ตอนที่ 33 หาซื้อยา
คืนนี้ ในที่สุดเฉียวเวยก็ได้รู้จักสมาชิกตระกูลหลัวครบทุกคนอย่างเป็นทางการ ตอนแรกนางค่อนข้างกังวลว่าลุงหลัวกับหลัวหย่งเหนียนจะไม่ต้อนรับนาง แต่กลับกลายเป็นว่านางกังวลมากเกินไป ท่าทีเป็นมิตรของลุงหลัวคล้ายบิดาผู้ปรานี เขาถามเฉียวเวยว่าร่างกายของนางเป็นอย่างไรบ้าง แล้วบอกนางว่าอย่ากลัวเหน็ดเหนื่อย ขยันเดินให้มากหน่อย แต่ก่อนเพราะอ่อนแอเกินไปถึงล้มป่วยเช่นนั้น
ทั้งหมดล้วนเป็นถ้อยคำที่มีแต่ญาติเท่านั้นจะพูดกัน คนอื่นมีหรือจะสนใจใยดีนางในเรื่องเหล่านี้
ท่าทีของหลัวหย่งเนียนนั้นยิ่งดูเป็นมิตร แทบจะเป็นเหมือนน้องชายที่เติบโตมาด้วยกัน เรียกนางว่าท่านพี่ได้อย่างสนิทใจ
เฉียวเวยไปห้องครัวช่วยป้าหลัว เขาก็เดินตามต้อยๆ ยืนรอหน้าประตูแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านทำขนมอะไรหรือ ทำให้ข้ากินด้วยสิ”
เฉียวเวยยิ้มละไม “ได้สิ แต่ที่นี่ไม่มีวัตถุดิบ ไว้วันพรุ่งนี้ข้าทำเสร็จจะส่งไปให้เจ้า”
ป้าหลัวถือถังน้ำไปตักน้ำ มองลูกชายตาขวางพร้อมกับพูดว่า “ออกไปๆ! ยืนขวางประตูเป็นเทพเฝ้าประตูหรือ”
หลัวหย่งเหนียนทำเสียงชิชะ “มีแต่ผู้อื่นมาเชิญข้าไปเป็นเทพเฝ้าประตูแต่ข้าไม่ทำ ท่านกลับทำมาเป็นรังเกียจ!”
ป้าหลัวพ่นลมหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ ทว่าแววตาฉายแววรักใคร่เอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
หลัวหย่งเหนียนหันไปมองเฉียวเวย “ท่านพี่ ข้าออกไปก่อนนะ”
เฉียวเวยพยักหน้ายิ้มๆ
ป้าหลัวกังวลใจไม่รู้ตั้งเท่าไรว่าบุตรชายคนเล็กจะทำตัวไม่ดีใส่เสี่ยวเวย ลูกชายคนเล็กต่างจากลูกชายคนโตผู้เป็นคนซื่อ เขาเกิดมาเป็นคนแข็งกระด้างดั่งก้อนหิน ก่อเรื่องทะเลาะวิวาทจนผู้คนแปดหมู่บ้านในระยะสิบลี้ต่างเข็ดขยาดเขา นางไม่มีทางเลือกอื่นจึงส่งเขาไปร่ำเรียนวิชาที่เมืองหลวง
ครั้นเห็นว่าทั้งสองคนเข้ากันได้ นางจึงรู้ว่าตนเองกังวลเกินเหตุเสียแล้ว
ทุกคนในครอบครัวนั่งร่วมโต๊ะทานอาหารเย็นในวันตรุษเล็กอย่างครึกครื้น หลัวหย่งเหนียนเห็นหมูเห็ดเป็ดไก่วางเต็มโต๊ะอาหารก็แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ครอบครัวเขากลายเป็นคนร่ำรวยตั้งแต่เมื่อใด มีไข่เค็มเสียด้วย
ป้าหลัวรู้ว่าลูกชายตกใจเรื่องใด ครั้งแรกที่นางส่งเนื้อแพะ เนื้อหมูตากแห้งกับไข่เค็มไปให้ลูกชายคนโต ลูกชายคนโตก็อ้าปากค้างทำหน้าตกใจเช่นเดียวกัน
นางอธิบายว่า “ปลานั่นเสี่ยวเวยเป็นคนจับมา ไก่นี่เสี่ยวเวยก็เป็นคนล่ามา เนื้อแกะ เนื้อหมูตากแห้ง ไข่เค็ม เสี่ยวเวยล้วนเป็นคนซื้อมา ส่วนเป็ดข้าเป็นคนเลี้ยงเอง”
