ตอนที่105 ย่าเฟิง (1)

“ฉีหมิงเยว่ วันนี้กลับเป็นเจ้าเสียที่นัดหมายข้ามาเอง หากคิดจะจากไปตอนนี้ นี่ตัวเจ้าเห็นเราองค์รัชทายาทเป็นอะไร? อยากจะเรียกก็เชื้อเชิญ อยากจะไปก็ทิ้งกัน?”

คู่คิ้วสีดำขลับเข้มของไป๋หลี่เย่เริ่มขมวดย่น ดวงตาคู่นั้นพราวแสงเป็นประกายความโกรธ ใบหน้าอันหล่อเหลาหม่นมืดลงหนึ่งส่วน จ้องไปที่ฉีหมิงเยว่ไม่เสื่อมคลาย ย่างสามขุมตรงเข้าไปใกล้นางมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเมื่อนางเป็นฝ่าริเริ่มส่งตัวเองมาถึงหน้าประตูเฉกเช่นนี้ ต่อให้อยากหนีเพียงใดเกรงว่าเป็นแค่ฝันแล้ว!

ม่านตาดำของฉีหมิงเยว่หดแคบตีบตันเท่ารูเข็ม นางในขณะนี้ตื่นตระหนกสุดขีดจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ได้แต่ร่นถอยออกห่างตามสัญชาตญาณเอาตัวรอด กล่าวน้ำเสียงสั่นเทาแทบไม่เป็นภาษา

“องค์…องค์รัชทายาท หม่อมฉัน…หม่อมฉันมีธุระด่วนจริงๆ ได้โปรดให้ข้าออกไปด้วยเถิด!”

“ฉีหมิงเยว่ ก็เห็นได้ชัดว่า เจ้าพยายามโปรยเสน่ห์ยั่วยวนเราองค์รัชทายาทผู้นี้มาโดยตลอดที่เดินทางมา ไหนเลยตอนนี้กลับทำตัวขี้ขลาดเสียได้?”

ไป๋หลี่เย่ยื่นเรียวนิ้วยาวขึ้นลูบไล้ไปตามทรวดทรงใบหน้าสวยของนาง ก่อนจะคว้าข้อมือฉีหมิงเยว่ที่สั่นเทาไม่หยุดเป็นลำดับต่อไป ออกแรงฉุดดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด ใจกลางคั่นระหว่างใบหน้าของทั้งสองห่างกันเพียงสองนิ้ว ส่งสายตาอันเร่าร้อนทิ่มแทงไปยังใบหน้าที่ซีดขาวของนาง

“ไม่ว่าเจ้าจะเข้าหาข้าเพราะเหตุผลอันใด แต่ในเมื่อประเคนตัวเองถึงหน้าประตูเช่นนี้ เราองค์รัชทายาทเองก็ไม่ขอปฏิเสธ!”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็ก้มศีรษะลงและจุมพิตประกบกับริมฝีปากสีแดงกุหลาบแสนเอิบอิ่มตรงหน้า พยายามใช้ลิ้นชอนไชเข้าไปหวังเพื่ออรรถรสคาวมดูดดื่ม

ด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด ฉีหมิงเยว่ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยอยู่ในหัว และง้างฝ่ามือตบหน้าอีกฝ่ายสุดแรง!

‘เปรี้ยะ!’

เสียงตบหน้าดังคมชัดดีเยี่ยม รอยนิ้วมือทั้งห้าสีแดงสดปรากฏชัดบนแก้มข้างขวาอันขาวใสของไป๋หลี่เย่ กระทั่งเขาเองยังอดตะลึงมิได้ไปชั่วขณะหนึ่ง นังนี่…กล้าดียังไงมาตบหน้าเขา?

