บทที่ 141 อดีตที่ไม่อยากจำ

เรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ชิงอวี่ไม่รู้เรื่องแต่อย่างไร มีเพียงความสงบเท่านั้น

อาจมีกลไกอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ก็เป็นได้ เพราะไม่ว่าจะเกิดเรื่องใหญ่เท่าไร แต่คนในห้องอื่น ๆ กลับไม่รับรู้เรื่องราว

กระทั่งเยี่ยนซีอู่ที่ไม่ค่อยคิดอะไรมาก ยังสัมผัสได้ถึงความประหลาดของพายุหิมะในคืนนี้ ทำให้หลับไม่ลงสักครา ได้แต่นอนกังวลไป

นางหันมองคนอื่น ๆ ที่นอนเงียบในห้อง ลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนเขยิบไปใกล้เยี่ยนซีโหรวแล้วถามเสียงเบา “ยามอะไรแล้วหรือ?”

เยี่ยนซีโหรวที่หลับตาพักผ่อนพลันลืมตามองท้องฟ้ามืดด้านนอก ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้ คืนนี้มันแปลกเกินไป รู้สึกเหมือนผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ควรจะเป็นยามอิ๋น (03.00 – 04.59 น.) ที่เป็นช่วงกลางดึกที่สุด แต่ดูท่า….. ตอนนี้จะเพิ่งยามจื่อเท่านั้น (23.00 – 24.59 น.)”

เยี่ยนซีอู่รู้สึกหนาววาบที่หลัง “ฟ้าจะไม่สว่างเลยหรือไร? พรุ่งนี้จะถึงวันเข้าสำนักแล้ว หากเป็นเช่นนี้ที่เราพยายามกันมาตั้งนานก็สูญเปล่าสิ!”

เห็นเยี่ยนซีอู่บ่นออกมาไม่หยุดแล้ว ชิงอวี่ก็นวดขมับ รู้สึกคล้ายจะปวดหัวขึ้นมา นางลุกจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างแล้วเอ่ยขึ้น “ถึงจะสว่าง แต่เราก็อาจออกไปจากที่นี่ไม่ได้เช่นกัน”

คนอื่น ๆ ได้ยินนางว่าแล้วก็มองออกไปข้างนอกโดยพร้อมเพรียงกัน

สิ่งที่เห็นคือหิมะที่โปรยลงมาหนักหน่วง กองหิมะด้านนอกสูงเกือบเท่าครึ่งตัวคน ประตูโรงเตี๊ยมครึ่งหนึ่งถูกหิมะกลบไปแล้ว

เยี่ยนซีอู่หน้าซีดลง “จบแล้ว มันจบแล้ว พวกเราติดอยู่ที่นี่ พายุหิมะก็ไม่หยุด ในนี้มีคนตั้งมากมาย สุดท้ายไม่กี่วันอาหารก็จะหมด แล้วเราทั้งหมดก็จะตายกันอยู่ที่นี่”

เห็นทางทำท่าราวกับฟ้าจะถล่มแล้ว ชิงเป่ยจ้องนางด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “หากเจ้ายังพ่นคำเหมือนคนขี้แพ้เช่นนั้นออกมา ข้าจะโยนเจ้าออกนอกหน้าต่างให้ไปแห้งตายข้างนอกเสีย”

ตั้งแต่ที่เด็กหนุ่มทิ้งให้นางปกป้องตนเอง ไม่สนว่านางจะอยู่หรือตายที่หุบเขาพญายม เยี่ยนซีอู่ก็เกรงกลัวเขามาก ได้ยินเขาว่ามาเช่นนั้นนางก็กลัวจนหัวหด ปิดปากฉับทันใด

นัยน์ตาชิงอวี่พลันส่องประกายสีทะมึนชั่วขณะ ทันใดนั้น โลกตรงหน้าก็หมุนเปลี่ยน ภาพเบื้องหน้าแปรเปลี่ยนไปในพลัน