หลัวหย่งเนียนอ้าปากค้างมองเฉียวเวยอย่างตกตะลึง ตกปลา ล่าสัตว์ทำเป็นหมดทุกสิ่ง นี่ นี่นางเป็นสตรีจริงๆ หรือ
มื้ออาหารวันตรุษเล็กมื้อนี้เป็นไปอย่างสุขสันต์สำราญใจยิ่งนัก หลัวหย่งจื้อกับชุ่ยอวิ๋นแต่งงานกันมาหลายปีแล้วแต่ยังไม่มีบุตร ในบ้านจึงมักรู้สึกเหมือนขาดความมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง เมื่อมีจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูเพิ่มเข้ามา บ้านจึงครึกครื้นเหมือนครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้ากันสามรุ่นขึ้นหน่อย
หลังกินข้าวเสร็จ หลัวหย่งเนียนก็พาเด็กๆ ไปจุดประทัดข้างนอก ประทัดเหล่านี้เขานำมาจากเมืองหลวง มันจึงเสียงดังกว่าประทัดที่เฉียวเวยซื้อจากในตัวเมืองเล็กน้อย
ปัง! ชุ่ยอวิ๋นตกใจมากจนลูกพลับแห้งร่วงจากมือ
“ฮ่าๆ…” เสียงทุบพื้นหัวเราะลั่นของหย่งเหนียนดังมาจากนอกบ้าน
ชุ่ยอวิ๋นไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี แต่งงานเข้าสกุลหลัวมาสามปี ไม่เคยเห็นน้องชายสามีคึกเท่านี้มาก่อน ยังเป็นเด็กอยู่จริงๆ ถึงเล่นกับเด็กน้อยได้
เฉียวเวยลูบหน้าท้องที่นูนออกมาของนาง “ใกล้คลอดแล้วกระมัง พี่สะใภ้?”
ชุ่ยอวิ๋นพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “คงปลายเดือนหนึ่ง”
เด็กๆ เล่นจนเหงื่อไหลไคลย้อย ตอนเดินเข้ามาในบ้านแผ่นหลังเปียกโชกเหมือนอาบน้ำ ไม่มีส่วนใดแห้งเลย ป้าหลัวหาผ้าฝ้ายแห้งสองผืนมาซับเหงื่อบนแผ่นหลังของทั้งสองคน
เฉียวเวยลุกขึ้นบอกลา เพราะเห็นว่าเด็กๆ เล่นจนเหนื่อยแล้ว เกรงว่าจะเดินขึ้นภูเขาไม่ไหว ป้าหลัวอยากไปส่งเฉียวเวย หลัวหย่งเหนียนจึงเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ ท่านนั่งลงเถอะ ข้าจะไปส่งเอง ข้างนอกหิมะกำลังตก ท่านเดินไม่ไหวหรอก!”
เฉียวเวยมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นว่าหิมะตกจริงๆ
เกล็ดหิมะโปรยปลิวดั่งปุยขาวของเมล็ดหลิวลอยละล่องตามสายลม ร่วงหล่นลงมาผืนแล้วผืนเล่า
เฉียวเวยผูกโคมไฟเล็กๆ ที่ทำเองไว้บนหลังของเพียงพอนหิมะ จากนั้นอุ้มเด็กคนละคนกับหลัวหย่งเหนียนแล้วออกเดินทาง
หิมะตกหนักมาก ทัศนวิสัยมองเห็นได้ไม่เกินหนึ่งเมตร ไม่อาจแยกเหนือใต้ออกตกชัดเจน โชคดีที่มีเพียงพอนหิมะคอยนำทาง พวกเขาจึงกลับมาบนภูเขาได้อย่างราบรื่น
หลังจากพาเด็กๆ เข้าบ้านแล้ว เฉียวเวยก็รินน้ำชาให้หลัวหย่งเหนียน หลัวหย่งเหนียนหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมา สายตากวาดมองเฉียวเวยอย่างไม่ได้ตั้งใจ ไม่รู้เห็นสิ่งใดเข้า เพียงพริบตาเดียวใบหูถึงแดงเถือก
พอดื่มชาหมด เขาก็บอกลาเฉียวเวย “ท่านพี่ ข้า…ข้าไปก่อนนะ”
