”
“ไม่แน่สามปีข้างหน้าคุณอาจจะหายดีแล้วก็ได้ เลิกพูดถึงเรื่องนี้เถอะ ไว้ค่อยดูกันอีกทีก็แล้วกัน”
“อืม”
“ซาลาเปาน้อย ทำไมเธอถึงไม่ให้คนสร้างห้องทดลองให้เธอที่นี่เลยล่ะ”
“เรื่องนี้ต้องให้คุณเป็นกังวลแทนหรือไง พี่รองของฉันเริ่มมองหาคนแล้ว”
อันที่จริง เธออยากทำเองแต่พี่รองดันแย่งหน้าที่ไปเสียได้…
ตระกูลเย่ว์ทำหลายอย่างเพื่อเธอมากเกินไป
“ซาลาเปาน้อย เธอมีอะไรจะพูดอีกหรือเปล่า”
“ไม่มีแล้ว จริงสิ คุณพักผ่อนเถอะ ฝันดีนะคะ”
มู่เถาเยาคิดว่าเขากำลังจะเข้านอน ดังนั้นเธอจึงเก็บภาพเหมือนบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินไปที่ระเบียง
“เอ่อ ไม่ใช่…เธอ…”
ไม่มีอะไรจะพูดกับเขาแล้วเหรอ เช่นคำพูดที่แสดงความคิดถึง อย่างเช่นว่า คิดถึงเขาอะไรทำนองนี้
มู่เถาเยาหันศีรษะกลับมา “หือ”
“…ไม่มีอะไร ไว้ค่อยคุยกันต่อพรุ่งนี้ ฝันดีนะ”
“ฝันดีค่ะ”
มู่เถาเยาเปิดผ้าม่านและทะยานตัวกลับไปที่ระเบียงห้องนอนของเธอ
มุมปากของตี้อู๋เปียนกระตุก เขินอายกับจินตนาการอันล้ำเลิศของเขา