บทที่ 154 หนานกงจี๋โหดเหี้ยม

พลิกชะตาหมอยา

เฟิ่งชิงหัวเดินตรงมาตลอดทาง ตามทางด้านนั้นแล้วได้มีการพิจารณาแล้วว่านี่ก็คือด้านที่จะไปสู่ใจกลางทะเลสาบ สำหรับเสียงหายใจที่เพิ่งได้ยินเมื่อครู่นั้น คนผู้นั้นน่าจะอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก

ในใจของเฟิ่งชิงหัวกำลังคิดเดาอยู่ว่าคนที่ถูกกักขังอยู่ที่นี่ที่แท้แล้วเป็นใครกันแน่ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่มีเบาะแสอะไรเลย

สำหรับหนานกงจี๋ผู้นี้ เฟิ่งชิงหัวนับไม่ได้ว่าสนิทคุ้นเคย แม้แต่ความสัมพันธ์ของเขากับท่านแม่ของนางก็ยังเป็นพวกผู้อาวุโสที่เป็นคนบอกให้ทราบเลย รู้แต่เพียงว่าเขาก็คือผู้มีพรสวรรค์ในชนบทคนหนึ่งที่ไล่ตามสอบเข้ามายังพระนคร หลังจากผ่านการสอบติดแล้วก็ได้รับการรับเลือกจากราชสำนักให้เป็นจองหยวน ตั้งแต่นั้นมาชีวิตก็เหมือนกับว่าได้เริ่มพลิกพลันก็ว่าได้ แรกเริ่มจากผู้เรียบเรียงและรวบรวมสำนักบัณฑิตฮั่นหลินจนเติบโตกลายมาเป็นเฉิงเซี่ยงของราชสำนัก

หากไม่ใช่ครั้งนี้เขาเสนอให้เฟิ่งชิงหัวจับแพะชนแกะ งั้นนางจะต้องยังคิดว่าเขาก็เป็นเพียงแค่ขุนนางที่หาเงินเก่งคนหนึ่งเท่านั้น แต่เพราะเช่นนี้ยิ่งกลับทำให้เฟิ่งชิงหัวเริ่มที่จะสงสัยในตัวคนคนนี้ขึ้นมา

หรืออาจเป็นไปได้ว่าการช่ำชองในการหาเงินเป็นเพียงฉากหน้าของเขาเท่านั้น สำหรับในใจลึกๆ แล้วนั้นกลับมาเพียงเขาที่จะรับรู้ได้เท่านั้น

ผ่านไปไม่นานเฟิ่งชิงหัวก็เดินมาเข้าใกล้ถ้ำธรรมชาติแห่งหนึ่งแล้ว อุณหภูมิพวกถ้ำพวกนี้จะต่ำกว่าบริเวณภายนอก ตอนนี้ในนั้นจัดวางเครื่องเรือนไว้หลายชิ้นอย่างเรียบง่าย เตียงใหญ่ 1 ตัว และในตอนนี้บนเตียงก็กำลังมีคนหนึ่งคนนอนอยู่ ไอออกมาเป็นครั้งคราวอยู่บ้าง

เฟิ่งชิงหัวเดินเข้าไปด้านใน คนผู้นั้นดูเหมือนว่าก็รับรู้ได้ว่ามีคนมา จึงลืมตาขึ้นมามองมาที่นาง

และในช่วงนี้เอง เฟิ่งชิงหัวแน่นิ่งไปในตำแหน่งเดิมนั้นทันที ร่างทั้งร่างราวกับว่าถูกตะปูตรอกไว้ตรงนั้นแน่นก็ไม่ปาน

ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ดูไปแล้วอายุเพียงแค่ไม่น่าเกินยี่สิบกว่าปี เส้นผมกระจัดกระจายอยู่บนข้างบ่าตามอำเภอใจ ดวงตาคู่หนึ่งเป็นประกายมาราวกับน้ำ สันจมูกงุ้มลงราวเสี้ยวพระจันทร์ ริมฝีปากสีชมพูเล็ก เนื่องจากสถานที่นี้หนาวเย็นจึงเห็นได้ชัดว่าผิวขาวซีดอยู่บ้าง พอเห็นก็รู้ว่าเป็นคนที่อยู่ติดเตียงมาหลายปีแล้ว