เฉียวเวยกำลังง่วนกับการเช็ดหิมะออกจากตัวของเด็กๆ ได้ยินดังนั้นจึงหันไปยิ้มให้ “วันนี้ขอบใจเจ้ามาก”
“ครอบครัวเดียวกัน อย่าได้พูดจาเหมือนเป็นคนอื่น” สายตาของหลัวหย่งเนียนเหลือบมองร่างของของเฉียวเวยอย่างไม่รู้ตัว ทว่าเมื่อถึงบริเวณหน้าท้องก็ข่มสายตาตัวเองไว้ แล้วเดินลงจากภูเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ
เฉียวเวยให้เสี่ยวไป๋ไปส่งหลัวหย่งเหนียน ส่วนตัวเองต้มน้ำร้อนให้ลูกๆ อาบน้ำชำระร่างกาย หลังจากจัดการกับเด็กๆ เสร็จสรรพก็เตรียมตัวจะไปอาบน้ำบ้าง ขณะที่กำลังจะปลดกระดุมเพื่ออาบน้ำก็พบว่าเม็ดกระดุมที่บริเวณเนินอกหลุดหายไป ตรงตะเข็บเสื้อมีรอยขาดเล็กๆ พอมองดูก็เห็นเสื้อนวมตัวน้อยสีขาวของนางอยู่รางๆ
หลุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คงไม่ได้หลุดตอนอยู่บ้านป้าหลัวกระมัง ถ้าเป็นเช่นนั้นนางคงอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
นางกวาดสายตาไปรอบๆ ก็พบกระดุมเสื้อของตนตกอยู่ริมธรณีประตู
เพิ่งหลุดตอนถึงบ้าน เคราะห์ดี เคราะห์ดีจริงๆ
หลัวหย่งเหนียนคงไม่เห็นกระมัง
เขายังเด็กขนาดนั้น ถึงมองเห็นก็ไม่เป็นไรหรอก ยิ่งไปกว่านั้นนางยังสวมเสื้อนวมตัวหนาเอาไว้ด้านในด้วย
คืนนี้หลัวหย่งเหนียนนอนไม่หลับ
ไม่รู้ว่าเพราะตากลมหนาวตอนกลางคืนหรือเปล่า จิ่งอวิ๋นจึงไออยู่ครั้งสองครั้ง วันรุ่งขึ้นวั่งซูก็เริ่มไอด้วยอีกคน ในยุคโบราณที่ไข้หวัดคร่าชีวิตคนได้ เฉียวเวยไม่กล้านิ่งนอนใจ นางรีบเช่ารถม้าของตาเฒ่าซวนจื่อพาลูกไปหาหมอในตัวเมือง
สมัยโบราณไม่มีโรงพยาบาล ยามต้องการรักษาโรคภัยทำได้เพียงไปหาหมอหรือไปร้านยา ในตัวเมืองมีหมอแซ่โจวอยู่คนหนึ่ง ตระกูลเขาเป็นหมอมาสามรุ่น มีโรงหมอเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เฉียวเวยจึงไปที่โรงหมอของเขา เขาไม่ได้ตรวจอาการเด็กๆ อย่างละเอียดนัก จับชีพจรของเด็กๆ อย่างส่งๆ แล้วก็เขียนเทียบยาให้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจับชีพจรดีแล้วหรือไม่
“หวงฉี ไป๋จู๋ ฝางเฟิง ขิง จื่อซู…นี่เป็นตำรับยาสำหรับรักษาหวัดเย็นไม่ใช่หรือ ท่านแน่ใจหรือว่าลูกของข้าเป็นหวัดเย็น ไม่ใช่หวัดร้อน” เฉียวเวยหยิบเทียบยาขึ้นมาถาม
หมอตอบอย่างไม่สบอารมณ์ “กลางฤดูหนาวอย่างนี้จะมีลมร้อนมาจากไหน หวัดร้อนจะทำให้มีไข้สูง ลูกของเจ้ามีไข้สูงหรือไม่ น้ำมูกที่ไหลออกมาก็เป็นน้ำมูกใส ไอแห้งๆ ถ้านี่ไม่ใช่หวัดเย็นแล้วจะเป็นอะไร เจ้าเป็นหมอหรือข้าเป็นหมอกันแน่ เจ้าจะมาก่อกวนโรงหมอใช่หรือไม่”
