“ว่าแต่แล้วนี่จะเอายังไงดีล่ะนิ… ที่นี่ก็ไม่ได้มีอุปกรณ์สำหรับตรวจอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันเก็บเอาไว้ซะด้วยสิ…”
 

หลังจากที่เอริกะจัดการป้อนคุกกี้ให้กับอีฟจนเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นเอง เธอก็ได้พาเด็กสาวเดินเข้าไปด้านในห้องออฟฟิศของเธอพร้อมกับหันซ้ายหันขวาราวกับว่ากำลังมองหาอุปกรณ์อะไรบางอย่างอยู่

 

แต่ทว่าเอริกะก็ทำท่าอย่างนั้นอยู่เพียงแค่ไม่นานก่อนที่เธอจะล้วงมือเข้าไปภายใต้เสื้อกาวน์ของตนเองและหยิบเอาตลับโลหะอันหนึ่งออกมายื่นให้กับอีฟและเอ่ยปากพูดสั่งเด็กสาวขึ้นมา

 

“อื้ม… ถ้างั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน เอาล่ะอีฟจัง~ มานั่งตรงนี้แล้วก็ถือเจ้านี่เอาไว้มา~”

 

“….?”

 

อีฟที่ได้ยินคำสั่งของเอริกะได้เดินตรงเข้าไปนั่งบนเก้าอี้ทำงานของเอริกะและรับตลับโลหะมาถือเอาไว้แต่โดยดีก่อนที่เธอจะยกมันขึ้นมาสองดูด้วยสองตาที่ยังคงปิดอยู่ของเธอด้วยท่าทีสงสัยจนทำให้เอริกะต้องเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เก่งมากจ้ะ~ ถ้างั้นก็ได้เวลาทดสอบแล้วนะ”

 

“…….?”

 

“ก็ทดสอบหนูนั่นแหล่ะ ไม่ต้องมาทำท่าบ้องแบ๊วเลยนะ~”

 

ท่าทางของอีฟที่เอียงคอสงสัยและยกนิ้วขึ้นมาชี้ใบหน้าตนเองด้วยท่าทีน่ารักน่าชังหลังจากที่ได้ยินคำว่าทดสอบของเอริกะนั้นได้ทำให้นักประดิษฐ์สาวหลุดยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วจึงยื่นมือออกไปดึงแก้มของเด็กสาวเบาๆ ด้วยความหมั่นไส้ก่อนที่เธอจะชำเลืองมองไปยังตลับโลหะในมือของเด็กสาวเพื่อมองดูแถบวัดพลังงานสีแดงที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของมันและพูดพึมพำออกมาเบาๆ

 

“อื้มๆ อันนี้เป็นแบตเตอรี่ธาตุไฟงั้นสินะ ถ้าอีฟจังพร้อมเมื่อไหร่ก็ลองปล่อยวิซเข้าใส่มันดูเลยก็แล้วกันนะ แบบประมาณว่า ฟู่วๆ ฟุ๊บๆ ฟิ้วๆ อะไรประมาณนั้นน่ะ~”

 

“…..?”

 

คำพูดอธิบายวิธีการใช้วิซของเอริกะที่ออกมาเป็นเสียงและการขยับมือด้วยท่าทางประหลาดๆ เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าจะอธิบายวิธีการใช้วิซที่มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้ด้วยสัญชาตญาณโดยไม่ต้องให้มีใครมาสอนออกมาให้เป็นคำพูดยังไงดีนั้นได้ทำให้อีฟต้องเอียงคอมองนักประดิษฐ์สาวด้วยท่าทีสงสัยอีกครั้งก่อนที่เธอจะก้มกลับลงไปมองตลับโลหะในมือและเขย่าๆ มันเล็กน้อยแล้วจึงยิ้มแป้นยื่นมันกลับไปให้เอริกะในทันที

 

ซึ่งการกระทำของเด็กสาวก็ได้ทำให้เอริกะได้แต่เลิกคิ้วเล็กน้อยด้วยความแปลกใจ เพราะว่าตัวแถบวัดพลังงานที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของตัวตลับนั้นยังคงคาอยู่ที่ก้นหลอดบ่งบอกว่าต่อให้เด็กสาวใช้วิซใส่มันไปแล้วจริงๆ อุปกรณ์เก็บพลังงานในมือของเด็กสาวก็คงจะไม่ตอบสนองกับธาตุของวิซที่ไม่ตรงกันจนไม่สามารถเก็บพลังวิซของเธอที่ถูกส่งเข้าไปเอาไว้ได้นั่นเอง

 

“เอ… ธาตุไฟคงจะใช้ไม่ได้งั้นสินะเนี่ย ถ้างั้นลองพวกนี้ดูบ้างสิอีฟจัง”

 

เอริกะพูดพึมพำออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะหยิบเอาตลับที่หน้าตาเหมือนกันแต่ว่าคาดแถบสีคนละสีออกมาจากภายใต้เสื้อกาวน์ของเธออีกจำนวนหนึ่งและวางมันลงที่เบื้องหน้าของเด็กสาว และนั่นก็ทำให้อีฟที่เห็นแบบนั้นไม่รอช้าที่จะคว้าเอาตลับอันใหม่ขึ้นมาเขย่าๆ ไล่ไปอย่างรวดเร็วจนครบทุกอันในทันที

 

และหลังจากที่อีฟเขย่าตลับโลหะ หรือก็คืออุปกรณ์กักเก็บพลังวิซแบบย่อขนาดจนครบทั้งหกธาตุแล้วนั้นเอง เธอก็ได้เงยหน้ากลับขึ้นไปมองเอริกะที่เริ่มจะเหงื่อตกน้อยๆ อยู่เนื่องจากดูเหมือนว่าไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ของธาตุใดมันก็ไม่ตอบสนองกับสิ่งที่เด็กสาวทำลงไปเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งตัวเธอเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในเรื่องวิซมากนักจนไม่รู้ว่าอุปกรณ์ของเธอไม่ตอบสนองกับวิซของเด็กสาว หรือว่าเด็กสาวเพียงแค่ไม่ได้ปล่อยวิซออกมาในระหว่างที่กำลังเขย่าอุปกรณ์ของเธอเล่นเมื่อสักครู่นี้กันแน่อีกด้วย

 

“เอ… แล้วนี่สรุปว่าอุปกรณ์มันไม่ตอบสนองกับวิซของเธอ หรือว่าเธอแค่เขย่ามันเล่นโดยไม่ได้ปล่อยวิซออกมากันแน่ล่ะเนี่ย…”

 

เอริกะที่หยิบเอาแบตเตอรี่พลังวิซขนาดเล็กของเธอขึ้นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดจนครบทุกอันแล้วนั้นได้แต่ต้องยกมือขึ้นมาเกาศีรษะและพูดพึมพำออกมาด้วยความกลุ้มใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ใช่ว่าเธอจะหมดสิ้นหนทางในการตรวจสอบดูเสียทีเดียวเมื่อเธอได้ถอดแว่นตาสีแดงของเธอออกมาจ้องมองมันอยู่สักพักก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

“เฮ้อ… ถ้างั้นก็คงจะต้องลองใช้เจ้านี่ดูแล้วล่ะมั้ง… เอ้าฮึ๊บ—”

 

“—!?”

 

สิ่งที่เอริกะทำนั้นก็คือการที่เธอกดนิ้วลงไปที่ปุ่มบนขาแว่นตาของเธอและจับมันไปสวมใส่ให้กับเด็กสาวอย่างรวดเร็วจนทำให้อีฟที่ไม่ค่อยจะชอบให้มีอะไรไปยุ่งกับบริเวณดวงตาของเธอสะดุ้งไปด้วยความตกใจและเริ่มที่จะแสดงท่าทีก้าวร้าวออกมาด้วยการพุ่งมือเล็กๆ ของเธอไปจับที่ขาแว่นตาเพื่อที่จะได้จับมันโยนออกไปให้พ้นจากใบหน้าของเธอ

 

วิ๊ง—

 

“…..?”

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เด็กสาวจะได้จัดการโยนสิ่งแปลกปลอมออกไปให้พ้นตัวนั้นเอง เลนส์แว่นตาของเอริกะก็ได้ฉายภาพของอะไรบางอย่างออกมาเข้าใส่เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ของอีฟจนทำให้เด็กสาวต้องเอียงคอด้วยความสนอกสนใจ

 

ซึ่งภาพที่ถูกฉายเข้าใส่เปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่ของอีฟนั้นก็คือภาพของอลิซที่กำลังทำหน้าบึ้งตึงมองแบตเตอรี่ขนาดเล็กที่ถูกวางทิ้งเอาไว้เบื้องหน้าก่อนที่เธอจะคว้ามันขึ้นมาถือเอาไว้ด้วยท่าทีหงุดหงิดเต็มที่และปล่อยพลังวิซออกมาจนทำให้แถบวัดพลังที่ติดอยู่ที่ด้านข้างของตัวตลับโลหะค่อยๆ ขยับขึ้นไปจนสุดแถบด้านบนในเวลาไม่นานนั่นเอง

 

และในขณะที่เด็กสาวกำลังให้ความสนใจในตัวภาพที่ถูกฉายขึ้นมาบนเลนส์แว่นตาอยู่นั้นเอง ทางด้านเอริกะที่เห็นว่าอีฟมีท่าทีสนอกสนใจก็ได้เอ่ยปากพูดบอกเด็กสาวขึ้นมา

 

“เห็นที่พี่อลิซเขาทำนั่นมั้ยเอ่ย เธอพอจะทำแบบเดียวกันกับพี่อลิซเขาใส่แบตเตอรี่ในมือนั่นให้พี่ดูบ้างได้หรือเปล่าล่ะ~?”