ขณะที่ไป๋หลี่เย่อยู่ในอาการงุนงง ฉีหมิงเยว่ช่วงชิงจังหวะนี้ผลักอีกฝ่ายจนเซถอย และวิ่งหนีไปทางกำแพงอีกด้านด้วยความตื่นตระหนก แผ่นหลังพิงแนบกำแพงจนสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่แผ่ซ่าน ถัดจากตัวนางเล็กน้อยเป็นหน้าต่างที่เปิดค้างไว้อยู่ คล้อยได้ยินเสียงฝูงชนดังเจือแจวจากชั้นล่างเบาๆ

ไป๋หลี่เย่ยกมือขึ้นสัมผัสจุดร้อนฉ่าบริเวณใบหน้า สีหน้าการแสดงออกยังดูตกใจไม่หาย และตอนที่เขาหันกลับไปมองฉีหมิงเยว่อีกครั้ง ครานี้แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธจัด ประกายเย็นชาไร้ปรานีสาดฉายออกมาชัดเจน

“นี่เจ้ากล้าตบหน้าองค์รัชทายาทผู้นี้รึ?! ฉีหมิงเยว่! วันนี้เจ้าชะตาขาดแล้ว!!”

ไป๋หลี่เย่ชี้นิ้วใส่หน้านาง กล่าวสีหน้าน้ำเสียงเคร่งขรึมจริงจัง

กล้าลงมือลงไม้ทำร้ายร่างกายขององร์รัชทายาทแห่งจักรวรรดิตงหลี่ เกรงว่านางคงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วจริงๆ

มองไปทางไป๋หลี่เย่ที่ย่างสามขุมตรงเข้ามาหาอย่างแช่มช้า ความหวาดกลัวภายในใจของฉีหมิงเยว่ถูกปลุกเร้าถึงขีดสุด นางรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง ตะโกนสุดเสียงลั่นว่า

“ย่าเฟิง! ย่าเฟิง!! ช่วยข้าด้วย!!”

ย่าเฟิงกลับมิได้ปรากฏตัวออกมาตามที่หวัง แต่เป็นมือขนาดใหญ่ของไป๋หลี่เย่แทนที่พุ่งเข้ามาคว้าแขนของนางเอาไว้แน่น และกระชากนางมาอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง กล่าวน้ำเสียงหงุดหงิดปนราคะว่า

“เจ้าพลิกฟ้าคว่ำสวรรค์มิได้หรอก ฉีหมิงเยว่ วันนี้เจ้าไม่มีทางหนีพ้นเงื้อมมือของข้าได้ เชื่อข้าสิ หากได้ลองของข้าแล้ว เจ้าจะรู้สึกขาดมันไม่ได้อีกเลยในอนาคต!”

สิ้นเสียงได้ยินประโยคสุดท้ายของไป๋หลี่เย่ ทุกการเคลื่อนไหวที่พยายามดิ้นรนขัดขืนของฉีหมิงเยว่พลันหยุดชะงักทันที และแล้ว…ชิ้นส่วนความทรงจำสีเลือดก็หวนกลับคืนมาสู่ใจดวงนี้อีกครั้ง

ความตายอันน่าสลดของเหล่าครอบครัว ความเกลียดชังที่มีต่อสงคราม…

น้ำตาสีใสบริสุทธิ์รินไหลออกมาสายหนึ่งจากดวงตาของนางอย่างเงียบๆ ปลดปล่อยให้ความสิ้นหวังล้นจุกอยู่กลางหน้าอก ฉีหมิงเยว่ในตอนนี้ไม่ขอขัดขืนใดๆ อีกต่อไป นางหลับตาลงด้วยท่าทางแสนสงบนิ่ง ปล่อยให้ไป๋หลี่เย่บรรเลงจูบอย่างดูดดื่มตามใจปรารถนา มือไม้ลื่นไหลเสมือนหนวดปลาหมึกของเขาพัลวันอยู่บริเวณหน้าอกของนาง ทั้งบีบทั้งเคล้นอย่างหื่นกระหายบ้าคลั่ง สิ่งเดียวที่ฉีหมิงเยว่ยังคงกำแน่นไม่ปล่อยก็คือ ถั่วเซียงซีภายในมือ

ในเมื่อทุกอย่างมันกลับกลายมาเป็นเช่นนี้แล้ว….