ชิงเป่ย เยี่ยนซีโหรว และเยี่ยนซีอู่หายไปจนหมด

เบื้องหน้านางคือสัมผัสที่ทั้งประหลาดแต่ก็คุ้นเคย ราวกับเป็นสิ่งที่นางเคยสัมผัสเมื่อชาติก่อน

คือบุรุษร่างสูงคนหนึ่ง ใบหน้าอ่อนโยน นัยน์ตาเป็นยิ้มอ่อนโยน น่าหลงใหลเป็นยิ่งนัก

“ชิงชิง เจ้าซนอีกแล้วหรือ? เหตุใดจึงมาหลบอยู่ที่นี่ไม่ไปกินข้าวเล่า?”

ภายในตระกูลใหญ่โต มีบุรุษสตรีอยู่มากมาย มีเพียงเขาคนนี้ที่เรียกนางว่าชิงชิง ชื่อที่สนิทสนมกันจนราวกับว่าเขากำลังเรียกคนรักที่นอนร่วมเตียงเคียงหมอนกันอยู่

ชิงอวี่ร่างสั่นสะท้านอย่างคุมไม่อยู่ ผ่านมานานขนาดนี้ นางยังลืมมันไม่ลงอีกหรือ?

ยามนางได้ยินเขาเรียกนางเช่นนั้น ก็ราวกับเรียกเอาเรื่องในอดีตมาจนหมด ทั้งเรื่องที่เขาปฏิบัติกับนางดีมากเท่าไร ดีมากกระทั่งนางใช้มันทดแทนความเจ็บปวดที่ขาดบิดามารดาไปได้ ดีมากจนกระทั่งนางเปิดใจให้เขาโดยไม่เผื่ออะไรไว้

แต่เหตุใดใจที่ซื่อตรงบริสุทธิ์ของนาง กลับไม่มีค่าพอเมื่อเทียบกับอำนาจและตำแหน่งอันหอมหวานเย้ายวนกัน?

กระทั่งคนที่นางคิดว่าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงยังกลายเป็นคนไร้ยางอายเพราะตำแหน่งนั้น

ชิงอวี่พยายามปิดเปลือกตาลง นิ้วมือพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด

ที่ข้างหูมีเสียงลมหายใจคนปัดผ่าน อกกว้างโอบนางเข้าแนบชิด น้ำเสียงเขาแผ่วต่ำอ่อนโยน “ชิงชิง เจ้าพยายามทำเป็นเข้มแข็งมาโดยตลอด ข้าจึงอดเป็นห่วงไม่ได้ พี่ชายจะคอยปกป้องเจ้าเอง”

ชิงอวี่ไม่เอ่ยคำทั้งยังไม่ลืมตา ขนตายาวนางสั่นสะท้านรุนแรง อารมณ์ในกายพลุ่งพล่านจนนางแทบสิ้นสติ

รอยยิ้มบนริมฝีปากชายหนุ่มยิ่งลึกขึ้น “ชิงชิง รอข้าได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูล เจ้าจะมาเป็นเจ้าสาวของข้าหรือไม่? พวกเราสองคน ยืนอยู่บนจุดสูงสุด เหลือบตามองโลกเบื้องล่างอันแสนงดงาม มีความสุขกับอำนาจและตำแหน่งที่เหนือกว่าใครอื่นในใต้หล้า ไม่ว่าใครก็ต้องก้มหัวให้เรา นับว่าเราสองคนครองทุกสิ่งอย่างที่ใจหมาย”

“สตรีไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งเกินไปหรอก ต้องเปราะบางอ่อนหวานจะดีกว่านัก”

ริมฝีปากของชายหนุ่มที่พ่นคำราวกับจะสะกดชิดเข้าประชิดใบหูนาง น้ำเสียงทุ้มต่ำน่าหลงใหลทั้งนุ่มลึกมีเสน่ห์ “พี่ชายจะรักเจ้าให้มาก พลังที่แท้จริงของวิชาฝังวิญญาณและตำราแพทย์แดนเซียนจะสำแดงออกมาด้วยสองมือของข้าเท่านั้น เจ้าจะให้พี่ชาย….. ถอดมันออกมาจากร่างเจ้าได้หรือไม่?”

สมบัติลับตระกูลชิงทั้งสองชิ้น มีเพียงผู้สืบทอดเท่านั้นที่สามารถถือครองได้ หากมีใครคิดอยากดึงออกมาก็ต้องทำการผสานหยินหยางทางกาย แต่หากเป็นการบีบบังคับเอาสมบัติออกมา เช่นนั้นแก่นพลังชีวิตของเจ้าของร่างจะบาดเจ็บหนัก แก่นพลังถูกทำลาย กลายเป็นร่างที่อ่อนแอขี้โรค ต้องใช้พาพยุงชีวิตไปตลอด

ชิงอวี่หลับตาแน่นจนขอบตาแดง รู้สึกเปราะบางและสิ้นหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

อารมณ์ที่พลันพลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นนั้นกลับทำให้ใจของใครบางคนที่อยู่ห่างออกไปนับพันลี้ถูกบีบรัดจนเจ็บแปลบ เขาพลันลืมตาตื่นจากนิทรา ลูกแก้วสีม่วงที่มีเสน่ห์ร้ายกาจส่องประกายล้อแสง

เขาลุกขึ้นแบนิ้วเรียวยาวของตนออก ลูกแก้วสีม่วงอ่อนขนาดเท่ากำปั้นเด็กทารกปรากฏบนฝ่ามือ ก่อนจะกะพริบไม่หยุด เขาร้องถามออกไปด้วยน้ำเสียงฉงน “จิ้งจอกน้อย?”

เมื่ออีกฝั่งไร้การตอบกลับ โหลวจวินเหยาก็ขมวดคิ้ว

ลูกแก้วนี้คือเครื่องมือสื่อสารจากแดนเมฆาสวรรค์ ทั่วทั้งแดนมีอยู่ไม่กี่ชิ้น นับเป็นของหายาก แต่เขากลับมอบให้ชิงอวี่โดยไม่กะพริบตา เพียงใช้พลังวิญญาณเล็กน้อย ไม่เพียงแต่ได้ยินเสียงจากอีกฟาก แต่ยังสามารถเห็นหน้ากันได้อีกด้วย

เขามอบมันให้นางไว้เพื่อความปลอดภัย โหลวจวินเหยาคิดไว้เช่นนั้น เขาตัดสินใจแล้วว่าจะคอยดูแลทายาทของอาหลาน ดังนั้นก็ต้องลงมือทำให้เต็มที่ และต้องทำให้ดีที่สุด แม้จะเป็นตอนที่ชิงอวี่คิดจะประลองเข้าสำนักเล็ก ๆ สำนักหนึ่งในแดนระดับต่ำก็ตามแต่

แต่เหตุใดเขาจึงสัมผัสได้ว่าอารมณ์ของแม่นางน้อยดูจะเกิดความโกลาหลขึ้นมาเสียอย่างนั้น?

หรือจะเกิดอะไรขึ้น?

โหลวจวินเหยากังวลใจ นัยน์ตาส่องประกายวาบ ภายในลูกแก้วสีม่วงเริ่มหมุนเวียนวนรวดเร็ว และภาพที่เขาเห็นในนั้นคือหิมะขาวที่สูงหลายฉื่อ และดูท่าว่าจะตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ

หิมะตกหรือ?

โหลวจวินเหยามองออกไปด้านนอก นอกจากลมหนาวที่พัดหวีดหวิวแล้ว ด้านนอกก็ไม่มีหิมะสักเกล็ด

น่าสนใจนี่ มีใครมาเล่นกลอะไรกัน?