 

“…..!”

 

คำขอของเอริกะในคราวนี้ได้ทำให้อีฟหันไปพยักหน้าถี่ๆ กลับไปให้นักประดิษฐ์สาวก่อนที่เธอจะคว้าเอาตลับโลหะที่ถูกวางทิ้งไว้บนโต๊ะขึ้นมาถือเอาไว้และปล่อยพลังวิซที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในร่างเล็กๆ ออกมาเข้าใส่มันในทันที

 

เปรี๊ยะ—เปรี๊ยะ—

 

ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นในชั่วพริบตาที่เด็กสาวผู้ที่ไม่ยอมลืมตาได้ปลดปล่อยพลังวิซของเธอเข้าใส่ตลับโลหะนั้นก็คือการที่ตัวอุปกรณ์กักเก็บพลังวิซขนาดเล็กของเธอได้เปล่งแสงเจิดจ้าออกมาตามรอยต่อของมันจนทำให้เอริกะที่เห็นแบบนั้นถึงกับสะดุ้งไปและพยายามที่จะพูดห้ามปรามออกมา เพราะดูเหมือนว่าเด็กสาวที่เพิ่งเคยใช้วิซออกมาเป็นครั้งแรกจะเผลอปล่อยวิซจำนวนมากออกมาจนอุปกรณ์ของเธอรับไม่ไหวเข้าให้เสียแล้ว

 

“อ่ะ—ด—เดี๋ยวก่—”

 

แกร๊ก—แกร๊ก—

 

แต่ทว่าก็ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงพูดห้ามปรามของเอริกะดี ตัวตลับคริสตัลในมือของอีฟก็ได้เริ่มที่จะส่งเสียงแตกร้าวออกมาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตัวคริสตัลที่ถูกบรรจุอยู่ภายในเริ่มที่จะรับพลังวิซจำนวนมากที่ถูกส่งเข้าไปเอาไว้ไม่ไหวและเริ่มที่จะแตกสลายเสียแล้ว และสิ่งที่กำลังจะตามมาในเวลาอีกไม่นานก็คือการที่มันจะปลดปล่อยพลังวิซส่วนเกินออกมาในรูปแบบของแรงระเบิดนั่นเองจนทำให้เอริกะต้องรีบร้องเรียกเด็กสาวขึ้นมาด้วยความตกใจเพราะไม่คิดว่าร่างเล็กๆ เบื้องหน้าของเธอจะซ่อนพลังวิซที่มากมายขนาดนี้เอาไว้

 

“อีฟ—!?”

 

“……..?”

 

แต่ก็ดูเหมือนว่าเสียงร้องเรียกของเอริกะจะได้ทำให้เด็กสาวที่ยังไม่รู้สึกถึงสถานการณ์อันตรายเบื้องหน้าคิดไปเองว่าพี่เอริกะของเธอต้องการจะเห็นสิ่งที่เธอทำได้ชัดๆ เธอจึงได้เผยรอยยิ้มดีใจออกมาและยื่นตลับโลหะที่กำลังแตกร้าวบวมแป่งและส่องแสงสว่างจ้าออกไปเบื้องหน้าด้วยทั้งสองมือเพื่อให้เอริกะได้เห็นมันชัดๆ จนทำให้เอริกะแทบจะตาเหลือกและตัดสินใจที่จะรีบปัดของสุดอันตรายเบื้องหน้้าออกไปให้พ้นมือเด็กสาวพร้อมกับคว้าตัวอีฟมากอดเอาไว้และพุ่งตัวไปยังมุมห้องฝั่งที่อยู่ไกลที่สุดในทันที

 

ปึ๊ก!

 

ฟวี๊—!!

 

ตู้มมมม!!!

 

“โอ๊ย—-!?”

 

ในชั่วพริบตาที่ตัวแบตเตอรี่ขนาดเล็กได้ถูกปัดให้หลุดพ้นจากมือของอีฟและร่วงหล่นลงกระทบกับพื้นห้องนั้นเอง พลังงานวิซจำนวนมากที่ถูกเด็กสาวบรรจุใส่มันจนเกินขีดจำกัดก็ได้ปะทุออกมาอย่างรุนแรงจนดูราวกับลูกไฟขนาดย่อมๆ และส่งเศษโลหะที่เคยทำหน้าที่เป็นเปลือกนอกของมันให้ปลิวกระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง

 

และหลังจากที่เวลาผ่านไปอีกชั่วขณะหนึ่งจนเสียงระเบิดเงียบหายลงไปแล้ว เอริกะก็ได้พูดบ่นออกมาเบาๆ ก่อนที่เธอจะจับร่างของเด็กสาวที่อยู่ในอ้อมกอดของเธอมาสำรวจดูบาดแผล

 

“เฮ้อ… จนได้สิน๊า นี่ขนาดฉันคิดว่าความจุของแบตเตอรี่นั่นมันไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะนั่น… ไหนหนูอีฟบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าเอ่ย?”