ตราบใดที่ถั่วเซียงซีเม็ดนี้ถูกป้อนเข้าปากของไป๋หลี่เย่ หลังจากนี้ต่อนไป นางก็จะได้ฤทธิ์เริ่มต้นก้าวเดินสู่หนทางแห่งการแก้แค้น คิดบัญชีเลือดให้แก่ท่านพ่อ ท่านแม่ และน้องชายของนางได้ ที่เหลืออื่นใดกลับไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว จงใช้ชีวิตที่เหลือสังเวยให้แก่ความมืดมิดอันไร้ขอบเขต ทั้งหมดก็เพื่อการแก้แค้น!

พอฉีหมิงเยว่คิดได้เช่นนั้น นางก็ละทิ้งสติสัมปชัญญะทั้งหมดให้จมลง

ดูแล้วก็เหมือนกับว่า นางกำลังร่วงลงสู่ขุมนรกที่มืดมิดและเหน็บหนาวเสียเหลือเกิน ข้ามองไม่เห็นสิ่งใดเลยทั้งอดีตหรืออนาคต ที่นี่มีเพียงความมืดอันไร้ขอบเขตที่รายล้อมไว้ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรน ไม่จำเป็นต้องต่อต้าน เพียงปล่อยให้จมดิ่งและร่วงหล่นต่อไป….

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกไปเอง!”

ทันใดนั้นเอง ฉีหมิงเยว่ก็พลันได้ยินใครบางคนพูดขึ้นมา เมื่อลืมตาขึ้น ก็มีแสงสว่างสายหนึ่งส่องลงบนใบหน้าอันเย็นชาของนาง

ร่างสูงโปร่งทรงสง่าราศีฉายแวบเข้ามาในสายตานาง เขาสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ผุดผ่อง รอยยิ้มช่างนุ่มนวลอบอุ่นใจ ท่ามกลางความมืดมิดที่โอบล้อมรอบตัวนาง เขาคนนี้เปรียบเสมือนแสงตะวันจรัสฟ้า

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกไปเอง!”

เขาปริปากกล่าวขึ้น ภายใต้ค่ำคืนที่หนาวเหน็บคลุกฟุ้งเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

ฉีหมิงเยว่ได้สติลืมตาตื่นขึ้นในทันใด จับจ้องไปที่ใบหน้าอันหื่นกระหายของไป๋หลี่เย่ที่กำลังซุกไซร้เนินอกสีขาวผ่องของตน เสมือนได้รับความกล้าหาญจากคำพูดประโยคนั้นจากเซี่ยหลู่เฟิงที่โฉบแล่นเข้าสู่ดวงใจ ชั่วขณะอึดใจ นางกัดแขนของอีกฝ่ายาสุดแรงเกิด ใช้สองมือคว้าจับไว้แน่น ต่อให้อีกฝ่ายจะพยายามดิ้นสักเพียงใด นางก็กัดไม่ปล่อยราวกับหมาบ้า จากนั้นก็ยกบาทาถีบยอดอกอีกฝ่ายพร้อมปล่อยแขนจนล้มหงายหลังไป นางหมุนตัวกลับมาพร้อมกระโดดออกนอกหน้าต่างทันทีโดยไม่มีลังเล

ดวงตาคู่นี้เฉิดฉายเงานภาฟ้าครามสีสดใส ก้อนเมฆสีขาวปุยนุ่นกำลังเบ่งบาน ริมฝีปากสีซีดของฉีหมิงเยว่เผยรอยยิ้มอันตื้นเขินออกมา เสียงลมปะทะดังหวีดผ่านหูทั้งสองข้าง แต่เสมือนกับว่านางยังคงได้ยินประโยคนั้นอีกครั้งหนึ่ง

“เจ้ารออยู่ตรงนี้ อีกไม่นานข้าจะพาเจ้าออกไปเอง!”

