มู่เซิ่ง เขยอันดับหนึ่ง บทที่ 121 เห็ดพิษ

เสียงดังตูม!

ตามมาด้วยร่างของหมีสีน้ำตาลล้มลงเสียงดังสนั่น บรรยากาศทั่วทั้งงาน เงียบอย่างมากในชั่วพริบตาเดียว!

พวกเขาเห็นภาพฉากตรงหน้า เพียงแค่รู้สึกกระดูกสันหลังเย็นวาบ

นี่เป็นหมีสีน้ำตาลตัวหนึ่งนะ!

น้ำหนักตัวถึงครึ่งตัน พละกำลังแข็งแกร่งกว่าผู้ชายวัยฉกรรจ์สามสี่เท่าตัว ก็ถูกมู่เซิ่งฆ่าตายเช่นนี้แล้ว?

“กึกๆ!”

ในกลุ่มคน ก็ไม่รู้ว่าใคร กลืนน้ำลายแล้ว

สายตาของพวกเขา เต็มไปด้วยความตกใจและเหลือเชื่อ ในตอนที่หมีสีน้ำตาลล้มลงแล้ว!

แม้ว่าเป็นไป๋เสี่ยวเสียนที่เดิมทีคิดว่ามู่เซิ่งจะต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ เขาเป็นคนแรกในสนามที่ประมือกับหมีสีน้ำตาล เพราะเหตุนี้ก็ยิ่งรู้จุดที่น่ากลัวของมัน ตบเพียงฉาดเดียว เขารู้สึกกระดูกแตกละเอียดไปทั้งตัวแล้ว และก็ไม่ต้องพูดถึงต่อสู้กับหมีสีน้ำตาลแล้ว

ไอ้หมอนี่ ยังใช่คนอีก?

“ที่รัก ฉันก็ไม่ได้เป็นอะไรนะ เธอจะต้องร้องไห้ด้วยเหรอ”

มู่เซิ่งยิ้มพร้อมส่ายหน้าแล้ว เช็ดเลือดสดๆ ที่กระเซ็นบนใบหน้าตอนที่หมีสีน้ำตาลล้มลง

“ฉัน……”

เจียงหว่านน้ำตาไหลราวกับฝนตก

ในตอนที่มู่เซิ่งกระโจนเข้าไปนั้น หัวใจของเธอเหมือนถูกมีดคว้านอย่างโหดเหี้ยมยังไงอย่างนั้น เธอคิดว่าจะไม่ได้เจอเขาแล้วซะอีก ถึงขั้นไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไปตายพร้อมกับเขาแล้ว

“ขอโทษนะ ฉันไม่ควรสงสัยนาย”

น้ำตาไหลอาบหน้าที่งดงามของเจียงหว่าน ออกแรงกระโจนไปในอ้อมแขนของมู่เซิ่ง

“ไม่เป็นไรๆ”

มู่เซิ่งตบๆที่แผ่นหลังของเจียงหว่าน พูดปลอบใจ

จริงๆแล้วแม้ว่าหมีสีน้ำตาลพลังกำลังยิ่งใหญ่ แต่ขนาดตัวใหญ่มาก ความคล่องแคล่วสู้มู่เซิ่งไม่ได้อย่างมาก ด้านภัยคุกคาม ถึงขั้นสู้หมานหนิวไม่ได้เลย มู่เซิ่งเพื่อที่จะระงับไม่ให้หมีสีน้ำตาลไปไล่ล่าคนอื่นๆ ถึงได้ประมือปะทะความรุนแรงกับเขา

แต่ว่าคำพูดเหล่านี้ มู่เซิ่งไม่มีทางพูดออกมาแน่ เขายังคิดที่จะเพลิดเพลินกลิ่นหอมบนตัวของเจียงหว่านอยู่นะ

ลูกเศรษฐีที่อยู่รอบๆมองดูทั้งสองคนสวมกอดกัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความอิจฉา

แม้แต่ไป๋เสี่ยวเสียนก็มีสีหน้าที่แย่ เขาเป็นคนคิดแผนการนี้ออกมา สุดท้ายคนที่ได้สาวงามมาครองก็น่าจะเป็นเขา ผลสุดท้ายตอนนี้เจียงหว่านกอดกับมู่เซิ่ง นี่ทำให้เขาเอาหน้าไปวางไว้ไหน?

“พอแล้ว รีบกลับไปเถอะ ถ้าหากมีหมีสีน้ำตาลมาอีกตัว ผมว่าพวกคุณคงรับไม่ไหวแน่!”

แต่ว่าไป๋เสี่ยวเสียนก็รู้ว่าเอ่ยปากพูดในเวลานี้ ไม่ใช่ทางเลือกที่ฉลาด พูดเสียงเหอะอย่างเยือกเย็น ก็เดินไปที่ค่ายแล้ว

เมื่อกลุ่มลูกเศรษฐีได้ยินว่ายังมีหมีอีก ก็ไม่กล้าอยู่นาน เดินกลับไปยังค่ายอย่างไม่หยุดหย่อน

“ทุกท่าน วัตถุดิบอาหารเย็นของพวกเราได้เตรียมไว้ครบครันแล้วใช่ไหม?”

“หลังจากกลับมาถึงค่าย ไป๋เสี่ยวเสียนไม่พูดถึงเรื่องที่เจอในป่าก่อนหน้านี้เลย เหมือนกลายเป็นศูนย์กลางของผู้คนตรงนั้น เอ่ยปากพูดว่า : “การท่องเที่ยวตามชานเมืองในครั้งนี้ ประเด็นสำคัญคือการอยู่รอดในป่ากล้างแจ้ง เพราะงั้นไม่มีห้องครัว ของที่พวกคุณรวบรวมกันมาก็จะต้องทำอาหารเอง ถึงตอนนั้นต้มไม่อร่อย ก็โทษคนอื่นไม่ได้นะ”

“ฮ่าๆๆๆ ฉันเคยอยู่ที่New Orientalมาก่อน!”

“ฝีมือการทำอาหาร ฉันทำได้แน่นอน”

พวกลูกเศรษฐีหัวเราะเสียงดังพร้อมพูดกล่าว

พวกเขาต่างก็ยุ่งให้วุ่นกันขึ้นมา เห็นได้ว่ามีความมั่นใจสำหรับผลลัพธ์ในช่วงเช้ามาก

ท่ามกลางกลุ่มคน มู่เซิ่งยิ้มอย่างนิ่งๆ

เขาเป็นพ่อบ้านเต็มตัวของตระกูลเจียงมาสามปีแล้ว พูดความจริง พูดถึงเรื่องทำอาหาร แม้แต่ร้านอาหารห้าดาวใหญ่ๆก็เทียบเขาไม่ติด

“ไอ้หยา!”

และในเวลานี้ มีเสียงอุทานอย่างตกใจแผ่ซ่านมาจากกลุ่มคน

พวกลูกเศรษฐีมองไปทันที เห็นตอนที่โจวเสว่ฉีกำลังทำอาหาร เพราะว่าไม่ได้ยึดโครงไม้ไว้ให้นิ่ง หม้อตกลงบนพื้นทั้งหมดแล้ว ปลา ผักและส่วนผสมต่างๆนาๆที่เตรียมไว้ กระเซ็นบนพื้นทั้งหมด กินไม่ได้แล้ว

“นี่จะทำยังไงดีล่ะ?” โจวเสว่ฉีสีหน้ามืดมนลงทันที

“คุณโจว มาที่ของฉันนี่!ที่ของฉันตรงนี้มีของกินเยอะแยะ ฉันกินคนเดียวไม่หมด”

“ใช่ ลองชิมอาหารที่ฉันทำดูสิ ฝีมือฉันดีมากเลยนะ”

“คุณโจว ดูปลาที่ฉันเพิ่งย่างเสร็จสิ”

ลูกหลานครอบครัวร่ำรวยเหล่านั้นต่างแย่งชิงที่จะเอาอกเอาใจโจวเสว่ฉีเพื่อที่จะเป็นคนแรก นี่เป็นโอกาสที่ดีมากที่จะได้ร่วมทานอาหารเย็นกับเธอนะ!

“คุณโจวเสว่ฉี คุณมากินกับผมที่นี่เถอะ อาหารของทางฝั่งพวกเราค่อนข้างเยอะพอดีเลย”

ในเวลานี้ไป๋เสี่ยวเสียนลุกขึ้นยืน พูดกับโจวเสว่ฉี

“ใช่เสวี่ยฉี ฝีมือการทำอาหารของสามีฉันสุดยอดเลยนะ ก็แค่เพิ่มตะเกียบอีกอันเอง คุณมาเถอะ” เจิ้งเสี่ยวซวนก็ไม่ได้ถือสาแม้แต่น้อย โบกมือมาทางเสวี่ยฉีแล้ว

แต่ทว่า ท่ามกลางสายตาของกลุ่มคน โจวเสว่ฉีขยับจมูกแล้ว คิดไม่ถึงว่าเดินไปตรงหน้าของมู่เซิ่ง พูดว่า : “อันนี้ ที่คุณต้มคืออะไรเหรอ?”