 

“………”

 

ถึงแม้ว่าอีฟจะได้ยินคำถามของเอริกะไปแล้วก็ตามที แต่ว่าในคราวนี้เด็กสาวก็กลับไม่ได้ทำท่าทางตอบรับอะไรกลับมาอย่างที่เธอมักจะทำเวลาได้ยินใครพูดอะไร เพราะว่าในขณะนี้เธอกำลังจ้องมองตรงไปยังบริเวณแขนเสื้อกาวน์ของเอริกะที่ในบัดนี้ได้มีคราบสีแดงของหยดเลือดไหลซึมออกมาเนื่องจากสะเก็ดระเบิดที่เฉี่ยวต้นแขนของเอริกะไปเมื่อสักครู่ด้วยร่างกายที่สั่นเทา

 

ซึ่งภาพของเด็กสาวตัวเล็กที่ตัวสั่นราวกับลูกนกนั้นก็ได้ทำให้เอริกะได้แต่ตัดสินใจที่จะดึงร่างของเธอมากอดเอาไว้และลูบศีรษะของเด็กสาวเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลมและพูดพึมพำออกมา

 

“เฮ้อ… ท่าทางว่าวิซน่ะจะมีแน่ๆ อยู่แล้วล่ะ แต่ว่าถ้ามันเป็นแบบนี้จะใช้พลังได้หรือเปล่ามันก็อีกเรื่องงั้นสินะ…”

 

 

ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่เอริกะกำลังทดลองให้อีฟใช้พลังวิซออกมาอยู่นั้นเอง ที่ด้านหน้าคลินิกของอารอนเองก็ได้มีร่างของหญิงสาวผมสีชมพูในชุดเกราะอัศวินสีขาวเดินมาด้อมๆ มองๆ อยู่ที่ด้านหน้าตัวอาคารที่ตั้งอยู่ในตรอกเล็กๆ ก่อนที่เธอจะพูดบ่นออกมาเบาๆ เมื่อได้พบว่าป้ายที่ถูกแขวนเอาไว้ที่เบื้องหน้าประตูนั้นมันคือคำว่าปิดให้บริการชั่วคราว

 

“ปิดอยู่จริงๆ ด้วยแฮะ… แต่เอาจริงๆ ถ้าเกิดว่าเปิดอยู่ก็คงจะแปลกแล้วล่ะ ก็ในเมื่ออารอนเขาไม่อยู่นี่นะ”

 

อัศวินสาวผมชมพูเรสเนอร์ที่ว่างงานจนดูเหมือนว่าจะใช้เวลาว่างในการออกท่องเที่ยวไปทั่วทั้งเมืองรีมินัสนั้นได้ชะเง้อหน้ามองเข้าไปด้านในตัวอาคารที่มืดสนิทราวกับว่าถูกทิ้งร้างด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะตัดสินใจที่จะลองยื่นมือออกไปผลักตัวประตูคลินิกดู

 

แกร๊ก—แอ๊ดดด…

 

“ไม่ได้ล็อกงั้นหรอ… ถ้างั้นก็ขออนุญาตนะคะ…”

 

อัศวินสาวเอ่ยปากพูดขออนุญาตกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่เธอจะชะโงกหน้าเข้าไปภายในจนได้พบกับเคาน์เตอร์ต้อนรับที่ดูสะอาดสะอ้านราวกับว่ามันกำลังรอต้อนรับเจ้าของอาคารที่น่าจะกลับมาในวันไหนสักวันหนึ่งอยู่

 

แต่ถึงอย่างนั้นก่อนที่เรสเนอร์จะได้ย่างเท้าเข้าไปภายในก็กลับได้มีเสียงพูดคุยกันเบาๆ ดังออกมาจากด้านในห้องพักที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับดังขึ้นมาให้เธอได้ยินเข้าเสียก่อน

 

“ขอบคุณมากนะคะคุณนิลิม แล้วก็ต้องขอโทษที่พักนี้มารบกวนบ่อยๆ ด้วยนะคะ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ… ถ้ายังไงก็ขอรบกวนพวกเธอคอยดูแลนากาคุงกับคาร์เทียร์เขาระหว่างที่อยู่ที่โรงเรียนด้วยก็แล้วกันนะจ๊ะ…”

 

หลังจากที่สิ้นเสียงของหญิงสาวที่ฟังดูอ่อนโยนใจดีไปแล้วนั้นเอง ประตูของห้องพักที่อยู่ด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับก็ได้ถูกเปิดออกก่อนที่จะมีร่างของเด็กสาวสามคนอันประกอบไปด้วย สาวน้อยหูแมวผมสีฟ้าซิลเวส เด็กสาวร่างสูงโปร่งเซซิล และเด็กสาวหูแมวผมสีดำซึบากิพากันเดินออกมา

