บทที่ 122 อารัณฟื้นแล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

นัทธีจ้องมองไปที่พงศกรด้วยแววตาประกาย “มีปัญหาอะไรไหมครับ ?”

“มีแน่นอน”แม้ว่าพงศกรจะยังคงมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับไม่มีความอ่อนโยนอะไรเลย “ผมขอเตือนประธานนัทธีว่าต่อไปไม่ต้องมาที่นี่อีก”

นัทธีเม้มริมฝีปากแน่น “เพราะอะไรครับ?”

แว่นของพงศกรสะท้อนแสงวาบออกมา“นี่มันยังไม่ชัดเจนอีกเหรอครับ การมีอยู่ของคุณ รังแต่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับวารุณีและลูกๆ เพราะฉะนั้นรบกวนประธานนัทธีอยู่ให้ห่างจากพวกเธอด้วย ”

“คุณหมอพงศกร คุณก็พูดเกินไป!”ใบหน้าของมารุตก็นิ่งไป

พงศกรก้มหน้าแล้วหัวเราะ “เกินไปงั้นเหรอครับ ? งั้นพวกคุณก็ลองถามใจตัวเองดู สิ่งที่วารุณีต้องเจอ มีครั้งไหนไหมที่ต้นเหตุไม่ใช่เพราะประธานนัทธี ?”

“นี่……”มารุตถูกถามจนชะงักไปในทันที

นัทธีโบกมือ ส่งสัญญาณให้เขาไม่ต้องพูดอะไรอีก จากนั้นก็เอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋า มองไปที่พงศกรอย่างเมินเฉย“ ผมยอมรับ ว่าความเสี่ยงหลายครั้งนั้นเพราะผมเป็นต้นเหตุ เธอให้ผมอยู่ห่างๆเธอ นั้นก็สมเหตุสมผลดี แล้วคุณมีสิทธิ์อะไร มาร้องขอผมในสถานะไหนไม่ทราบ ?”

พงศกรชำเลืองมองไปที่เขา จากนั้นก็พูดออกมาเสียงเบาว่า “เพื่อน!”

“ก็แค่เพื่อน สำหรับผม คุณยังไม่มีสิทธิ์ขนาดนั้น !”

หลังจากพูดจบ นัทธีก็ผละสายตาออก เดินเข้าลิฟต์ไป

จากสถานการณ์ในตอนนี้ เขาคงต้องอยู่ห่างๆกับวารุณีไปก่อน

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ใครที่ไหนก็ได้จะมาร้องขอเขาตามอำเภอใจแบบนี้

“ท่านประธานครับ รอผมด้วย ”เมื่อเห็นนัทธีเดินเข้าไปแล้ว มารุตก็เร่งฝีเท้าตาม

ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง ตัวลิฟต์ก็ค่อยๆเคลื่อนลงไปยังชั้นล่าง

พงศกรมองดูตัวเลขที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆบนหน้าจอลิฟต์ ดวงตาหลังเลนส์แว่น ก็ฉายแววความคลุ้มคลั่งอันน่าสะพรึงกลัวออกมา

“ไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ……ไม่เป็นไร ฉันจะทำให้ตัวเองมีสิทธิ์เอง!”พงศกรหลุบตาลง ส่งเสียงหัวเราะแปลกๆที่ใครได้ยินก็ต้องขนลุกเกรียวไปตามๆกัน

แต่แค่เพียงไม่กี่วินาทีถัดมา เขาก็ดันกรอบแว่นแล้วเงยหน้าขึ้น ความคลุ้มคลั่งในดวงตาก็หายวับไป กลับมามีบุคลิกที่อ่อนโยนเหมือนปกติ เขาเดินไปยังห้องพักของอารัณ ราวกับท่าทีของเขาเมื่อครู่นั้น เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น

เมื่อมาถึงที่ประตูห้องพักผู้ป่วยของอารัณ พงศกรจัดทรงเสื้อกาวน์ให้เข้าที่ แล้วเคาะไปที่ประตู

เมื่อวรยาได้ยินก็เดินมา เปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นเขา ก็ยกยิ้ม “ไงพงศกร มาแล้วเหรอ ”

“ครับ พอรับสายของคุณน้าแล้วผมก็รีบมาเลย”พงศกรเดินเข้ามา สิ่งแรกก็เห็นเลยก็คือแม่ลูกที่อยู่ตรงโซฟา “วารุณีหลับไปแล้วเหรอครับ ?”

วรยาถอนหายใจ “ใช่ คงเหนื่อยมาก”

พงศกรละสายตาออก แล้วเดินไปที่เตียงผู้ป่วย ยืนอยู่ข้างเตียง ก้มมองอารัณที่มีใบหน้าซีดเซียว สายตาก้มมองต่ำ มีความรู้สึกเสียใจพาดผ่านจนไม่มีใครจับภาพได้ จากนั้นก็หายวับไป

หลังจากนั้น เขาก็ถามถึงอาการของอารัณในตอนนี้

วรยารินน้ำให้เขา จากนั้นก็บอกเล่าอาการออกไปอย่างละเอียด แล้วยื่นแก้วน้ำตามให้

เมื่อได้ยินว่าอารัณไม่ได้เป็นอะไรมากแล้ว พักรักษาตัวอีกไม่กี่เดือนก็จะฟื้นเป็นปรกติ มือที่ถือแก้วน้ำแน่นของพงศกร ก็ค่อยๆคลายลง

“เออนี่พงศกร คืนนี้ช่วยอยู่เฝ้าที่นี่สักคืนได้ไหม ? น้าว่าจะกลับบ้านไปเก็บเสื้อผ้าแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อย และจะแวะทำน้ำซุปมาด้วย”วรยาหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วพูดกับพงศกร

พงศกรตอบรับพยักหน้าให้อย่างไม่ลังเล

เพราะนี่คือสิ่งที่เขาต้องการ

วรยาไปแล้ว พงศกรก็มองไปที่วารุณี ดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าเธอจะไม่ตื่นขึ้นมาในตอนนี้ จากนั้นเขาก็ถอดแว่นออกแล้วโน้มตัวลง ตบมือไปที่ข้างใบหูของอารัณเบาๆ จากนั้นก็พูดบางอย่างกับอารัณ

ทำเสร็จแล้ว เขาก็ลุกยืนขึ้นแล้วสวมแว่น ลากเก้าอี้ออกห่างจากเตียง ไปยังที่โซฟา นั่งลงแล้วประสานมือไปเหนือเข่า จ้องมองไปที่วารุณี มองจนเธอตื่น

“พงศกร”วารุณีขยี้ตาไปมา มองดูว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาด จึงได้เรียกชื่อเขาออกมา

พงศกรพยุงร่างเธอขึ้นมา “นอนอิ่มแล้ว?”

“อืม”วารุณียกยิ้ม แล้วมองไปที่ไอริณที่นอนตะแคงอยู่บนโซฟา

เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยยังหลับอยู่ เธอก้มตัวลงแล้วหอมไปที่ใบหน้าของเด็กหญิง จากนั้นก็จัดผ้าห่มให้เจ้าตัวน้อย

พงศกรที่เห็นภาพนี้ ดวงตามืดมัว นิ้วโป้งแตะไปที่ริมฝีปากของตัวเองอย่างแผ่วเบา

“แล้วนี่พงศกร นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”วารุณีที่สวมใส่รองเท้าเสร็จก็ถามออกไป

“มาได้สักพักแล้ว คุณน้าวานให้ฉันช่วยอยู่เฝ้าที่นี่ จะกลับไปทำซุปมาให้” พงศกรตอบกลับเสียงนุ่ม

วารุณีพยักหน้า บ่งบอกว่ารู้แล้ว แล้วหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ข้างๆขึ้นมาดู ตอนนี้ตีสี่แล้ว

อันที่จริงเธอก็นอนไปได้แค่แป๊บเดียวเอง ไม่แปลกที่ท้องฟ้ายังไม่สว่าง

วารุณีเดินไปที่เตียงคนป่วย สัมผัสไปที่ใบหน้าเล็กๆของอารัณ จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า“ไม่รู้ว่าอารัณจะฟื้นเมื่อไร ”

“วางใจเถอะ เช้าแล้วเดี๋ยวก็คงฟื้นเอง ฉันเช็กให้แล้ว ยาสลบใกล้หมดฤทธิ์แล้ว” พงศกรพูดแล้วบิดขี้เกียจไปพลาง

เขาเป็นหมอ ยังไงเสียวารุณีก็ต้องเชื่อคำพูดเขาอยู่แล้ว มือกำแน่นอย่างตื่นเต้น “งั้นก็ดีเลย”

“วารุณี ให้อารัณย้ายโรงพยาบาลดีไหม ?”พงศกรที่กำลังเช็ดแว่นตาอยู่ก็เอ่ยพูดขึ้น

วารุณีมองไปที่ชายหนุ่ม “ย้ายโรงพยาบาล?”

“ก็ใช่นะสิ ย้ายไปโรงพยาบาลของฉัน ฉันจะได้ดูแลอารัณได้ด้วย ”พงศกรพยักหน้าให้

วารุณีลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นแขนที่เข้าเฝือกของอารัณ เธอก็ปฏิเสธ “คงไม่ล่ะ แขนของอารัณห้ามถูกกระทบกระเทือน ยังไม่ให้ขยับไปไหนดีกว่า ”

“อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ไม่เป็นไร”รอยยิ้มของพงศกรก็เศร้าลงถนัดตา

วารุณีไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปรกติของเขา จับจ้องมองแต่อารัณ จึงไม่สังเกตเห็นสิ่งอื่นๆเป็นเรื่องปรกติ

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็รุ่งเช้าแล้ว

พงศกรไปแล้ว กลับไปยังที่โรงพยาบาลของตัวเอง เพราะยังไงเขาก็ต้องไปทำงาน คงอยู่ด้วยตลอดไม่ได้

และวารุณีเองก็ไม่อยากที่จะรบกวนเขาอยู่ตลอดเวลา

เวลาราวๆประมาณแปดโมง วรยากลับมาแล้ว และได้พานางพยาบาลหน้าตาใจดีและอ่อนโยนมาด้วยคนหนึ่ง บอกว่าทางโรงพยาบาลแนะนำให้

วารุณีเองก็ไม่ได้สงสัยอะไรจึงได้ให้นางพยาบาลอยู่ด้วย

ในขณะที่กำลังดื่มน้ำซุปอยู่นั้น อารัณที่บนอยู่บนเตียงก็กระแอมไอขึ้นมา

เมื่อวารุณีได้ยินเสียงนี้ ดวงตาก็ประหลาดใจเล็กน้อย รีบวางช้อนลงแล้วตรงไปที่เตียงทันที

วรยาเองก็เช่นกัน รีบกดไปที่ปุ่มฉุกเฉินตรงหัวเตียงโดยทันที

ไม่นาน ทั้งหมอและพยาบาลกลุ่มหนึ่งก็กรูกันเข้ามา ล้อมเตียงไว้แล้วตรวจเช็กอาการของอารัณ

“หมอค่ะ”วารุณีกำมือแน่น

หมอคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเธอด้วยรู้ว่าเธอต้องการจะถามคำถาม ใบหน้าที่มีหน้ากากสวมใส่อยู่ตอบกลับว่า “ วางใจเถอะครับ ยาสลบหมดฤทธิ์แล้ว เด็กก็จะรู้สึกตัวขึ้นมาเอง”

“ค่ะ ขอบคุณค่ะ”ใจที่เป็นกังวลของวารุณีก็คลายลง

เป็นไปตามคาด หมอเพิ่งพูดจบไปได้ไม่นานอารัณก็ลืมตาขึ้น “หม่ามี๊……”

“จ๋า หม่ามี๊อยู่นี่ !”เมื่อวารุณีเห็นลูกน้อยฟื้นขึ้นมา ดวงตาก็แดงก่ำ ร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ

ไอริณที่เกาะอยู่ขอบเตียงก็ร้องเรียกพี่ชายออกมาด้วยความดีใจ

วรยาก็ยืนปาดน้ำตาอยู่ข้างๆอย่างดีใจด้วยเช่นกัน จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรไปที่สถานีตำรวจ

“ลูกรัก เจ็บไหม ?”มือวารุณีลูบไปยังใบหน้าที่ซีดเผือดของเด็กน้อย เอ่ยถามไปอย่างปวดใจ

อารัณพยักหน้า ตอบอย่างหายใจติดๆขัดๆไปว่า “เจ็บ หม่ามี๊ อารัณเจ็บจังเลย……”

ในตอนนี้เอง เด็กน้อยก็ได้เผยความเป็นเด็กอายุสี่ขวบของเขา ความอ่อนแอที่ควรจะมี

วารุณีโน้มตัวไปยังร่างของอารัณ กอดเขาเอาไว้อย่างอ่อนโยน “ขอโทษนะลูกรัก เป็นความผิดของหม่ามี๊เอง หม่ามี๊ไม่ควรทิ้งลูกไว้ที่ร้านอาหารคนเดียว”

“คนเดียว?” อารัณกลอกตาไปมาด้วยความสงสัย “หม่ามี๊ หม่ามี๊กำลังพูดเรื่องอะไร อะไรคนเดียว?”

วารุณีหยุดร้องไห้ แล้วรีบหันไปมองที่หมอ

หมอเองก็ขมวดคิ้ว“ คุณลองถามคำถามอีกสักสองสามคำถามดู ”

“ค่ะ”วารุณีกักเก็บความกังวลใจที่มี แล้วถามหยั่งเชิงไปว่า “ลูกรัก ลูกยังจำได้ไหมว่าตัวเองประสบอุบัติเหตุได้ยังไง ?”

อารัณขมวดคิ้วน้อยๆ แล้วเริ่มครุ่นคิด

แต่เพียงไม่นาน เขาก็ส่ายหัว ใบหน้าเล็กๆมีรอยย่น“หม่ามี๊ ผมจำไม่ได้แล้ว ผมรู้แค่ว่าเรากำลังนั่งกินข้าวอยู่ในร้านอาหาร หลังจากนั้นผมก็จำอะไรไม่ได้แล้ว ”

วารุณีอ้าปากค้าง

หมอมือลูบไปที่คาง แล้วพูดอย่างมั่นใจว่า“ ลูกของคุณเหมือนจะสูญเสียความทรงจำไปบางส่วน ”