และที่สำคัญที่สุดก็คือผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาเหมือนกันกับเฟิ่งชิงหัวอย่างกับแกะเลย

เพียงแค่ครั้งแรกที่เห็น เฟิ่งชิงหัวก็สามารถมั่นใจได้มากพอว่านี่คือแม่ผู้ให้กำเนิดนาง คนแซ่หยู

“ท่านแม่!” เฟิ่งชิงหัวรีบเดินขึ้นมาสองก้าว ใครจะไปรู้ว่าผู้หญิงคนนั้นกลับสั่นไปหมดอย่างขี้ขลาดแล้วก็ถอยหลังไปสองก้าว ร่างทั้งร่างขดอยู่มุมหนึ่งของเตียง มองมาที่นางด้วยความตื่นกลัวอย่างสุดขีด ราวกับว่านางเป็นสัตว์ดุร้ายอะไรที่นำหายนะมาก็ว่าได้

“เจ้า อย่า อย่าเข้ามา เจ็บ เจ็บๆ” ผู้หญิงพลางหดตัวไปแล้วก็กล่าวออกมาด้วยความหวาดกลัวไปพลาง เสียงในลำคอนั้นเพราะว่าอยู่ในที่หนาวเย็นมานาน ทำให้เสียงเล็กแหบแห้ง เหมือนดั่งถูกคนบีบกล่องเสียงเอาไว้แน่นก็ไม่ปาน

เฟิ่งชิงหัวสังเกตเห็นว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าดวงตาทั้งคู่ดูหม่นหมอง รูม่านตาขยาย คิ้วขมวดเข้าหากันแน่นตามสัญชาตญาณ ไม่สนใจแล้วว่านางจะกลัวหรือไม่ก็เข้าไปกุมมือของนางเอาไว้แน่นเพื่ออยากที่จะช่วยตรวจชีพจรให้นาง ใครจะไปคิดว่าผู้หญิงที่หดตัวเป็นก้อนๆ หนึ่งเดิมนั้นจู่ๆ กลับยกมือสะบัดมาทางเฟิ่งชิงหัว

เฟิ่งชิงหัวหลบออกด้วยความรวดเร็ว ยังไงก็เป็นกังวลฝ่ายหญิง ดังนั้นมือก็เลยยื่นออกไปประคองนางเอาไว้อยู่แล้ว บนข้อมือที่ขาวนวลจู่ๆ ก็ถูกเข็มที่คมกริบแทงเข้าไป เส้นเลือดเส้นหนึ่งจู่ๆ ก็ปูดขึ้นมา

คราวนี้เฟิ่งชิงหัวจึงสังเกตได้ว่าบนมือของผู้หญิงได้กุมเข็มเอาไว้หนึ่งเข็ม เนื่องจากกุมไว้เป็นเวลานาน ดังนั้นในฝ่ามือของนางก็ได้ถูดปลายเข็มนั้นแทงจนบาดเจ็บ บนปลายนิ้วมีเลือดไหลออกมา

ก็เลยดึงเข็มที่ทิ่มอยู่ในปลายนิ้วของผู้หญิงคนนั้นออก เฟิ่งชิงหัวไม่ได้สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง ฉีกดึงผ้าออกมาพันแผลหยุดเลือดให้ผู้หญิงคนนั้นตามความตั้งใจ

“ข้าไม่ได้จะทำร้านท่าน ข้าอยากจะรักษาให้ท่าน อย่ากลัว” ครั้งนี้เฟิ่งชิงหัวจึงรับรู้ว่าสติสัมปชัญญะของท่านแม่น่าเกรงว่าน่าจะมีปัญหาเล็กน้อยแม้ว่าจะรู้ช้าไปก็ตาม ได้เพียงกล่าวปลอบประโลมนางด้วยเสียงที่อ่อนโยนเบาๆ หวังว่านางจะสามารถคลายการต่อต้านลงมาบ้าง