 

ซึ่งในทันทีที่ซึบากิที่เดินนำหน้าสังเกตเห็นเรสเนอร์ที่กำลังยื่นหน้าเข้ามามองดูภายในคลินิกนั้นเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยและกระดิกหูแมวไปมาอยู่ชั่วขณะเหมือนกับทำตัวไม่ถูกก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขึ้นมาให้ผู้มาเยือนได้ฟัง

 

“เอ่อ… คือพอดีว่าช่วงนี้คุณหมออารอนไม่ได้อยู่ในเมืองรีมินัสน่ะค่ะ ถ้ามีธุระอะไรหรือว่าต้องการการรักษาคงจะต้องขอให้มาวันอื่นนะคะ”

 

“เรื่องนั้นฉันรู้อยู่แล้วล่ะจ้ะ”

 

“อ่าว…”

 

คำพูดตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มๆ ของเรสเนอร์นั้นได้ทำให้ซึบากิชะงักไปอีกครั้งในขณะที่ทางด้านซิลเวสที่เห็นว่าพี่ซึบากิของเธอยืนหยุดขวางประตูอยู่ก็ได้ชะโงกหน้าออกมาดูผู้มาเยือนด้วยความสงสัยก่อนที่เธอจะส่งเสียงร้องออกมา

 

“อ่ะ— พี่เรสเนอร์นี่นา คนคนนี้ไงที่หนูบอกว่าพวกเขาเข้าไปช่วยพวกพี่นากาเอาไว้แล้วก็มาช่วยอาจารย์อลิซสอนหนูกับพี่คอนแนลเขาใช้ยูนิตเมื่อวันก่อนน่ะพี่ซึบากิ”

 

“ว่าไงจ๊ะซิลเวสจัง สนใจจะแนะนำเพื่อนๆ ให้พี่รู้จักหน่อยมั้ยจ้ะ”

 

เรสเนอร์ที่เห็นว่าในสถานที่แห่งนี้มีเด็กคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเธออยู่ด้วยได้เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่เธอจะพูดถามซิลเวสขึ้นมาด้วยท่าทางใจดีจนทำให้ซิลเวสที่เห็นแบบนั้นพยักหน้าหงึกๆ กลับไปให้และรีบพูดแนะนำตัวเพื่อนๆ พี่ๆ ของเธออกมาในทันที

 

“พี่หูแมวหน้าบึ้งด้านนี้คือพี่ซึบากิค่ะ ส่วนพี่หัวสีน้ำตาลที่เงียบเหมือนจะเป็นใบ้คนนี้ชื่อว่าพี่เซซิลค่ะ”

 

“ว่าใครเป็นใบ้หะ…”

 

หมับ—

 

“โอ้ยๆๆ”

 

คำพูดแนะนำตัวของซิลเวสนั้นได้ทำให้เซซิลต้องยื่นมือออกไปดึงแก้มของซิลเวสจนยืดเพื่อเป็นการตักเตือน และนั่นก็ทำให้เรสเนอร์ที่เห็นแบบนั้นอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา

 

“ยินดีที่ได้รู้จักนะจ๊ะ คือพอดีว่าช่วงนี้ฉันว่างๆ อยู่ก็เลยแวะมาดูว่าที่นี่มีอะไรจะให้ช่วยหรือเปล่าน่ะจ้ะ เพราะเห็นบอกว่าที่นี่เป็นบ้านของอาจารย์อารอนที่หายตัวไปใช่มั้ยล่ะจ๊ะ?”

 

“อ่ะ— งั้นถ้าเป็นไปได้เวลาพี่เรสเนอร์ไปเที่ยวที่ไหนหนูขอฝากพี่เรสเนอร์ถามหาเบาะแสของอาจารย์อารอนให้ด้วยจะได้หรือเปล่าคะ คือแบบว่ายิ่งถ้ามีคนรู้เรื่องของอาจารย์อารอนเยอะขึ้นก็น่าจะมีหูมีตาเยอะขึ้นอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ”

 

“เอ… ถึงฉันจะค่อนข้างมั่นใจว่าเอริกะน่าจะจัดการเรื่องนั้นไปแล้วแต่เอาเป็นว่าเอาไว้ฉันจะช่วยด้วยอีกแรงก็แล้วกันนะจ๊ะ”

 

เรสเนอร์พูดตอบเด็กสาวกลับไปก่อนที่เธอจะยกมือขึ้นไปลูบหัวเด็กสาวหูแมวด้วยความเอ็นดูจนทำให้ซิสเวสหลับตาลงด้วยสีหน้าอิ่มเอมใจราวกับลูกแมวตัวน้อยที่กำลังถูกลูบหัวอยู่

 

“ซิลเวส…”

 