ภาพภายในลูกแก้วพลันกะพริบวาบ เปลี่ยนฉากให้เห็นภายในห้องหนึ่ง เขาเห็นชิงอวี่กับสหายอยู่ในนั้น จังหวะนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจคนอื่น ๆ เพราะมัวแต่จ้องมองสีหน้าของชิงอวี่ที่ดูเหมือนจะไม่ปกติเท่าไรนัก

ขอบตานางแดงก่ำ ทั้งร่างสั่นสะท้าน สองมือนางค่อย ๆ ยกขึ้นมาวางที่ลำคอเรียว ก่อนจะแบมือกำมันไว้แล้วบีบแน่น ดวงหน้าเล็กซีดขาวไร้สีเลือด แปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวดูน่ากลัว ราวกับนางกำลังขาดอากาศหายใจ

กลิ่นอายโหลวจวินเหยาพลันหนักหน่วงขึ้นในพริบตา กลายเป็นความกดดันราวกับพายุใกล้จะซัดกระหน่ำ

ชิงอวี่ไม่อาจโกหกตนเองได้ แม้นางจะเกลียดคนผู้นั้น เกลียดเขาที่ทำให้นางกลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจ แต่ครั้งหนึ่งเขาก็เคยมอบความรักความห่วงใยเฉกเช่นคนในครอบครัวให้กับนางในวัยเด็ก

ลมหายใจอุ่นร้อนจากริมฝีปากชายหนุ่มพัดผ่านใบหูนางไป ริมฝีปากนั้นเดี๋ยวขยับเปิดเดี๋ยวปิด เกือบจะแตะโดนใบหูจิ้มลิ้มเข้า “ชิงชิง เจ้าเป็นเด็กดีแล้วอยู่ข้างกายข้าดีหรือไม่? ไม่ว่าจะเป็นเด็กที่เจ้านำกลับมาหรือจะเป็นบุรุษที่ไหนก็ไม่อาจมอบสิ่งที่ข้ามอบให้เจ้าได้ ในใต้หล้านี้มีเพียงข้าที่เหมาะสมกับเจ้า”

“มอบกายเจ้าให้ข้าแต่โดยดีเถอะ…..”

ในตอนที่ริมฝีปากของชายหนุ่มเกือบจะสัมผัสริมฝีปากงามของเด็กสาวนั่นเอง นางพลันยกยิ้มบางแทบมองไม่เห็นเป็นยิ้ม ภายในความมืดมิดนั้น มันงดงามราวกับดอกตะบองเพชรล้ำค่าที่ผลิบานยามค่ำคืน ผลิบานรวดเร็วโรยราทันใด หากแต่แรงกระเพื่อมที่ก่อเกิดในใจคนย่อมไม่อาจหายไปเป็นเวลานาน

“ชิงเทียนหลิน เจ้ารู้หรือไม่?” น้ำเสียงของเด็กสาวแจ่มแจ้งชัดเจน ภายใต้ความมืดมิดในยามราตรีนั้นเงียบสงัดราวกับจะได้ยินเสียงหัวใจของเขา

“อะไรหรือ?” อีกฝ่ายดูชะงักไป

“ไม่ว่าจะเป็นเจ้าตัวจริงหรือเป็นเจ้าในฝัน ข้าก็รังเกียจเจ้าพอ ๆ กัน”

รอยยิ้มกระด้างปรากฏมุมปากชิงอวี่ นัยน์ตาหงส์เย้ายวนแผ่ความโกรธดุดันออกมา น้ำเสียงยามนางเอ่ยเยือกเย็น ฟังแล้วทำให้คนสั่นกลัวได้ไม่ยาก “ใครอนุญาตให้เจ้ามาสอดรู้เรื่องในใจข้าอย่างไร้มารยาทเช่นนี้?”

ใบหน้าชายหนุ่มเผยแววประหลาดใจ พริบตาต่อมาเขาก็ชะงักไปทันที

มือเย็นเยียบของเด็กสาวที่ไม่มีเค้าความอบอุ่นพลันเปลี่ยนเป็นใบมีด เสือกแทงเข้าตรงหัวใจของเขาทันที นัยน์ตาไร้อารมณ์ของนางไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา ทำเพียงใช้เปลวเพลิงแผดเผาร่างเขาจนเป็นจุณ

เขาไม่คิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเช่นนี้ สุดท้ายก็ตายไปโดยไม่เหลือสักเสี้ยวใดทิ้งไว้อีก

บุรุษที่ซ่อนในเงามืด ผู้ที่คอยควบคุมทุกสิ่งอย่างพลันกระอักเลือดออกมาอึกใหญ่ ใบหน้าซีดไม่เหมือนมนุษย์ยิ่งซีดขาวขึ้นกว่าเดิม

นัยน์ตาดำขลับของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

มีคนที่สามารถ….. ทำลายความฝันที่เขาถักทอขึ้นมาได้จริง ๆ หรือนี่?

ชิงอวี่ที่หลุดออกจากฝันพลันรู้สึกว่ากำลังในร่างเลือนหาย นางหลับตาลง ร่างพลันเซล้มลงกับพื้น

แต่กลับไร้ความเจ็บปวดยามร่างกระแทกพื้น อ้อมแขนอบอุ่นหนึ่งคว้านางไว้ ก่อนจะอุ้มนางขึ้นมา ความอบอุ่นจากกายเขาไล่ความเหน็บหนาวในกายนางออกไปสิ้น

ชิงอวี่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เปลือกตาหรี่ลงดูท่าทางเกียจคร้านแต่ก็เย้ายวน ยิ่งเมื่อดวงหน้างามสีหน้าไม่ค่อยดี ดูเปราะบางขาวซีดเช่นนี้ ยิ่งดูราวกับสัตว์ตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บที่อยากกระโดดเข้าอ้อมกอดปลอบประโลมของผู้เป็นเจ้าของยิ่งนัก

“ท่านมาเพราะเหตุใด?” ชิงอวี่เอ่ยเสียงแผ่ว แหบแห้งอยู่เล็กน้อย

โหลวจวินเหยาประคองเอวบางของเด็กสาว รู้สึกราวกับว่าหากเขาบีบมันแรงสักนิดก็อาจแตกหักได้ง่าย จากนั้นประคองนางไปนั่งที่ปลายเตียง ก่อนเอ่ยปากพูดเสียงเรียบเรื่อยออกมา “ข้าเห็นจิ้งจอกน้อยโง่งมตัวหนึ่งเกือบบีบคอตนเองตาย ก็เลยมาดูสักหน่อยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปไร้แววใด แต่มีเพียงตัวเขาที่รู้ดีว่าเขารีบแยกมิติเดินทางมาหานางถึงเพียงไหน

ได้ยินคำสบประมาทไม่คิดปิดบังเช่นนั้น ชิงอวี่ก็หัวเราะเบา ๆ “ท่านล้อข้าเล่นกระมัง ข้าไม่มีทางทำเรื่องโง่เง่าเช่นนั้นแน่”

“งั้นหรือ?” โหลวจวินเหยาเผยแววขบขันในนัยน์ตายามมองจิ้งจอกน้อยที่ยังทำปากแข็ง “เช่นนั้นลุกเดินสักสองสามก้าวให้ข้าดูสักหน่อยคงได้กระมัง?”

หึ ๆ นางเหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการที่นางใช้พลังจิตไปจนเกลี้ยง ไม่คิดเลยว่าสิ่งที่เห็นจะส่งผลกระทบต่อนางได้มากเช่นนี้ เคราะห์ดีที่นางยังทำลายภาพฝันนั้นออกมาได้เอง