อาจเป็นเพราะดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งชิงหัวดูจริงใจมากเกินไป ผู้หญิงที่เดิมนั้นก็ไม่ได้สงบเท่าไรนักก็ค่อยๆ สงบลงมาจนได้ เดิมทีหมัดที่กำไว้แน่นก็ค่อยๆ คลายออกทีละนิดๆ เฟิ่งชิงหัวรีบจับชีพจรให้นางทันที

เพิ่งจะจับลงไปบนชีพจร รูม่านตาของเฟิ่งชิงหัวก็หดลงเข้าหากันรุนแรง สีหน้าภายนอกควบคุมไว้ไม่ได้จนแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าที่จริงจัง

ฝ่ายหญิงเห็นดังนั้นก็รีบดึงมือกลับ และมองมาที่เฟิ่งชิงหัวด้วยความหวาดระแวงอย่างไม่สงบ จากนั้นกล่าวพึมพำออกมาว่า: “อย่า อย่าสูบเลือดของข้า เจ็บๆๆ”

ชีพจรถูกสกัดเอาไว้ สติสัมปชัญญะถูกควบคุม ร่างกายอ่อนแอราวกับนุ่นที่เกาะกลุ่มกันเป็นก้อนก็ไม่ปาน แม้แต่เฟิ่งชิงหัวยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าในร่างกายของนางเกิดอะไรขึ้นกันแน่

อยู่ในที่หนาวเย็นมานานหลายปี ส่งผลให้ชีพจรของคนแช่หยูแข็งตัว กระบวนการสร้างเลือดบกพร่องไป อีกทั้งยังสูบเลือดออกไปเป็นเวลานานอีก หากไม่ใช่เพราะใช้โสดเลือดจำนวนมากยื้อชีวิตเอาไว้ เกรงว่าคนแซ่หยูก็คงจะกลายสภาพเป็นศพไปนานแล้ว

“ท่านแม่ ข้าพาท่านออกจากที่นี่ดีไหม?” เฟิ่งชิงหัวกล่าวออกมาด้วยความระมัดระวัง กลัวว่าจะทำให้ผู้หญิงที่โดนตัวนิดหน่อยก็อาจจะแหลกคามือนี้ตกใจเอาได้

คนแซ่หยูมองมาที่นางด้วยความหวาดระแวง ไม่พูด ได้เพียงสนใจที่จะสั่นระริกหดตัวอยู่ที่มุมหนึ่งเท่านั้น

และในตอนที่เฟิ่งชิงหัวกำลังคิดว่าจะพูดขึ้นอีกนั้น ก็ได้ยินเสียงหนานกงเยว่หลีดังเข้ามาจากด้านบน

“ท่านพ่อ ท่านหาน้องรองเหรอ?”

“อืม เจ้าเห็นนางบ้างไหม?”

“เมื่อครู่ตอนที่ข้ามาก็เห็นว่านางไปทางด้านห้องหนังสือด้านนั้น น่าจะกำลังรอท่านอยู่หระมัง” หนานกงเยว่หลีกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม

จากนั้น เสียงที่อยู่ด้านบนศีรษะนั้นก็เห็นได้ชัดว่าไว้มากกว่าที่เคย หนานกงจี๋กำลังเดินมาทางห้องหนังสืออย่างแน่นอน คราวนี้นางพาคนออกไป จะต้องปะทะเข้ากับหนานกงจี๋อย่างแน่นอน

เฟิ่งชิงหัวมองไปยังท่านแม่ที่ตกใจจนหมดสติไปหลังจากได้ยินเสียงของหนานกงจี๋ ในใจก็เจ็บปวดขึ้นมา หลังจากผ่านการครุ่นคิดครู่หนึ่ง เฟิ่งชิงหัวแกะผ้าที่พันอยู่บนมือของคนแซ่หยูออก แล้วก็กระโดดเข้าไปในสระน้ำเย็นที่อยู่ด้านข้างทันที