แต่แล้วในขณะที่ซิลเวสกำลังรู้สึกเคลิบเคลิ้มใจไปกับฝีมือการลูบหัวของเรสเนอร์อยู่นั้นเอง ความสุขของเธอก็ถูกขัดด้วยเสียงของเซซิลที่ดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่เด็กสาวร่างสูงได้สะกิดไหล่ของเธออย่างต่อเนื่องจนทำให้แมวน้อยสีฟ้าต้องหันไปพูดถามพี่เซซิลของเธอขึ้นมาด้วยความรำคาญใจ

 

“อะไรกันเล่าพี่เซซิล เรียกแล้วก็รีบๆ พูดสิ”

 

“จะบ่ายแล้ว…”

 

คำพูดสั้นๆ ของเซซิลนั้นได้ทำให้ซิลเวสต้องกะพริบตามองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย เพราะว่าในคราวนี้เธอไม่สามารถทำความเข้าใจประโยคพูดสั้นๆ ของอีกฝ่ายได้เลยแม้แต่น้อยว่าถ้าเกิดมันถึงเวลาบ่ายโมงแล้วมันจะทำไมหรือว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นมา

 

ซึ่งในขณะที่ซิลเวสกำลังรู้สึกสับสนอยู่นั้นเองทางด้านซึบากิที่ยืนดูการกระทำของเธออยู่ที่ใกล้ๆ กันก็ได้เอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาให้เด็กสาวได้ฟัง

 

“ไม่ใช่ว่าตอนแรกเธอบอกว่าวันนี้มีนัดกับอาจารย์อลิซที่ห้องชมรมของเนลเขาตอนบ่ายก็เลยไม่อยากจะมาที่นี่หรอกหรอซิลเวส…”

 

“อ่ะ—”

 

คำพูดของซีบากิได้ทำให้ซิลเวสชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าของเธอจะซีดขาวลงแล้วจึงหันไปค้อมหัวให้กับเรสเนอร์พร้อมกับพูดบอกลาออกมาในทันที

 

“ห–หนูขอตัวก่อนละกันนะคะพี่เรสเนอร์! ถ้ายังไงก็ขอฝากเรื่องของอาจารย์อารอนเขาด้วยนะคะ!”

 

“ได้อยู่แล้วสิจ๊ะ ว่าแต่ถ้าโดนอาจารย์อลิซเขาดุยังไงก็อ้างว่าเพราะโดนฉันชวนคุยก็เลยมาสายก็ได้นะจ๊ะ เพราะฉันเองก็รู้จักอาจารย์อลิซเขาเหมือนกันน่ะ”

 

“ค่ะ! ถ้างั้นหนูขอตัวก่อนนะคะ… สายแล้ว สายแล้ววว~~”

 

ซิลเวสพยักหน้าตอบพี่เรสเนอร์ของเธอกลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะรีบวิ่งออกไปตามถนนพร้อมกับส่งเสียงร้องทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยความร้อนรนจนทำให้เซซิลที่เป็นคนเอ่ยปากพูดเตือนขึ้นมาเป็นคนร้องต้องพูดบ่นขึ้นมาเล็กน้อย

 

“ให้ตายสิ…”

 

“ถ้างั้นพวกเราก็กลับไปที่โรงเรียนกันบ้างก็แล้วกัน ขอตัวนะคะคุณเรสเนอร์”

 

ในขณะที่เซซิลกำลังถอนหายใจออกมาอยู่นั้นเอง ทางด้านซึบากิก็ได้ค้อมหัวให้เรสเนอร์เล็กน้อยด้วยท่าทีสุภาพก่อนที่เธอจะเดินนำเซซิลออกไปจากคลินิกของอารอนในทันที

 

และเมื่อเหล่าเด็กๆ เดินจากไปจนหมดแล้วนั้นเอง เรสเนอร์ก็ได้หันไปส่งยิ้มให้กับหญิงสาวผมสีชมพูร่างเล็กอีกคนหนึ่งที่กำลังยืนนิ่งมองตรงมาทางเธอจากหน้าประตูห้องพักด้านหลังเคาน์เตอร์ต้อนรับพร้อมกับพูดทักทายขึ้นมา

 

“ว่าไงจ๊ะกราเซียส พักนี้เป็นยังไงบ้างเอ่ย?”

 

“เรียกฉันว่านิลิมเถอะค่ะ… ที่นี่ไม่มีใครที่ใช้ชื่อนั้นเหลืออยู่อีกแล้วล่ะค่ะ…”

 

“อ่ะ ขอโทษทีจ้ะ ‘นิลิม’ สินะจ๊ะ”

 

คำพูดตอบกลับของนิลิมนั้นได้ทำให้เรสเนอร์ชะงักไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเอ่ยปากพูดขอโทษออกมาแต่โดยดี ส่วนทางด้านนิลิมที่ดูเหมือนว่าจะรู้จักกับเรสเนอร์อยู่ก่อนแล้วก็กลับไม่ได้มีท่าทีรุนแรงเหมือนกับเมื่อครั้งที่ชื่ออีกชื่อหนึ่งของเธอถูกเอ่ยปากพูดออกมาจากปากของเด็กสาวในชุดผ้าคลุมและพูดเชิญอีกฝ่ายให้เข้าไปที่ด้านในของห้องพักแทน

 

“เข้ามาก่อนสิคะ พอดีว่าฉันยังต้องดูแลเด็กคนนึงให้กับคาร์เทียร์เขาอยู่น่ะค่ะ”

 

“ถ้าอย่างงั้นก็ขอรบกวนด้วยนะจ๊ะนิลิม”

 

เรสเนอร์ยิ้มพูดตอบนิลิมกลับไปก่อนที่เธอจะเดินตามหลังอีกฝ่ายเข้าไปภายในห้องพัก และนั่นก็ทำให้เธอได้พบว่าในบัดนี้ห้องพักของอารอนดูเหมือนจะได้กลายเป็นห้องพักส่วนตัวของนิลิมและเด็กทารกตัวน้อยของคาร์เทียร์ไปเสียแล้ว

 

ซึ่งเรสเนอร์ก็ได้เดินเข้าไปก้มมองดูเด็กทารกตัวน้อยผู้มีศักดิ์เป็นน้องของคาร์เทียร์เล็กน้อยก่อนที่เธอจะหันกลับไปหานิลิมแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมา

 

“เด็กคนนี้คือน้องของคาร์เทียร์จังที่เธอพูดถึงสินะจ๊ะ… แต่จะว่าไปถ้าจะให้พูดถึงคาร์เทียร์จัง… ฉันเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันนะว่าสุดท้ายแล้วพวกเธอทั้งสองคนจะลงเอยด้วยการที่ได้มาอยู่ในบ้านหลังเดียวกันแบบนี้น่ะ”

 

“บางทีโชคชะตาก็ชอบเล่นตลกอะไรแบบนี้อย่างที่รู้กันนั่นแหล่ะค่ะ…”

 

“นั่นสินะจ๊ะ… ว่าแต่แล้วเธอคิดว่าตอนนี้เด็กคนนั้นเป็นยังไงบ้างล่ะ?”

 

“ถ้าที่คุณเรสเนอร์ถามถึงหมายถึง ‘คาร์เทียร์’ ล่ะก็ฉันคงจะต้องบอกว่าเธอเป็นเด็กนิสัยดีคนนึงล่ะมั้งคะ ถึงตอนที่เธออยู่กับซึบากิจังเธอออกจะขี้แกล้งไปสักหน่อยก็เถอะ… แต่ถ้าเกิดว่าที่คุณเรสเนอร์ต้องการจะถามหมายถึงเรื่องอื่น… ฉันคงจะตอบได้แค่ว่าเธอโชคดีที่ไม่มีอาการอะไรน่าเป็นห่วงเพราะว่าชิ้นส่วนที่เธอได้รับไปมันเป็นแค่ชิ้นส่วนเล็กๆ ไม่เหมือนกับของฉันน่ะค่ะ”

 

นิลิมพูดตอบเรสเนอร์กลับไปเบาๆ พลางยกท่อนแขนที่มีผิวสีขาวซีดผิดกับร่างกายส่วนอื่นๆ ของเธอขึ้นมาจ้องมองอยู่ชั่วขณะ

 

ซึ่งท่าทางที่ดูเหมือนว่าจะกลัดกลุ้มน้อยๆ ของนิลิมนั้นก็ได้ทำให้เรสเนอร์ตัดสินใจที่จะพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

“แล้วทางด้านเธอเป็นยังไงบ้างล่ะนิลิม?”

 

“ฉันหรอคะ…?”

 

คำถามของเรสเนอร์ในคราวนี้ได้ทำให้นิลิมชะงักไปเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนที่เธอจะละสายตาออกมาจากท่อนแขนสีขาวซีดของเธอแล้วจึงพูดตอบกลับไปเบาๆ

 

“ถึงตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านฉันจะเผลอปล่อยตัวไปสักหน่อย แต่ตอนนี้ก็รู้สึกสงบลงเยอะแล้วล่ะมั้งคะ… คิดว่านะ…”

 

“งั้นหรอจ๊ะ แต่ว่าในเมื่ออารอนเขาไม่อยู่แล้วแบบนี้ งั้นก็เอาเป็นว่าถ้าเธอรู้สึกอะไรแปลกๆ ขึ้นมาก็รีบไปแจ้งให้เอริกะเขารู้สักหน่อยก็ดีนะจ๊ะ เอริกะเขาจะได้คิดวิธีการเตรียมรับมือเผื่อเอาไว้น่ะ”

 

“ค่ะ… ขอบคุณที่เป็นห่วงนะคะ…”