“ซุปหัวปลาใส่เห็ด ช่วยบำรุงให้สวยและอ่อนเยาว์” มู่เซิ่งพูดอย่างไม่เงยหน้าขึ้น

“หอมมาก ฉันกินข้าวมื้อเย็นพร้อมกับพวกคุณได้ไหม?”

ได้กลิ่นหอม โจวเสว่ฉีเกิดอาการเปรี้ยวปากทันที

“คือว่า……” มู่เซิ่งเผยสีหน้าท่าทางที่สับสนออกมา พูดว่า: “เจียงหว่านเธอยังไม่ได้กินนะ ฉันกลัวว่าจะไม่พอ”

เจียงหว่านจ้องมองมู่เซิ่งแวบหนึ่ง ความหมายในคำพูดของเขา คือตัวเองกินเก่งมากงั้นเหรอ?เธอไม่ได้มีความเจริญอาหารมากสักหน่อย ก็แค่ซุปหัวปลาถ้วยเดียวเอง เธอจะกินทั้งหมดจนเกลี้ยงได้งั้นเหรอ?

ดังนั้นเจียงหว่านจึงพูดว่า : “คุณโจว อย่าไปฟังที่เขาพูดจามั่วซั่ว คุณก็มากินด้วยกันเถอะ”

“จริงเหรอ?งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะ ”โจวเสว่ฉีตะลึง หัวเราะฮิๆพร้อมนั่งลงข้างๆมู่เซิ่ง

มู่เซิ่งทำได้เพียงพยักหน้าอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

แต่ทว่าผู้คนที่รายล้อม มองเห็นภาพนี้ ต่างก็ตกตะลึงกันทั้งนั้น

เยสเข้

มีสิทธิ์อะไรเนี่ย

มู่เซิ่งคนนี้มันดีตรงไหน นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้โจวเสว่ฉีริเริ่มไปนั่งด้วยได้ แม้ว่าซุปของเขาจะหอมนิดหน่อย แต่พวกเขาก็คิดว่าอาหารที่ตัวเองทำก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่เซิ่งเลย

ไป๋เสี่ยวเสียนก็ยิ่งโมโหมาก ชี้ไปที่ซุปของเขา พูดว่า : “คุณโจว ซุปหัวปลาของผมอร่อยกว่าอีก คุณมาทานกับผมที่นี่ดีกว่านะ”

“ส่วนผสมเหล่านั้นของเขา ล้วนเป็นเห็ดที่เก็บมาจากพื้นคนอื่นไม่เอาทั้งนั้น ผมคาดเดาว่าก็แค่กลิ่นหอมเล็กน้อย แต่เมื่อได้กินมันไม่อร่อยเลยด้วยซ้ำ”

เขาชี้ไปยังเห็ดที่หลากสีสันในหม้อของตัวเอง ดูถูกอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย

ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พยักหน้า

พวกเขายินยอมที่จะเห็นไป๋เสี่ยวเสียนร่วมทานอาหารมื้อเย็นกับโจวเสว่ฉี แต่ไม่อยากเห็นเธอทานกับไอเศษสวะมู่เซิ่งคนนี้

“คือว่า คุณชายไป๋ ขอบคุณในความหวังดีของคุณ ”โจวเสว่ฉีอดไม่ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ แม้ทางฝั่งไป๋เสี่ยวเสียนดูแล้วมีความอยากอาหารจริงๆ แต่เธอต้องเอาเปรียบผู้อื่น ซุปของทางมู่เซิ่งหอมยิ่งกว่า

ยิ่งไปกว่านั้น เธอค่อนข้างหิวจริงๆ ก็ไม่อยากวิ่งไปวิ่งมาอีก

มู่เซิ่งมองภาพฉากนี้อย่างนิ่งๆ ขี้เกียจจะไปสนใจเขา ในใจกลับว่าจะหัวเราะออกมาแล้ว

ฮ่าๆๆๆ ไป๋เสี่ยวเสียนคนนี้น่าขำชะมัด

เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าเห็ดที่เก็บมาเป็นเห็ดอะไร นึกไม่ถึงว่าจะกล้ากิน นี่เป็นเห็ดที่มีพิษ กินเข้าไปจะมีผื่นแดงทั้งตัว แถมยังกล้าพูดความจริงที่ปกติแล้วไม่กล้าพูดออกมาด้วย ผลข้างเคียงจะเป็นอยู่สามถึงสี่ชั่วโมง เห็ดแบบนี้ไม่เจอบ่อย คิดไม่ถึงว่าเขาจะหาเจอได้ ชาวพื้นเมืองอเมซอนล้วนแต่เคยใช้เห็ดเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการซักถาม

เขารอคอยอย่างมาก หลังจากที่ไป๋เสี่ยวเสียนกินลงไป ก็จะมีใบหน้าที่ขี้เหร่

เห็นโจวเสว่ฉีปฏิเสธ ไป๋เสี่ยวเสียนพูดว่าเหอะอย่างเยือกเย็น ทำได้เพียงแล้วๆ กันไป วันนี้เสียเปรียบอยู่ในกำมือของมู่เซิ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้เขาไม่มีอารมณ์กินข้าวเลยด้วยซ้ำ กลับเป็นเจิ้งเสี่ยวซวนที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อย กินอย่างตะกละตะกลาม

หลังจากที่ถือตะเกียบ เจียงหว่านเสียใจกับคำพูดที่เธอเคยพูดมาทันที

ซุปปลานี้อร่อยมากเกินไปแล้ว เพราะว่าวัตถุดิบ จึงทำอร่อยกว่าปกติอีก โจวเสว่ฉีก็ตกใจในฝีมือของมู่เซิ่ง ทั้งสองคนไม่สนใจภาพลักษณ์ของหญิงสาวที่มีจิตใจดีงามเลยสักนิด กินซุปปลาจนเกลี้ยง เสมือนพายุหอบเอาเศษปุยเมฆ แม้แต่ซุปก้นถ้วยก็ไม่เหลือ

“ฉันยังกินไปไม่เท่าไหร่เลยนะ!”

มู่เซิ่งมองไปยังทั้งสองคนที่เรอ เผยรอยยิ้มอย่างจนใจ พูดซะดิบดีว่าไม่ค่อยทานเยอะนะ

สีหน้าของเจียงหว่านแดงก่ำทันที

“เห็นได้ชัดว่านายต้มน้อยเกินไปโอเคไหม ฉันกินไม่อิ่มเลย”เจียงหว่านพูดอย่างไม่พอใจ

มู่เซิ่งฝืนยิ้มพร้อมพูดว่า : “งั้นก็ดีเลยนะ ฉันไปเอาผลไม้หลังทานอาหารเสร็จให้พวกเธอสักหน่อย”

ในเวลานี้หลังจากทานหารอาหารเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดแล้ว แต่พวกหนุ่มสาววัยกลางคนมีความกระตือรือร้นไม่ลดเลย ก่อกองไฟกองใหญ่บนชายหาดแล้ว

ไม่นานก็มีคนเสนอว่า “ในเมื่อทุกคนต่างก็กินอิ่มมีกำลังแล้ว พวกเรามาเล่นวอลเลย์บอลชายหาดกันไหม?”

เมื่อพูดประโยคนี้ออกไป ผู้คนก็ตื่นเต้นดีอกดีใจกันทันที เล่นวอลเลย์บอล นี่เป็นหน้าตาของพวกเขา แสดงท่าทางที่หล่อเหลาของตัวเองออกมาตรงหน้าสาวสวยสามสี่คนตรงหน้า มันไม่ดีเหรอ?

“ได้นะ ถึงยังไงที่นี่ก็มีพื้นที่”

ไป๋เสี่ยวเสียนหัวเราะเหอะๆพร้อมหันหลังกลับ พูดถาม “เซียวผิง เอาโครงค้ำยันนั่นมาหมดแล้วใช่ไหม?”

“เอามาแล้ว อยู่บนรถนะ ”เซียวผิงพูดกล่าว

“โจวไป่ ออกแรงช่วยฉันหน่อย”

ลูกหลานตระกูลเศรษฐียกโครงค้ำยันออกอย่างดีอกดีใจ ตกแต่งสถานที่บนชายหาด

และตอนที่กลุ่มคนกำลังยุ่งกันอย่างคึกคัก ไป๋เสี่ยวเสียนแอบเดินมาข้างๆเซียวผิง พูดด้วยใบหน้าที่ร้ายกาจว่า : “เซียวผิง คาดว่าแกก็เห็นไอ้เศษสวะผู้นี้ไม่เข้าตามานานแล้วสินะ? ”