สิ่งที่เฉียวเวยร่ำเรียนมาคือการแพทย์แผนตะวันตก นางไม่กล้าอวดอ้างว่าตนเชี่ยวชาญการรักษาตามแบบแพทย์แผนจีน แต่นางรู้สึกว่าอาศัยอาการภายนอกเพียงเท่านี้แล้ววินิจฉัยว่าเป็นหวัดเย็นดูจะไม่แม่นยำนัก ถึงอย่างไรนี่ก็เพิ่งวันแรก อาจมีอาการบางอย่างที่ยังไม่แสดงออกมาจึงไม่ทราบก็เป็นได้
นางออกจากโรงหมอของหมอโจว เดินทางไปยังร้านยาเพียงแห่งเดียวของเมือง นั่นก็คือหอหุยชุน
หมอของหอหุยชุนก็วินิจฉัยโรคเช่นเดียวกับหมอโจว เทียบยาที่ออกให้ก็เกือบจะเหมือนกัน เฉียวเวยจึงซื้อยาตามนั้น ทว่ายาทั้งหกตัวต้องใช้เงินของนางไปเกือบครึ่งตำลึง มิน่าใครๆ ต่างพูดว่าคนจนเข้าไม่ถึงหมอ นั่นไม่ใช่คำพูดเกินจริงแม้แต่น้อย
ผลปรากฏว่าหลังจากเด็กๆ กินยาแล้ว ไม่เพียงอาการไม่ดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังมีไข้ขึ้นสูงเฉียบพลันในกลางดึกของวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบสอง ทั้งสองคนไข้ขึ้นสูงจนสะลึมสะลือไม่ได้สติ แก้มแดงจัด มือเท้าเย็นเฉียบ
ในผู้ป่วยไข้สูงที่มีอาการมือและเท้าเย็นจัด มีหลายครั้งที่อุณหภูมิร่างกายจะทวีสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขนาดตัวร้อนมากขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังมีทีท่าว่าจะตัวร้อนขึ้นอีก…เฉียวเวยแทบไม่กล้าคิดมากไปกว่านั้น
เฉียวเวยรีบจุดเตาไฟ ต้มน้ำร้อนหม้อใหญ่ แช่เท้าของทั้งสองคนในน้ำอุ่น กะเทาะก้อนน้ำแข็งออกมาจากใต้ชายคา จากนั้นห่อด้วยผ้า แล้ววางไว้บนหน้าผากของพวกเขา
เท้าอุ่นขึ้นแล้ว แต่ก้อนน้ำแข็งมีผลเพียงเล็กน้อย อุณหภูมิร่างกายไม่ลดลง
เฉียวเวยเปิดตู้อีกครั้ง พบสุราที่เอาไว้ฆ่าเชื้อบนมีด จึงนำมาผสมกับน้ำอุ่นแล้วใช้เช็ดตัวให้ลูกๆ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดไข้ที่ขึ้นสูงก็ลดลง
น่าเสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ นั้นแสนสั้น ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามดี อาการตัวร้อนของทั้งคู่ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมๆ กัน
เฉียวเวยไม่กล้ารั้งรออีกต่อไป นางสวมเสื้อผ้าให้ทั้งคู่ พกเสื้อตัวในสี่ตัวกับผ้าฝ้ายแปดผืนไปด้วย นางหาผ้าปูเตียงมาห่อตัวจิ่งอวิ๋นแล้วสะพายขึ้นบนหลัง ต่อมาจึงใช้ผ้าอีกผืนห่อตัววั่งซูอุ้มแนบอกแล้วห่มด้วยผ้าปูเตียงอีกชั้น จากนั้นจึงหอบหิ้วพากันเดินออกจากบ้าน
ลมหนาวโหมพัด กรีดใบหน้าเฉียวเวยราวกับคมมีด
นางฝ่าสายลม ย่ำเท้าก้าวเดินอย่างทุลักทุเลบนผืนหิมะ
เพราะเป็นการเดินต้านลม แม้แต่เพียงพอนหิมะที่แบกโคมไฟอยู่ก็เดินอย่างยากลำบากเช่นกัน
หนึ่งคนกับหนึ่งตัวทุ่มสุดแรงมุ่งหน้าไปยังบ้านตาเฒ่าซวนจื่อ แต่แล้วสิ่งที่ทำให้เฉียวเวยเข่าแทบทรุดก็คือครอบครัวซวนจื่อทุกคนกลับไปฉลองวันตรุษจีนที่บ้านเดิมกันหมด