 

นิลิมค้อมหัวพูดตอบเรสเนอร์กลับไปด้วยน้ำเสียงสุภาพก่อนที่เธอจะดึงแขนเสื้อที่ยาวเกินตัวให้กลับมาปิดบังท่อนแขนสีขาวซีดของเธออีกครั้งหนึ่ง ในขณะที่ทางด้านเรสเนอร์เองก็ได้พูดเปลี่ยนเรื่องคุยขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน

 

“จะว่าไปเห็นบอกว่าที่เธอได้มาทำงานให้กับเอริกะนี่มันเป็นฝีมือของเซซิเรียเขาสินะจ๊ะ แล้วตอนนี้นี่เซซิเรียเขาไปอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ?”

 

“เซซิเรียงั้นหรอคะ…”

 

คำถามของเรสเนอร์ในคราวนี้ที่เกี่ยวข้องกับเพื่อนสาวของเธออย่างเซซิเรียนั้นได้ทำให้นิลิมนิ่งเงียบไปเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นไปมองสำรวจดูท่าทีของเรสเนอร์อยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากพูดขึ้นมาตรงๆ

 

“คำถามนี้ฉันขอไม่ตอบจะได้หรือเปล่าคะ…?”

 

“ได้อยู่แล้วสิจ๊ะ… ฉันก็แค่ว่างก็เลยหาเรื่องชวนคุยเฉยๆ น่ะจ้ะ ไม่ได้คิดอยากจะได้คำตอบอะไรจริงจังนักหรอก”

 

ถึงแม้ว่าเรสเนอร์จะได้ยินคำพูดปฏิเสธของนิลิมไปแล้วก็ตาม แต่ว่าเธอก็ไม่ได้มีวี่แววว่าจะมีท่าทีไม่พอใจเลยแม้แต่น้อยและยิ้มพูดตอบนิลิมกลับไปด้วยท่าทางใจดีตามแบบของเธอ เพราะว่าเธอเองก็เข้าใจว่าในเมื่อตัวเธอไม่ได้เอ่ยปากพูดยืนยันว่าเธอยืนอยู่ฝั่งเดียวกับเอริกะแน่ๆ แบบนี้ การที่เธอจะไปถามถึงที่อยู่ของเซซิเรียที่เป็นหนึ่งในตัวตั้งตัวตีของฝ่ายเอริกะมันก็คงจะดูไม่เหมาะไม่ควรสักเท่าไหร่

 

ซึ่งในขณะที่หญิงสาวผมสีชมพูทั้งสองคนต่างพากันนิ่งเงียบอยู่นั้นเอง ทางด้านนิลิมก็ได้เป็นคนเอ่ยปากพูดเปลี่ยนเรื่องขึ้นมา

 

“ว่าแต่ที่คุณเรสเนอร์มาที่นี่นี่ตั้งใจจะมาช่วยเรื่องของคุณอารอนงั้นหรอคะ…?”

 

“ตอนแรกฉันก็ตั้งใจแบบนั้นแหล่ะจ้ะ แต่ว่าพอได้เห็นพวกเด็กๆ เขาเหมือนจะจัดการอะไรกันเองได้แล้วก็คิดว่าคงจะไม่ต้องแล้วล่ะ… แต่เอาเป็นว่าเอาไว้พอฉันออกเดินทางต่อได้เมื่อไหร่แล้วได้เบาะแสอะไรมาฉันจะรีบส่งข่าวมาบอกพวกเธอก็แล้วกันนะจ๊ะ”

 

เรสเนอร์พูดตอบนิลิมกลับไปก่อนที่เธอจะลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังประตูทางเข้าเป็นสัญญาว่าเธอพร้อมจะบอกลาแล้วนั่นเอง และนั่นก็ทำให้นิลิมได้แต่มองไล่หลังอัศวินสาวไปพร้อมกับเอ่ยปากพูดบอกลาอีกฝ่ายออกมา

 

“ถ้าอย่างงั้นก็ขอให้โชคดีนะคะคุณเรสเนอร์…”

 

“อื้ม เอาไว้เจอกันใหม่ก็แล้วกันนะจ๊ะ ‘นิลิม’ ”

 

เรสเนอร์พูดตอบนิลิมกลับไปสั้นๆ และโบกมือลาอีกฝ่ายเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากคลินิกของอารอนแล้วจึงหยุดฝีเท้าลงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้าสีครามเบื้องบนแล้วจึงพูดพึมพำกับตัวเองออกมาเบาๆ ด้วยน้ำเสียงโล่งใจ

 

“ถ้าเกิดว่าทั้ง ‘นิลิม’ ทั้ง ‘คาร์เทียร์’ ต่างก็ดูเสถียรกันดีแบบนี้เธอก็คงพอจะโล่งใจไปได้สักเรื่องนึงแล้วสินะจ๊ะเอริกะ…”