ตัวข้าค่อยๆ หลับตาลงแช่มช้า สรรพสิ่งอย่างจางหายไปจากดวงตา ทว่าเงาร่างสีขาวภายในกมลใจดวงนี้กลับชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ประกายตาแสนอบอุ่นคู่นั้นเริ่มส่องสว่าง เข้าละลายจิตใจที่หนาวเหน็บของนางได้เป็นอย่างดี

เพราะสายตาที่แสนอบอุ่นคู่นั้นทำให้ชีวิตของข้ามีความหมายที่จะอยู่ต่ออีกครั้งเมื่อสามปีที่แล้ว และในสามปีต่อมา ก็ยังเป็นเพราะสายตาที่อสนอบอุ่นคู่นี้ดังเดิม ที่ทำให้ข้าอยากที่จะมีชีวิตต่อไป

“ฉีหมิงเยว่!?”

เซียถงกับเซี่ยหลู่เฟิงที่เพิ่งวิ่งมาถึงภัตตาคารร้านนั้น พวกเขาทั้งคู่พลันสังเกตเห็นร่างอรชรสีเหลืองกระโดดลงมาจากหน้าต่างบนชั้นสาม และกำลังจะร่วงลงมาสู่พื้นดิน

ภายใต้เสียงร้องอุทานลือลั่นด้วยความตกใจ ทั้งเซี่ยหลู่เฟิงและเซียถง เร่งเร้าพลังลมปราณจุมใหญ่อัดลงบนคู่เท้า หวังจะกระโดดเข้าไปคว้าร่างของฉีหมิงเยว่ก่อนจะร่วงตกกระแทกพื้น ทว่าเสี้ยวอึดใจขณะ ท่ามกลางเหล่าฝูงชนที่สัญจรไปมา มีเงาร่างสายหนึ่งพุ่งโฉบเข้าไปรับร่างสีเหลืองขึ้นกลางเวหา กอดฉีหมิงเยว่ไว้แน่นและร่อนลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย

“ย่าเฟิง ข้าทำไม่ได้!”

เมื่อนางลืมตาตื่นขึ้น ก็เห็นใบหน้าแก่หง่ำเหี่ยวย่นของย่าเฟิงอยู่ต่อหน้า ฉีหมิงเยว่เกาะแขนเสื้อของหญิงชราแน่น น้ำตาทั้งสองสายรินไหลออกมาอย่างเงียบงัน

“องค์หญิง บาดแผลบนใบหน้าของท่าน เกิดจากองค์รัชทยาทของตงหลี่กระมัง?”

ย่าเฟิงประคองใบหน้าของฉีหมิงเยว่ในอ้อมแขนขึ้นมาสอดส่องอย่างนุ่มนวล ก่อนจะสังเหตเห็นบาดแผลเล็กๆ บนใบหน้าเนียนนั้น

“ย่าเฟิง ข้าทำไม่ได้!”

ฉีหมิงเยว่มิได้ตอบคำถามของย่าเฟิง ทว่าเอาแต่คว้าแขนเสื้อของอีกฝ่าย กล่าวประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่าทั้งน้ำตา

“อย่าร้องไห้อีกเลยองค์หญิง ทั้งหมดเป็นความผิดของย่าเฟิงคนนี้เอง ทั้งหมดเป็นความผิดของย่าเฟิงคนนี้ ข้าไม่ควรบังคับให้ท่านทำเรื่องอะไรเช่นนี้เลยจริงๆ”

ย่าเฟิงช่วยประคองให้ฉีหมิงเยว่ลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง พอเห็นน้ำตาหลากสายรินไหลเปรอะเปื้อนทั่วใบหน้า หญิงชราก็ยกนิ้วแห้งกระด้างของตน ช่วยปาดเช็ดน้ำตาเหล่านั้นออกไป โน้มตัวโอบกอดอีกฝ่ายไว้ในอ้อมแขน ตบหลังปลอบประโลมใจ