การเคลื่อนไหวของเฟิ่งชิงหัวแม่นยำ รวดเร็ว ร่างทั้งร่างราวกับปลาตัวหนึ่งก็ไม่ปาน หลังจากกระโดดลงไปก็ไม่มีฟองคลื่นของน้ำเลยแม้แต่นิดเดียว หลงเหลือไว้เพียงร่องรอยกระเพื่อมเล็กๆ รอบๆ นั้น

เฟิ่งชิงหัวว่ายไปถึงใต้โขลดหินทึบแห่งหนึ่ง ข้างในหินก้อนนี้เป็นความว่างเปล่า นางหลบซ่อนตัวอยู่ใต้ก้อนหิน เว้นเสียแต่มีคนมาเหยียบบนหินก้อนนี้ มิเช่นนั้นนางก็จะไม่ถูกค้นพบแน่นอน

นางเพิ่งจะหลบซ่อนร่างให้ดี หนานกงจี๋ก็พุ่งเข้ามา สีหน้าท่าทางดูร้อนใจ จวบจนเห็นผู้หญิงที่ยังคงหลับอย่างหมดสติอยู่บนเตียงจึงค่อยๆ วางใจลงได้

สายตาที่จ้องมองอย่างประจบสอพลอของหนานกงจี๋ในปกติถูกแทนที่ด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมอำมหิตแทน

เขากวาดสายตามองไปรอบถ้ำทั้งถ้ำหนึ่งรอย ไม่เห็นคนอื่นก็เลยถอยออกไป

เฟิ่งชิงหัวได้ยินประตูหินเปิดออกแล้วก็ปิดลงไปอีก ร่างที่จมอยู่ใต้น้ำเป็นเพราะหนาวเย็นขนก็เลยลุกซู่ขึ้นมา แต่นางก็ยังกั้นใจเอาไว้อยู่ ไม่ขยับเลยราวกับว่าเป็นหินที่หลบซ่อนอยู่ที่นั่น

เป็นไปตามที่คิดไว้ และ 50 วินาทีต่อมา ร่างของเฟิ่งชิงหัวก็ปรากฏขึ้นมาที่ปากถ้ำอีกครั้งหนึ่ง เห็นว่ารอบๆ นังคงไม่มีอะไรผิดปกติ คราวนี้เขาจึงถอยออกไป ประตูหินเปิดออกและปิดลงอีกครั้ง ครั้งนี้ออกไปจริงๆแล้ว หนานกงจี๋ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินไปถึงห้องหนังสือชั้นนั้น จึงมุดออกมาจากในสระน้ำเย็นที่ย่ำแย่นั้นได้ และหายใจออกมาอย่างลึกๆ

เฟิ่งชิงหัวรู้ว่าหนานกงจี๋ไม่ได้หมดความสงสัยในตัวนางไปอย่างแน่นอน ตอนนี้จะต้องส่งคนให้มาเฝ้าทางออกห้องหนังสือเอาไว้แล้วเป็นแน่

วันนี้ก็คงจะไม่อาจพาท่านแม่ออกไปได้แน่ อาจจะต้องให้นางอยู่ที่นี่ต่อไปจริงๆ เฟิ่งชิงหัวก็เป็นกังวลอีกว่าหนานกงจี๋จะย้ายตำแหน่งที่อยู่ของท่านแม่ จู่ๆ ก็เลยเกิดเป็นการตัดสินใจที่ยากยิ่งจริงๆ

และในตอนที่ตัดสินใจได้ยากนั่นเอง เฟิ่งชิงหัวจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องจี๊ดๆๆ ดังขึ้นมาด้านในมุมหนึ่ง เสียงนั้นเล็กและดูอ่อนแอ ราวกับว่ากำลังได้รับความเจ็บปวดอะไรบางอย่างอยู่ก็ไม่ปาน

เฟิ่งชิงหัวมองไปยังที่มาของเสียงที่ดังมา จากนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันที